ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 25 ห้ามผู้หญิงคนอื่นแตะ
ตอนที่ 25 ห้ามผู้หญิงคนอื่นแตะ
หลินยวนสะอึกไปทันที
ฉินอี๋กล่าวต่อว่า “หนี้น้ำใจที่นายติดค้าง แล้วจะมาให้ฉันช่วยนายชดใช้ นายคิดว่ามันเหมาะสมแล้วเหรอ?”
ภายใต้สายตายั่วยุของอีกฝ่ายที่มองมา หลินยวนตอบกลับไปว่า “สภาพแวดล้อมของเหมืองหินวิญญาณท่านประธานก็น่าจะทราบ ผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอถูกย้ายไปที่แบบนั้น มันจะไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ หรือว่าจะเมตตาสักหน่อยไม่ได้?”
ฉินอี๋กล่าว “ทั่วทั้งดินแดนเซียนมีคนที่ต้องการความเมตตาอยู่มากมาย ทั่วทั้งตระกูลฉินคนที่ต้องการความเมตตาก็มีอยู่มากมายเช่นกัน คนที่ลำบากมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ฉันดูแลไม่ไหว แล้วก็ไม่สามารถดูแลทุกคนได้ด้วย ถ้าอยู่สบายๆ ในเมืองได้ ก็จะไม่มีใครยอมไปที่เหมืองหินวิญญาณ หากทำตามที่นายว่ามา ไม่มีกฎเกณฑ์ มีแต่น้ำใจ เช่นนั้นหอการค้าตระกูลฉินคงจะล้มละลายไปนานแล้ว”
หลินยวนรู้สึกผิดหวัง หรือพูดอีกอย่างคือผิดหวังต่อฉินอี๋ เขาจึงถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “เรื่องนี้ท่านประธานเพียงพูดประโยคเดียวก็สามารถจัดการได้ เหมืองหินวิญญาณก็ใช่ว่าจะขาดเธอไม่ได้ จะเมตตากันหน่อยไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
เขาเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับปากจริงๆ เขาก็จะออกจากหอการค้าตระกูลฉิน จากนั้นก็จะไปยืมเงินจากกวนเสี่ยวไป๋มาคืนให้เธอ
เขาเชื่อว่าขอเพียงตัวเองเอ่ยปาก กวนเสี่ยวไป๋จะต้องให้เขายืมเงินอย่างแน่นอน
ส่วนทางกวนเสี่ยวชิงก็ไม่ต้องทำงานอยู่ที่ตระกูลฉินต่อไปเช่นกัน ถึงอยู่ต่อไปก็อาจจะถูกรังแกได้ มิสู้ออกไปดีกว่า เดี๋ยวเขาช่วยคิดหาวิธีอื่น
แต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องราวมันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีอำนาจในเมืองปู๋เชวี่ยอย่างมาก หากแข็งข้อจนเกินไป จนทำให้ผู้หญิงคนนี้คิดเล่นงานขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าตระกูลกวนคงจะอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยได้ลำบาก หากเขาลงมือก็จะทำให้พัวพันไปถึงเรื่องราวหลายๆ เรื่อง
แต่ใครจะไปรู้ว่าฉินอี๋จะเปลี่ยนคำพูด “ฉันช่วยได้ แต่ก็อย่างที่ฉันบอก ทำไมฉันต้องช่วยนายด้วย?” นิ้วที่คีบบุหรี่เอาไว้อยู่ชี้ไปรอบห้องทำงาน “ฉันให้นายเก็บกวาด นายยอมช่วยไหมล่ะ? แล้วทำไมนายถึงไม่จำเป็นต้องยอมช่วย แต่ฉันกลับต้องช่วยล่ะ ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไป๋หลิงหลงจึงเหลียวหน้าหันออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง รู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังเข้าใจแล้วด้วย ที่แท้เสี่ยวอี๋ก็กำลังฉวยโอกาสหาประโยชน์ในตอนที่หลินยวนเดือดร้อน!
หลินยวนจ้องมองฉินอี๋ แต่ฉินอี๋ก็ไม่ยอมเช่นเดียวกัน สายตามองจ้องกลับไป ท่าทางเหมือนกำลังบอกว่าแล้วแต่นายจะตัดสินใจแล้วกัน
สุดท้าย หลินยวนจึงยอมเอ่ยออกมา “ถ้าผมเก็บกวาด กวนเสี่ยวชิง…”
ฉินอี๋พูดตัดบท “อยู่ที่นี่ต่อได้ ขอเพียงครอบครัวเธอเป็นอย่างที่นายว่าจริง ฉันไม่เพียงแต่จะให้เธออยู่ที่นี่ แต่ยังจะยอมแหกกฎให้เธอได้ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมด้วย ทำให้นายพอใจ แล้วก็ทำให้เธอพอใจ นายพูดถูก เรื่องแบบนี้ฉันเพียงแค่เอ่ยประโยคเดียวก็จัดการได้แล้ว”
หลินยวนกล่าว “เท่าที่ผมรู้มา ผมกับหลัวคังอันจะต้องออกไปทำงานนอกหอการค้าวันเว้นวัน ไม่สามารถมาเก็บกวาดให้ท่านประธานทุกวันหลังเลิกงานได้”
ฉินอี๋เลิกคิ้ว “อย่างนั้นก็เก็บวันเว้นวัน”
หลินยวนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คิดอยากจะทำให้เขาอับอาย ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ตอบรับไปว่า “ได้ ผมตกลง”
ฉินอี๋กล่าว “ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ นายออกไปได้”
หลินยวนหมุนตัวเดินออกไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฉินอี๋ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังอีกครั้ง “โดนใช้ให้ทำงานแบบนี้ รู้สึกว่าตัวเองโดนหยามเกียรติหรือเปล่า? ถ้ารู้สึกว่าตัวเองโดนหยามเกียรติก็ตั้งใจเรียนรู้จากหลัวคังอันให้ดี แสดงความสามารถของตัวเองออกมา พยายามคืนเงินให้หมดเร็วๆ จากนั้นนายจะได้เป็นอิสระ ฉันขอเตือนนายเอาไว้ก่อนนะ ที่ฉันให้นายทำงานใช้หนี้ก็เพื่อระบายความแค้นในตอนนั้น อย่าได้คิดไปยืมเงินคนอื่นมาคืน เงินที่นายติดฉันเอาไว้ รวมดอกเบี้ยสามร้อยปี มันสามารถเป็นห้าแสนก็ได้ หรือจะเป็นห้าล้านห้าก็ได้ นั่นมันขึ้นอยู่กับฉันว่าจะคิดอย่างไร”
หลินยวนหยุดฝีเท้าเล็กน้อย ไม่ได้เหลียวหน้ากลับมา จากนั้นเดินออกไป
กระทั่งเขาเดินหายไปแล้ว ไป๋หลิงหลงจึงถอนใจออกมา “เห็นๆ อยู่ว่าท่านประธานอยากช่วยเขา ไม่เห็นจำเป็นต้องทำให้เขาไม่พอใจท่านประธานเลย”
ฉินอี๋กล่าว “ถ้าไม่มีแรงกดดัน เขาจะไปเอาแรงผลักดันที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้ามาจากไหน?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ท่านประธานไม่กลัวเขาจะเกลียดท่านประธาน แล้วไม่กลับมาอยู่กับท่านประธานอีกหรอคะ?”
ฉินอี๋กล่าว “จะมีหรือไม่มีโอกาสมันเป็นเรื่องของคนสองคน เขาไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้”
ไป๋หลิงหลงยิ้มแห้งขึ้นมาทันที
ฉินอี๋กวาดมองมาด้วยสายตาเย็นชา “เรื่องของกวนเสี่ยวชิงนี่มันยังไงกัน?” ก่อนหน้านี้ไป๋หลิงหลงไม่ได้เอ่ยชื่ออีกฝ่ายกับเธอ เธอเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อกวนเสี่ยวชิง
ไป๋หลิงหลงกระอักกระอ่วนขึ้นมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้พวกเราคอยจับตาดูกวนเสี่ยวไป๋อยู่ตลอดเวลา ภายหลังเห็นว่าเขาเหมือนจะตัดขาดการติดต่อกันหลินยวนไป เราก็เลยไม่ค่อยได้จับตามองเขาอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีน้องสาวคนหนึ่ง เรื่องนี้ฉันเลินเล่อเองค่ะ ที่ไม่ได้ตรวจดูแฟ้มประวัติพนักงานของกวนเสี่ยวชิงให้ดีก่อน”
ในเมื่อหลินยวนพูดมาแบบนั้น เธอเองก็คิดว่าหลินยวนไม่จำเป็นต้องโกหก มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องจริง
ฉินอี๋เองก็คิดไม่ถึงว่ากวนเสี่ยวไป๋คนนั้นจะมีน้องสาวออกมาอีกคนหนึ่ง “ไม่ใช่ความผิดของเธอ ข้างล่างมีพนักงานตั้งมากมายขนาดนั้น เธอเองก็จับตาดูได้ไม่หมด เธอไปตรวจสอบดูหน่อยแล้วกันว่าที่หลินยวนพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นน้องสาวของกวนเสี่ยวไป๋จริงๆ อย่างนั้นก็ให้เธออยู่ที่นี่ ให้กวนเสี่ยวชิงคนนี้ทำงานอยู่กับเธอ”
ไป๋หลิงหลงงุนงง “ทำงานกับฉัน จะให้ทำตำแหน่งอะไรคะ?”
ฉินอี๋กล่าว “เธอมีงานเยอะ มีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาเป็นห่วงกวนเสี่ยวชิง ถ้าเรากุมตัวกวนเสี่ยวชิงคนนี้เอาไว้ เขาก็หนีไปไหนไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่า?”
“…..” ไป๋หลิงหลงรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง เธอพบว่าผู้หญิงคนนี้สร้างปัญหาให้เขาไม่หยุด ที่แท้ก็คิดอยากจะรั้งตัวเขาไว้ จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”
ฉินอี๋กล่าว “แล้วก็ แม้จะให้กวนเสี่ยวชิงคนนี้อยู่ที่นี่ต่อ แต่ก็อย่าให้กลายเป็นว่าเราเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้เอาไว้ นานวันเข้าพวกเขาอยู่ใกล้กันอีก ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้น ฉันไม่อยากให้มีเรื่องสัมพันธ์ชายหญิงเกิดขึ้นระหว่างกวนเสี่ยวชิงกับเขา คนอยู่ในมือเธอแล้ว เธอต้องกำจัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งไป”
“เรื่องในตอนนั้น บางทีเขาอาจจะมีความคิดอื่นอยู่ในใจจริงๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะตัวฉันเต็มใจด้วย ตัวฉันในตอนนั้นสนุกและมีความสุข แต่คุณพ่อกลับโยนความผิดทั้งหมดไปให้เขาคนเดียว นี่มันไม่ยุติธรรม”
“ตอนนั้นฉันน่าจะคิดได้ว่าสุดท้ายมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันก็มองข้ามมันได้ ตอนหลังพอรู้ว่าเขาถูกหักขาแล้วไล่ออกจากเมืองไป ฉันก็ไม่สามารถช่วยเขาเอาไว้ได้ แล้วก็ไม่สามารถออกมาหยุดเรื่องนี้เอาไว้ได้ ปล่อยให้เขาแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ฉันจินตนาการถึงความรู้สึกของเขาในตอนที่โดนหักขาแล้วไล่ออกไปจากเมืองไม่ได้เลย แล้วก็ไม่กล้าจินตนาการถึงสภาพที่อับจนหนทางของเขาในตอนนั้นด้วย ฉันรู้สึกผิดอย่างมาก แล้วก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก”
“ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกเลิกฉัน ฉันเองก็ไม่ได้บอกเลิกเขา ฉันรอเขาอย่างเงียบๆ มานานขนาดนี้ ในเมื่อเขากลับมาอยู่ในมือฉัน อย่างนั้นฉันก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ ผู้ชายของฉัน ถ้าฉันไม่ปล่อยไป ต่อให้ต้องเน่าอยู่ตรงนี้ ก็ห้ามผู้หญิงคนอื่นแตะต้อง”
ท่าทีชัดเจน ทั้งยังแข็งกร้าวอย่างมาก ไม่อนุญาตให้คนอื่นแตะต้อง
นี่มันตรรกะอะไรกัน? ไป๋หลิงหลงถอนใจ จนปัญญากับนิสัยของผู้หญิงคนนี้ “ได้ค่ะ ท่านประธานวางใจได้ค่ะ ฉันรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร”
…….
ภายในห้องทำงานของหลินยวน หรือบางทีถ้าเรียกว่าห้องพักผ่อนอาจจะดูเหมาะสมมากกว่า หลัวคังอันกำลังถือโทรศัพท์มือถือแนบเอาไว้ที่หู เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง
ทางเมืองหลวงส่งข่าวกลับมาแล้ว
“สวีซยง นายแน่ใจนะว่าไม่ผิดแน่? สามร้อยปียังเรียนไม่จบ? ไม่มีเบื้องหลังอะไรจริงๆ? ก็จริง…อ้อ ตกลง ขอบใจมาก ไว้กลับเมืองหลวงแล้วจะต้องจัดเต็มให้นายอย่างแน่นอน”
หลัวคังอันที่เก็บโทรศัพท์มือถือทำหน้าประหลาดใจ ปากบ่นพึมพำว่า “สามร้อยปียังเรียนไม่จบ หรือว่าจะมาทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างที่ว่าจริงๆ”
เมื่อได้รับข่าวนี้ เขายังคงรู้สึกยากจะเชื่อได้ ที่แท้หลินยวนก็เป็นนักเรียนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดและอยู่ในระดับล่างสุดของหลิงซานจริงๆ นักเรียนแบบนี้จะเรียนจบจากหลิงซานได้หรือเปล่าก็ยังตอบได้ยาก ต่อให้เรียนจบ ทางสภาเซียนก็ไม่น่าจะรับเขาเข้าไป
ภายในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
ประตูเปิดออก เขาเหลียวหน้ากลับไปมอง พบว่าหลินยวนกลับมาแล้ว
หลินยวนพบว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองตัวเองดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็มิได้สนใจอะไร เดินไปนั่งลงข้างๆ
หลัวคังอันกระแอมเล็กน้อย สงบสติอารมณ์แล้วรีบเดินเข้าไป ก่อนจะนั่งลงไปแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินยวนกล่าว “ท่านประธานตอบตกลงแล้ว”
“เอ่อ…” หลัวคังอันรู้สึกจนปัญญาและกลุ้มใจ นี่จัดการได้จริงๆ อย่างนั้นหรือนี่? เขากวาดตามองดูห้องพักผ่อนที่มีสภาพดูดีกว่าห้องของตนเองห้องนี้ดูเล็กน้อย ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงว่า “น้องหลิน นายเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินได้ยังไงเหรอ นายเป็นญาติของตระกูลฉินหรือเปล่า?”
หลินยวนรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้กำลังสงสัยอะไรบางอย่าง จึงหาข้ออ้างบอกไปว่า “ลุงของผมรู้จักกับท่านประธานน่ะ”
หลัวคังอันร้องอ้อออกมา น้ำเสียงคล้ายแฝงเอาไว้ด้วยความนัยอะไรบางอย่าง เขาเข้าใจแล้ว ในที่สุดก็ได้รับคำตอบ ก็ว่าแล้วเชียว
หลังทั้งสองคนพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันไปพักหนึ่ง ด้านนอกพลันมีคนเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาแจ้งว่า “คุณหลัวคะ ได้เวลาเดินทางแล้วค่ะ”
“ได้” หลัวคังอันตอบรับ ตบไหล่หลินยวนแล้วลุกขึ้นยืน “น้องหลิน ไปทำงานกันเถอะ”
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าหลังเข้าไปในเทพมหาวิญญาณแล้วจะทำอะไรขายหน้าต่อหน้าหลินยวน ตอนนี้เมื่อทราบแล้วว่าหลินยวนเป็นนักเรียนที่ไม่ได้เรื่องของหลิงซาน ภายในใจจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมา
แต่การปรากฏตัวของจูลี่ยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดเสียวอยู่ แอบรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
ทั้งสองเดินออกมา ในตอนที่มาถึงชั้นล่างและกำลังออกไปจากหอการค้า ทั้งสองก็ได้เจอไป๋หลิงหลงอีกครั้ง
ไป๋หลิงหลงมาต้อนรับแขกด้วยตัวเอง พวกพานหลิงอวิ๋นเดินทางมาถึงหอการค้าแล้ว
ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายเดินสวนกัน ไป๋หลิงหลงพยักหน้าให้ทั้งสองคนเล็กน้อย แล้วก็ลอบมองดูหลินยวนเล็กน้อย
หลินยวนไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่หลัวคังอันกลับเหลียวหน้าไปจ้องมองพานหลิงอวิ๋น ขณะเดียวกันยังดึงแขนหลินยวนพร้อมกล่าวว่า “นายเห็นหรือเปล่า ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชายคนนั้นดูน่าสนใจทีเดียวเลย ผู้ช่วยไป๋ถึงกับมาต้อนรับด้วยตัวเอง ดูแล้วคงจะไม่ใช่คนธรรมดา”
หลินยวนไม่สนใจ ไม่ได้ตอบอะไรเขา
จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปในรถรับส่งที่มาจอดรออยู่ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังค่ายผู้พิทักษ์เทพที่อยู่ด้านนอกเมือง…
…….
พานหลิงอวิ๋นเองก็ไม่สามารถพบฉินอี๋ได้โดยตรง เธอถูกไป๋หลิงหลงพาไปรออยู่ที่ห้องรับแขกอีกห้องหนึ่งด้วยเหตุผลเดียวกัน
ในเมื่อตอนนี้ฉินอี๋มีธุระด่วนต้องจัดการ พานหลิงอวิ๋นจึงได้แต่ต้องรอสักครู่หนึ่ง
หลังจัดการทางด้านนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋หลิงหลงก็ออกไป เดินไปยังห้องรับแขกที่พวกจูลี่อยู่พร้อมกล่าวขอโทษ บอกว่าท่านประธานกำลังรีบจัดการธุระ ให้จูลี่รออีกสักครู่หนึ่ง
จูลี่ไม่มีปัญหาอะไร บอกว่ารอหน่อยก็ไม่เป็นไร
หลังออกไปจากห้องรับแขกห้องนี้ ไป๋หลิงหลงก็รีบเข้าไปในห้องทำงานของฉินอี๋อีกครั้ง ก่อนกล่าวรายงานฉินอี๋ว่า “มากันครบแล้วค่ะ เริ่มได้หรือยังคะ?”
ฉินอี๋ส่ายหน้าเล็กน้อย ในมือถือเอกสารเอาไว้ฉบับหนึ่ง บนเอกสารมีรูปภาพของพานหลิงอวิ๋น นั่นคือข้อมูลเกี่ยวกับพานหลิงอวิ๋นที่เธอค้นออกมาได้ “เมื่อดูจากข้อมูลบางส่วนแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นคนเย่อหยิ่ง เผชิญหน้ากับตระกูลฉินโดยคิดว่าตัวเองอยู่เหนือว่า เธอไม่มีทางมีความอดทนอะไรแน่ รอไปอีกเดี๋ยว รอจนเธอเริ่มทนไม่ไหวแล้วค่อยเริ่ม”
เพื่อวันนี้แล้ว เธอแทบจะเลื่อนงานทั้งหมดออกไป ตั้งใจรับมือกับเรื่องนี้
แล้วก็เป็นอย่างที่เธอว่าเอาไว้ รอไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง พานหลิงอวิ๋นที่อยู่ภายในห้องรับแขกก็เริ่มจะหมดความอดทน สอบถามอยู่หลายครั้งว่าฉินอี๋จะเสร็จธุระเมื่อไร ขอเวลาที่แน่นอนด้วย
ในที่สุดฉินอี๋ที่ได้รับแจ้งข่าวก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องทำงาน แต่กลับไม่ได้ไปพบพานหลิงอวิ๋น หากแต่ไปยังห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลจากกัน ไปพบจูลี่
ทันทีที่เข้าไปในห้อง ฉินอี๋ก็รีบเดินเข้าไป ก่อนจะเป็นฝ่ายจับมือกับจูลี่พลางกล่าวขอโทษว่า “ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ปล่อยให้รอนาน ทางเหมืองหินวิญญาณเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย คนงานถูกสัตว์ร้ายโจมตีจนตายไปหลายคน เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อครู่ฉันก็เลยต้องไปจัดการเล็กน้อยเพื่อควบคุมสถานการณ์เอาไว้น่ะค่ะ”
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างที่เธอว่าจริงๆ แต่ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ส่วนเธอย่อมต้องทำเป็นว่าเพิ่งจะได้รับรายงานในตอนนี้
ถ้าต้องรอเป็นเวลานาน ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกหมดความอดทนเช่นกัน แต่ว่าจูลี่มาที่นี่เพื่อหาเงิน กลัวว่าลูกค้ารายใหญ่จะเปลี่ยนใจไม่เซ็นสัญญา เพียงแค่ให้เธอรอหน่อยเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าแสดงความไม่พอใจอะไรได้ จึงกล่าวไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายสำคัญกว่า ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมค่ะ?”
ฉินอี๋กล่าว “ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้วค่ะ กำลังจัดการปัญหาที่เหลืออยู่” กล่าวจบก็ยื่นมือไปเชิญอีกฝ่ายนั่ง
…………………………………………………