ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 243 กลิ่นหอม
ตอนที่ 243 กลิ่นหอม
นี่คือสวี่สยงในตอนนี้เหรอ? หลินยวนนิ่งเงียบ
นึกถึงเรื่องที่กวนเสี่ยวไป๋พูด ที่ว่าเถ้าแก่ที่เคยรังแกสวี่สยงคนนั้นถูกฆ่ายกครัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่หรือเด็กก็ล้วนแต่ไม่ปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว
เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ? เขาถามตัวเองอยู่ในใจ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลย ความคิดของเขาย้อนกลับไปยังภาพตอนเจอกันที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมทะเลหมอก ภาพที่สร้อยข้อมือเส้นนั้นยังถูกใส่อยู่บนข้อมือของเขา
เขาแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ยถามว่า “หอการค้าตระกูลเฮ่าไม่น่าจะแค่ทำธุรกิจทั่วไปอย่างโรงแรมและร้านอาหารธรรมดาแบบนั้นมั้ง?”
ลู่หงเยียน “แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ โรงเตี๊ยมทะเลหมอกคือกิจการของเฮ่าไห่ พระองค์เคยไปติดต่อกับคนที่โรงเตี๊ยมทะเลหมอกมาแล้ว น่าจะรับรู้ได้ว่าโรงเตี๊ยมทะเลหมอกนั้นไม่ธรรมดา เนื่องจากพวกโรงแรมและร้านอาหารต้องติดต่อกับคนค่อนข้างมาก ตระกูลตงเหวินจึงตั้งกิจการพวกนี้ขึ้นมาที่เมืองเซินยวนเพื่อใช้เป็นช่องทางในการติดต่อกับลูกค้า ว่ากันว่าตระกูลตงเหวินมีช่องทางลักลอบขนของเถื่อนมากจากโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่มีใครมีหลักฐานเท่านั้น ได้ยินมาว่าเฮ่าไห่ก็คือตัวแทนในการขนของเถื่อนจากโลกมนุษย์ของตระกูลตงเหวิน การที่พระองค์ไปซื้อของเถื่อนจากโลกมนุษย์ที่โรงเตี๊ยมทะเลหมอก นั่นก็น่าจะนับว่าเป็นการพิสูจน์คำเล่าลือบางส่วนเช่นกันเพคะ”
หลินยวนเงียบไปอีกสักพัก เอ่ยถามขึ้นมา “ตัวตายตัวแทนของตระกูลตงเหวินอย่างนั้นเหรอ?”
ลู่หงเยียน “จะว่าแบบนั้นก็ได้เพคะ! คลุกคลีอยู่กับงานผิดกฎหมาย ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มือจะไม่สกปรก สักวันหนึ่งจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน นี่เป็นเพียงแค่ช่องทางลับช่องทางหนึ่งที่อยู่ในมือของตระกูลตงเหวินเท่านั้น เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นตระกูลตงเหวินคงไม่มีทางหาเงินจากช่องทางนี้หรอกเพคะ เรื่องแบบนี้ ตระกูลตงเหวินไม่มีทางปล่อยให้พัวพันมาถึงตัวเองแน่นอน พวกเขาจะต้องเตรียมการเอาไว้อย่างรัดกุมแล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลตงเหวิน พวกเขาจะต้องทำให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนคนที่ซวยก็ต้องเป็นเฮ่าไห่คนนี้แน่นอน”
หลินยวน “มิน่าทั้งๆ ที่เฮ่าไห่จัดการลูกหลานของตระกูลตงเหวินไป แต่ตระกูลตงเหวินกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย”
ลู่หงเยียน “น่าจะใช่เพคะ เกรงว่าเฮ่าไห่ก็คงจะมองจุดนี้ออกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าต่อให้ใจกล้าแค่ไหนก็คง ไม่กล้าลงมือง่ายๆ แน่ อิทธิพลของตระกูลตงเหวินไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปหาเรื่องได้ สุดท้ายแล้วตัวเขาเองจะต้องลงเอยยังไง คาดว่าตอนนี้เฮ่าไห่ก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ในเมื่อเดินไปบนเส้นทางนี้แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพคะ”
“พอจะนึกภาพออกเลย คนงานธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในตอนนั้น ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่จะมองถึงเรื่องอนาคตได้ ไม่สามารถทำอะไรเกินตัว ทันทีที่ตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นมาให้ได้ มีอะไรบ้างที่จะไม่กล้าทำ เขาเดินมาจนถึงวันนี้ เสื้อผ้าอาหารล้วนมีครบ อาจจะมีบ้างที่คิดจะถอย แต่มานั่งเสียใจตอนนี้มันสายไปแล้ว เขาทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ไม่มีหนทางให้ถอยกลับ ทำได้แค่เพียงเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดจบ”
คนที่ทำงานเหมือนอย่างพวกเขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีที่สุด เพียงแค่ดูสถานการณ์คร่าวๆ ก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร
หลินยวนนิ่งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีก “มีเรื่องอื่นอีกไหม?”
ลู่หงเยียน “ไม่มีแล้วเพคะ ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับเฮ่าไห่ที่มีอยู่ในมือตอนนี้มีเพียงเท่านี้เพคะ หากพระองค์อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ เกรงว่าต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมสักหน่อย เฮ่าไห่คนนี้ก็นับว่าเป็นคนที่มีหูตาอยู่ในเมืองเซินยวนค่อนข้างเยอะเหมือนกันเพคะ ถ้าจะสืบเรื่องของเขาในเมืองเซินยวนโดยไม่ให้เขารู้ตัว เราก็ต้องระวังให้มากสักหน่อยเพคะ”
หลินยวนคิดเล็กน้อย “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสืบแล้ว แค่จับตาดูเอาไว้หน่อยก็พอ”
สมาธิของเขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้ เขาไม่อยากให้มีปัญหาอะไรเข้ามาแทรก แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะติดต่อกับสวี่สยงดีหรือไม่
ลู่หงเยียน “เพคะ!”
หลังจากวางสายไป หลินยวนนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา แล้วก็นึกถึงเส้นทางที่เพื่อนสนิทสามคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในอดีตต่างเผชิญกันอยู่ในเวลานี้ คิดๆ ไปแล้วก็แอบรู้สึกทอดถอนใจ
ท้ายที่สุดแล้วก็มีเพียงกวนเสี่ยวไป๋ที่มีบ้านมีครอบครัวเท่านั้นที่ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป ทางเลือกของเขากับสวี่สยงที่จริงแล้วไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ตอนนั้นเพียงได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับสวี่สยงที่กวนเสี่ยวไป๋เล่า เขาก็คาดเดาได้แล้ว เกรงว่าเรื่องที่สวี่สยงทำคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรเช่นกัน
ความแตกต่างระหว่างเขากับสวี่สยง อาจจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาเดินไปบนเส้นทางที่มันใหญ่กว่าตั้งแต่แรกเริ่ม หลังออกจากเมืองปู๋เชวี่ยก็ได้พบกับผู้มีพระคุณ ทำการเปลี่ยนแปลงร่างกาย จากคนธรรมดาคนหนึ่งก้าวข้ามไปสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนแนะนำเขาให้เข้าไปในหลิงซานซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกคนต่างใฝ่ฝัน แต่สวี่สยงไม่ได้รับโอกาสนี้
สำหรับเรื่องที่ลู่หงเยียนพูดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่สวี่สยงทำ ที่บอกว่าลงมือโหดเหี้ยมอะไรทำนองนั้น หลินยวนไม่มีทางไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรในแง่ลบ
มิใช่เพราะว่ามิตรภาพในอดีตหรืออย่างไร หากแต่เพราะว่าเขารู้ว่าคนที่สามารถลืมตาอ้าปากขึ้นมาจากความยากลำบากได้ล้วนไม่ใช่คนโง่ คนเหล่านี้ย่อมต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าค่านิยมอันเป็นสากล ย่อมรู้ว่าผิดชอบชั่วดีมันคืออะไร รู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีใครกล้าเดินทางผิดง่ายๆ เพราะทุกการกระทำย่อมต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเลือกของตนเอง!
หากเลือกทำในสิ่งดีๆ ได้ ย่อมไม่มีใครอยากทำในสิ่งเลว
ก็เหมือนอย่างที่กวนเสี่ยวไป๋บอกไว้ ถ้าคนในครอบครัวไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ เขาก็อาจจะเป็นเหมือนกับหลินยวนและสวี่สยง เดินไปในทางนั้นเช่นกัน คงไม่ได้เก็บของเก่าอยู่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของเมืองปู๋เชวี่ยอย่างนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องที่บนข้อมือของสวี่สยงยังคงใส่สร้อยข้อมือที่เขาให้ไป เขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลายปีมานี้สวี่สยงถึงไม่ได้ติดต่อกับทางเมืองปู๋เชวี่ยเลย แล้วก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเงินที่สวี่สยงให้กวนเสี่ยวไป๋ไปถึงไม่ได้เยอะ ให้แค่พอต่อความต้องการของกวนเสี่ยวไป๋เท่านั้น นั่นเป็นเพราะว่าเขารู้จักและเข้าใจในเส้นทางที่ตนเองเดิน ไม่อยากให้เดือดร้อนมาถึงเพื่อนเก่า
ก็เหมือนกับตัวเขาที่มีความสามารถจะให้เงินจำนวนมากกับกวนเสี่ยวไป๋ได้ สามารถที่จะให้เงินที่ทำให้ครอบครัวของกวนเสี่ยวไป๋ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ไปตลอดชีวิตได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีให้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเสียดาย หากแต่เป็นเพราะว่าให้ไม่ได้
……
ขณะที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ หลัวคังอันก็กลับมาแล้ว ยื่นเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่เขาใส่อยู่ให้หลินยวนดู เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองกลับมาภายในเวลาที่กำหนด ไม่ได้มีการโอ้เอ้แต่อย่างใด
ถือว่าทำได้ดี แต่บนตัวเขายังมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย นอกจากจะไม่ได้รับคำชมจากหลินยวนแล้ว เขายังต้องทำงานหลายอย่างต่ออีก
เครื่องหอมชนิดต่างๆ ที่หอการค้าตระกูลฉินรวบรวมให้ส่งมาถึงแล้ว ต้องเริ่มแยกประเภทและจัดเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวเปิดขาย แล้วก็ยังต้องทำพวกป้ายชื่ออะไรทำนองนั้นด้วย เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นหลัวคังอันที่ต้องทำหามรุ่งหามค่ำ ส่วนหลินยวนนั้นแค่ชี้นิ้วสั่งอยู่ข้างๆ
แต่แน่นอน หลัวคังอันยังคงทำนิสัยเดิมๆ ภายนอกไม่กล้าอิดออกอะไร แต่ภายในใจกลับแอบด่าไม่หยุด แกมาเป็นรองประธานแทนฉันมา!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่เมืองหมอกแห่งนี้ หลินยวนคือเจ้าของร้าน หลัวคังอันก็คือพนักงาน
แม้ว่าประตูร้านจะยังปิดอยู่ แต่คนมากมายที่ผ่านไปผ่านมาข้างนอกกลับอดไม่ได้ที่จะหันมามองดูเล็กน้อย เพราะได้กลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายออกไป
ในตอนที่ฟ้าใกล้สว่าง หลัวคังอันออกมาแขวนป้ายร้าน หากชักช้าไปหนึ่งวันก็จะเสียเวลาไปหนึ่งวัน วันนี้จะเปิดร้านแล้ว
ป้ายร้านเป็นชื่อที่หลินยวนเป็นคนตั้ง ไม่ได้มีอะไรอ้อมค้อม ตรงไปตรงมา มีแค่สองพยางค์ ‘กลิ่นหอม’!
หลังจากดูป้ายที่ตนเองแขวนว่าตรงหรือไม่เสร็จเรียบร้อย หลัวคังอันก็มองชุดพนักงานที่ตัวเองสวมใส่ อดไม่ได้ที่จะเดินกลับเข้าไปในร้านด้วยรอยยิ้มขมขื่น เขาปิดประตู เดินไปที่หน้าโต๊ะเก็บเงิน เท้าแขนลงไปแล้วกล่าวกับหลินยวนที่กำลังจัดเรียงข้าวของเครื่องใช้ที่เถ้าแก่ต้องใช้อยู่หลังโต๊ะเก็บเงินด้วยเสียงเบาๆ “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ที่บ้านยังรอให้พวกเราช่วยอยู่นะ เราจะมาเปิดร้านเครื่องหอมอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ?”
หลินยวนช้อนตาขึ้นมอง รู้ว่าคนผู้นี้ถ้าไม่มีแรงกระตุ้นจะไม่เต็มใจทำงาน จึงครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็กระตุ้นคนผู้นี้ไปหน่อย เรื่องบางเรื่องก็ต้องเริ่มมอบหมายให้เขาไปทำด้วย จึงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ของที่แม้แต่สภาเซียนก็หาเจอไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเราบุ่มบ่ามเข้าไปแล้วหาจะหาเจอไหม? ถ้าอยากหาของสิ่งนั้นเจอ ก็ต้องหาคนคนหนึ่งให้เจอก่อน เธอคือคนที่รู้จักดินแดนแห่งความฝันดีที่สุด ที่เราทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อตามหาเธอ”
นี่คิดจะหลอกฉันเหรอ? หลัวคังอันบ่นพึมพำในใจ กระพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยถาม “ตามหาใครถึงต้องมาเปิดร้านเครื่องหอมที่เมืองหมอกเพื่อตามหาแบบนี้?”
หลินยวน “ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เธอซ่อนตัวอยู่ในเมืองหมอก ขอแค่ตามหาเธอเจอ เราก็จะเปลืองแรงตามหาสิ่งๆ นั้นน้อยลง!”
ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าเธอจะอยู่ในเมืองหมอกหรือเปล่า แต่ขอเพียงผู้อาวุโสรุ่นก่อนไม่ทำให้เธอรู้ตัวเสียก่อน มันก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะอยู่ที่นี่
หากคิดจะปกปิดตัวตน เช่นนั้นเมืองหมอกก็คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ถ้าต้องเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ เธอก็ต้องเปลี่ยนตัวตนไปเรื่อยๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงที่ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างเธอจะทำ ดังนั้นลองเสียเวลาหาดูสักหน่อยจะดีกว่า
อย่างน้อยๆ ก็มีเบาะแสอยู่ ดีกว่าหลับหูหลับตาไปตามหานางพญาหนอนแห่งความฝันมากนัก ซึ่งนี่ก็นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ตาของหลัวคังอันเป็นประกายขึ้นมาทันที นิ้วทั้งสิบที่วางอยู่บนโต๊ะเก็บเงินก็เริ่มเกี่ยวพันกันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก็เหมือนอย่างใจของเขาในเวลานี้
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก มันก็เป็นไปอย่างที่หลินยวนคิดไว้ เจ้านี่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ไม่สงสัยอะไรแล้ว ในแววตาดูลิงโลดมีความสุข สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปเลย “ถ้าสามารถหานางพญาหนอนแห่งความฝันเจอได้โดยเปลืองแรงน้อยลง อย่างนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลาอยู่ที่เมืองหมอกแล้ว ในเมื่อเธอเป็นคนที่สำคัญขนาดนี้ อย่างนั้นก็ต้องตั้งใจหา เราจะหายังไง? เพื่องานใหญ่แล้ว เถ้าแก่สั่งการมาได้เต็มที่เลยครับ!”
คำพูดคำจาคล้ายเข้าสู่บทบาทของพนักงานเต็มตัวแล้ว เรียกได้ว่าตั้งใจขึ้นมาจริงๆ
“ดูให้ดีล่ะ” หลินยวนเอ่ยเตือนเขาก่อน สายตาของหลัวคังอันจับจ้องที่ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทันที
หลินยวนหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา ถือมาตรงหน้าจมูกของตนเองแล้วก้มหน้าดมเล็กน้อย จากนั้นก็หันซ้ายดมอย่างช้าๆ แล้วหันขวาดมอย่างช้าๆ เสร็จแล้วก็หรี่ตา ท่าทางดูคล้ายกำลังดื่มด่ำเพลิดเพลิน
หลังจากทำเสร็จ สีหน้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ วางถ้วยชาลง เอ่ยถามว่า “เห็นชัดหรือยัง?”
หลัวคังอันมองเขาอย่างงงๆ พยักหน้าก่อน จากนั้นส่ายหน้าออกมาติดๆ “นี่เสร็จแล้วเหรอ? เถ้าแก่ ผมทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจไม่ได้หรอกครับ ผมไม่เข้าใจ นี่มันหมายความว่าอะไร?”
ทำอะไรเนี่ย เขางุนงงจริงๆ ไม่รู้ว่าเล่นอะไรอยู่
หลินยวนอธิบายว่า “ผู้หญิงคนนี้ชอบกลิ่นหอม นี่คือนิสัยการดมกลิ่นของเธอ หลังจากเปิดร้านแล้ว ขอเพียงมีคนที่มีนิสัยการดมกลิ่นแบบนี้ ให้แกแอบมาบอกฉันทันที จำเอาไว้ เธอปกปิดตัวตนอยู่ที่นี่ เนื่องจากรูปโฉมของเธอสะดุดตาเกินไป ฉันจึงคิดว่าเธอไม่น่าจะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง แกอย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเอาเด็ดขาด สิ่งที่สำคัญคือคนที่มีนิสัยการดมแบบนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า แต่นิสัยที่ติดตัวยากจะแก้ได้ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วครับๆ” หลัวคังอันพยักหน้ารัวๆ ตบหน้าอกรับประกัน “เถ้าแก่วางใจได้ เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ผมไม่มีทางทำเสียเรื่องแน่นอน ขอเพียงแค่เธอมา ผมจะต้องจำเธอได้แน่”
หลินยวนพยักหน้า “จัดของให้เรียบร้อยอีกหน่อย เวลาไม่คอยใคร พอฟ้าสว่างก็เปิดร้านได้เลย”
“อื้อ” หลัวคังอันรับคำ หันหลังตาเป็นประกาย อยากจะรู้จริงๆ ว่าผู้หญิงที่ตนต้องจับตามองนั้นเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ ถึงกับทำให้คนที่มีผู้หญิงอย่างลู่หงเยียนอยู่ข้างกายพูดออกมาว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ
เรื่องราวมันก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าหาคนคนนี้เจอ เกรงว่าคงต้องพาไปที่ดินแดนแห่งความฝันด้วยกัน หากเป็นคนที่สวยมากจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนนี่สิ!
เมื่อมีแรงกระตุ้น ภายในใจก็มีชีวิตชีวา ตั้งใจขึ้นมา ขณะที่ทำงานไปก็หยิบเครื่องหอมขึ้นมาเป็นระยะ เลียนแบบท่าทางที่หลินยวนแสดงให้ดูก่อนหน้านี้พลางจดจำอย่างเงียบๆ เรียกได้ว่าตั้งใจจริงๆ
…………………………………………………………….