ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 24 พูดแทน
ตอนที่ 24 พูดแทน
“ท่านประธานคะ จูลี่พาคนเดินทางมาถึงแล้วค่ะ”
ไป๋หลิงหลงที่รีบเดินเข้ามาในห้องทำงานของฉินอี๋รีบแจ้งข่าว
ฉินอี๋ที่กอดอกพลางเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าต่างหยุดฝีเท้าลง กล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อยว่า “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “เราไม่สะดวกที่จะคอยจับตาดูเธอเอาไว้ค่ะ เพราะถ้าทางสำนักงานเจ้าเมืองพบเข้า เกรงว่าจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ จึงไม่ได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของเธอไว้ ในตอนที่เราโทรแจ้งเธอเมื่อครู่ เธอน่าจะกำลังเดินทางมาอยู่ค่ะ”
ฉินอี๋รีบถามทันที “พานหลิงอวิ๋นออกเดินทางหรือยัง?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ยังค่ะ แต่นัดไว้แล้วว่าจะมาช่วงเช้า น่าจะไม่เกินเที่ยงค่ะ”
ฉินอี๋เดินไปเดินมาอีกสองสามก้าว จู่ๆ พลันถามขึ้นมาอีกว่า “แน่ใจนะว่าในกลุ่มของจูลี่ที่มาเซ็นสัญญามีคนของทางสำนักงานเจ้าเมืองด้วย?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “แน่ใจค่ะ ในกลุ่มพนักงานของสถานีออกอากาศปู๋เชวี่ยวีดีโอ นอกจากจะมีนักข่าวจากด้านนอกที่สนิทสนมกับจูลี่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นคนที่ทางสำนักงานเจ้าเมืองส่งมาให้ตามความต้องการของจูลี่ค่ะ ในตอนที่สถานีออกอากาศเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา ทางเหิงเทาได้ส่งคนมาคอยจับตาดูไว้เพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น สามารถสนองความต้องการของจูลี่ได้ในยามที่เธอต้องการ จูลี่ไม่ค่อยถนัดเรื่องสัญญาธุรกิจ สัญญาที่ร่างขึ้นมาเมื่อคืนนี้ก็เป็นคนที่ทางเหิงเทาส่งมาช่วยทำการร่างขึ้นมา สัญญาธุรกิจฉบับแรกของทางปู๋เชวี่ยวีดีโอ ทางสำนักงานเจ้าเมืองจะต้องมีคนตามมาคอยจับตาดูด้วยแน่นอนค่ะ”
ฉินอี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทำการตัดสินใจออกมา เธอกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ฉันไม่ออกไปต้อนรับแล้วกัน เธอต้อนรับจูลี่ไปเลย ให้ไปนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองก่อน”
เดิมทีเพราะเห็นแก่หน้าของลั่วเทียนเหอ เธอจึงจะออกไปต้อนรับด้วยตัวเองเสียหน่อย แต่จูลี่มาเร็วเกินไป ผิดไปจากแผนที่เธอวางเอาไว้แต่แรก
“ได้ค่ะ” ไป๋หลิงหลงรับคำ รีบเดินออกไป
ตอนที่ลงไปก็พาคนไปด้วยสองสามคน มายังโถงใหญ่ตรงประตูหน้าของหอการค้า ได้เจอกับพวกจูลี่ที่กำลังรอคอยอยู่ จึงรีบสืบเท้าเดินเข้าไปจับมือ “คุณจูลี่ ขอประทานโทษจริงๆ ค่ะ ท่านประธานติดธุระด่วน ตอนนี้กำลังจัดการอยู่ เลยมาต้อนรับด้วยตัวเองไม่ได้ จึงส่งฉันมารอต้อนรับแทน ขอคุณจูลี่อย่าได้ถือโทษโกรธกันค่ะ”
จูลี่ยิ้มพลางกล่าว “ท่านประธานฉินมีเรื่องด่วนมากมายให้จัดการ เข้าใจได้ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
“เชิญค่ะ” ไป๋หลิงหลงกระวีกระวาดหมุนตัวเชิญเธอ พาพวกจูลี่ขึ้นไปด้านบน
ส่วนหลัวคังอันก็ยังพยายามโน้มน้าวหลินยวนอยู่ ตลอดทางคอยเกลี้ยกล่อมหลินยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าฝืนเข้าไปหาเรื่องใส่ตัวเลย ทว่าหลินยวนคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
แต่ไป๋หลิงหลงเองก็ไม่ใช่คนที่นึกอยากเจอก็จะเจอได้เช่นกัน จำเป็นต้องผ่านด่านลูกน้องของเธอก่อน หลินยวนมาพบซูเฉี่ยวหลินที่เป็นผู้ช่วยของไป๋หลิงหลง บอกให้เธอช่วยแจ้งไป๋หลิงหลงหน่อย
หากมิเป็นเพราะทั้งสองคนมีบัตรพนักงานระดับสวรรค์อยู่ เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่มีสิทธิ์เข้ามายังพื้นที่นี้โดยพลการได้
ซูเฉี่ยวหลินจำต้องกล่าวขอโทษว่า “คุณหลินค่ะ ผู้ช่วยไป๋เพิ่งจะออกไปค่ะ ตอนนี้ไม่อยู่ค่ะ”
หลินยวนกล่าว “ท่านประธานอยู่ไหม?”
ซูเฉี่ยวหลินค่อนข้างลำบากใจ ไม่รู้ว่าเขามีธุระอะไร เธอไม่สะดวกที่จะบอกว่าฉินอี๋อยู่หรือไม่ ในตำแหน่งนี้เรื่องใดที่ควรหลีกเลี่ยงก็ควรจะหลีกเลี่ยงเอาไว้ดีกว่า จึงได้แต่ต้องตอบอ้อมๆ ว่า “ฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ ถ้าไงคุณนั่งรอก่อนไหมคะ ผู้ช่วยไป๋แค่ลงไปต้อนรับแขก อีกประเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้วค่ะ”
ในเมื่อเป็นแบบนี้ หลินยวนก็ไม่ทำให้เธอลำบากใจอีก เขาทำได้เพียงนั่งรออยู่ด้านข้างกับหลัวคังอัน
แล้วก็ได้แต่ต้องรอเท่านั้น ไม่อาจบุกเข้าไปได้ เขารู้ว่าที่นี่มีผู้คุ้มกันที่คอยรักษาความปลอดภัยให้ฉินอี๋อยู่ หากฝืนบุกเข้าไปจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
หลัวคังอันนั่งพิงกำแพงอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับหลินยวนดี แต่ในเมื่อพูดไม่รู้เรื่อง เขาเองก็คร้านที่จะพูดแล้วเช่นกัน
สำหรับเขาแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร หลินยวนที่เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังกระโดดออกมาเองแบบนี้ เขาเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นเองเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากตรงมุมทางเดิน คนที่เดินนำหน้ามาคือไป๋หลิงหลงกับจูลี่
ไป๋หลิงหลงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับจูลี่งุนงงไปเล็กน้อย เธอมองเห็นหลินยวนที่กำลังนั่งรออยู่
จูลี่มองตามไป หลัวคังอันนั้นถูกเธอจำได้ทันทีที่มองเห็น ส่วนหลินยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ เองก็รู้สึกคุ้นตา จากนั้นสายตาพลันเปล่งประกาย เธอจำเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
แม้นลักษณะท่าทางที่เหมือนคนตกอับของหลินยวนจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกน่าค้นหาบางอย่างในตัวหลินยวนได้ฝังลึกอยู่ในใจของเธอ โดยเฉพาะมือของหลินยวนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานข้างนั้น กำไลรูปร่างประหลาดบนข้อมือของเขาก็ฝังลึกอยู่ในใจของเธอด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเธอเคยสำรวจดูหลินยวนในระยะใกล้ชิดมาก่อน เธอจึงแน่ใจทันทีว่าหลินยวนคือคนที่โดยสารเรือคุนลำนั้นมาด้วยกัน
จูลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบคนผู้นี้ในสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลินยวนกับหลัวคังอันจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยกัน เธอแน่ใจว่าตอนนั้นทั้งสองคนนี้น่าจะไม่รู้จักกัน
เมื่อเห็นจูลี่ หลินยวนตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้เจอเธอที่นี่
หลังจากหลัวคังอันมองเห็นชัดเจนแล้วว่าแขกที่ไป๋หลิงหลงพามาด้วยเป็นใคร เขาก็คล้ายทึมทื่อไปทันที หัวใจเต้นระรัวขึ้นมา รีบหันหน้าเข้าหากำแพง ด้วยหวังว่าจูลี่จะจำตัวเองไม่ได้ ภายในใจที่รู้สึกหมดคำพูดของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและเศร้าใจเช่นกัน ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้วะเนี่ย?
หลังเดินเข้ามาถึง จูลี่เองก็เหลือบมองดูหลัวคังอันอยู่หลายครั้ง แต่สายตาที่สงสัยใคร่รู้จะจับจ้องอยู่ที่ตัวหลินยวนเสียเป็นส่วนใหญ่
บนเรือคุนลำนั้น สัญชาตญาณของเธอทำให้เธอเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในตัวหลินยวน
ซูเฉี่ยวหลินกล่าวว่า “ผู้ช่วยไป๋คะ คุนหลินมาขอพบค่ะ”
ไป๋หลิงหลงถามหลินยวนทันทีว่า “มีธุระเหรอ?”
ธุระของหลินยวนไม่สะดวกที่จะพูดต่อหน้าคนนอก เขาจึงเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไร
“คุณแซ่หลินหรือคะ” จูลี่เอ่ย ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปหาหลินยวนพร้อมส่งยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้มาพบกันที่นี่นะคะ”
หลินยวนทำท่าเหมือนไม่รู้จักเธอ ไม่ได้ยื่นมือออกไปจับมือเธอ
ไป๋หลิงหลงขมวดคิ้ว เธอเห็นว่าด้านหลังจูลี่มีคนจ้องมองหลินยวนด้วยสายตาเย็นยะเยือก จึงกล่าวไปทันทีว่า “หลินยวน นี่คือแขกของท่านประธาน ห้ามเสียมารยาท”
จูลี่โบกมือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะชี้ไปที่หลัวคังอัน กล่าวว่า “คุณหลิน คุณ ฉัน เขา พวกเราสามคนนั่งเรือคุนลำเดียวกันมาที่นี่ ตอนนั้นพวกเรานั่งอยู่ด้วยกันไงคะ”
ถูกเธอจำได้จริงๆ ด้วย! หลัวคังอันที่หันหน้าหากำแพงลอบอุทานอยู่ในใจ
หลินยวนกล่าว “ความจำผมไม่ค่อยดี ต้องขออภัยด้วยครับ”
สายตาของไป๋หลิงหลงสาดประกาย ถ้าเธอจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่หลินยวนพบหน้าหลัวคังอันเป็นครั้งแรกก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เหมือนกัน อีกทั้งเมื่อดูจากท่าทางที่เหมือนเห็นผีของหลัวคังอันในเวลานี้ ภายในใจเธอก็แอบรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแอบซ่อนอยู่
จูลี่ยิ้มพลางกล่าว “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ก็รู้จักกันแล้วไม่ใช่หรือคะ? คุณหลิน สวัสดีค่ะ ฉันจูลี่ค่ะ” เธอกล่าวพลางยื่นมือออกไปอีกครั้ง ลักษณะเฉพาะของอาชีพเธอก็คือการที่หน้าหนากว่าคนอื่น อย่างเช่นท่าทีที่ไม่รับแขกของผู้ให้สัมภาษณ์ที่เธอเห็นมาเยอะแล้ว รู้สึกชินนานแล้ว
เมื่อมีคนมากมายมองดูอยู่ อีกทั้งอีกฝ่ายยังอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน หลินยวนจึงไม่สะดวกที่จะเสียมารยาทมากนัก เขาได้แต่ต้องฝืนยื่นมือออกไปจับมือเธอเบาๆ พลางกล่าวว่า “สวัสดีครับ”
“นายรออยู่ตรงนี้ก่อน” ไป๋หลิงหลงกล่าวกับหลินยวนเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปทางด้านข้างพลางกล่าว “คุณจูลี่คะ เชิญด้านในค่ะ”
ช่วยไม่ได้ เวลานี้คือช่วงเวลาที่กำลังดำเนินแผนการบางอย่างของฉินอี๋อยู่ ไม่อาจปล่อยให้จูลี่รั้งอยู่ที่นี่ได้ มิเช่นนั้นอาจจะทำให้แผนการเกิดความผิดพลาดได้
จูลี่เองก็ไม่อาจปล่อยให้ไป๋หลิงหลงยืนรอเป็นเวลานานได้ จึงได้แต่ต้องตามอีกฝ่ายไป เธอพยักหน้าไปทางหลินยวน ทั้งยังเหลือบมองดูหลัวคังอันอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเดินตามไป๋หลิงหลงเข้าไป
ทันทีที่จูลี่เดินเข้าไปในห้อง หลัวคังอันก็รีบหมุนตัวมากล่าวกับหลินยวนว่า “เรื่องนั้น เดี๋ยวฉันกลับไปรอฟังข่าวจากนายแล้วกัน”
กล่าวจบก็วิ่งออกไป ไม่อยากจะเจอหน้าจูลี่อีก ในเวลานี้จิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่รู้ว่าจูลี่จะพูดอะไรกับฉินอี๋บ้าง
หลินยวนมองดูเขาจากไป รู้ว่าคนผู้นี้กำลังกังวลเรื่องอะไร
จูลี่เองก็ไม่สามารถเข้าพบฉินอี๋ได้เลย ไป๋หลิงหลงหาข้ออ้างบอกว่าฉินอี๋มีธุระ ก่อนจะเชิญพวกจูลี่เข้ามายังห้องรับแขก ให้พวกเขารอสักครู่หนึ่ง
หลังพาคนเหล่านี้เข้าไปรอในห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว ไป๋หลิงหลงก็กลับออกมา ก่อนที่จะเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองก็กวักมือเรียกหลินยวนอยู่ไกลๆ
ซูเฉียวหลินย่อมไม่ขัดขวางอีก ปล่อยให้หลินยวนเข้าไป
เมื่อเห็นหลินยวนเข้ามาแล้ว ไป๋หลิงหลงที่ยืนรออยู่จึงกล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
ท่าทีที่เธอปฏิบัติต่อหลินยวนไม่เหมือนกับคนอื่น เธอคือคนที่รู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลัง รู้ว่าฉินอี๋อยากจะทำอะไร
หลินยวนมองไปทางประตูอีกบานหนึ่งที่อยู่ภายในห้อง ด้านหลังประตูบานนั้นคือห้องทำงานของฉินอี๋ หากอยากจะเข้าไปในห้องทำงานของฉินอี๋ก็จำเป็นต้องผ่านห้องทำงานของไป๋หลิงหลงไปก่อน
“มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอหน่อย” หลินยวนกล่าว
ไป๋หลิงหลงย่อมต้องรู้ว่า ‘เธอ’ที่อีกฝ่ายพูดถึงคือใคร จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม น่าจะเป็นเพราะให้หลัวคังอันจัดการแล้วไม่ได้ผล ตัวเองจึงต้องออกหน้าเอง เพียงแต่เรื่องนี้…หากเขามาเพราะเรื่องนี้จริงๆ เธอก็อยากจะถามหลินยวนว่านายทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของฉินอี๋กับหลินยวนจะไม่เคยถูกเปิดเผย แต่เธอก็เคยเป็นแฟนเก่าของหลินยวนจริงๆ แล้วตอนนี้หลินยวนมาเล่นหูเล่นตากับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ทั้งยังมาหาฉินอี๋เพื่อผู้หญิงคนนั้น แล้วจะให้ฉินอี๋รู้สึกอย่างไร?
แต่เธอก็ไม่สะดวกช่วยฉินอี๋ปฏิเสธได้เช่นกัน จึงหมุนตัวไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กระทั่งมีเสียงตอบรับจากปลายสายจึงกล่าวรายงานว่า “ท่านประธานคะ หลินยวนมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องอยากจะขอพบท่านประธาน”
เธอเชื่อว่าฉินอี๋น่าจะรู้ว่าหลินยวนมาทำไม เช่นนั้นก็ให้ฉินอี๋เป็นคนตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ปลายสายนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ให้เขาเข้ามา”
ไป๋หลิงหลงวางสาย ผายมือเชิญ จากนั้นพาหลินยวนเข้าไปในห้องทำงานของฉินอี๋ด้วยกัน
ฉินอี๋ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานคีบบุหรี่อยู่ในมือพลางพ่นควันออกมา เธอนั่งพิงพนักเก้าอี้ มองดูทั้งสองคนที่เดินเข้ามา จ้องมองดูหลินยวนด้วยสายตาที่เฉยเมย สุดท้ายกล่าวออกมาว่า “ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ มีเวลาไม่มาก มีอะไรก็ว่ามาเลย”
หลินยวนเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยอมรับว่า “ท่านประธาน เรื่องที่หลัวคังอันมาพูดก่อนหน้านี้ ความจริงเขากำลังช่วยผมอยู่”
ฉินอี๋กล่าว “แล้วยังไง? นายคิดว่าฉันจะเห็นแก่หน้านายมากกว่าเหรอ? หรือคิดว่าพวกเราเคยมีอดีตร่วมกัน ก็เลยสอดมือเข้ามายุ่งกับการโยกย้ายพนักงานของหอการค้าได้?”
พูดถึงเรื่องอดีตอีกแล้ว หลินยวนรู้สึกเหนื่อยใจ “ท่านประธานเข้าใจผิดแล้ว ที่ผมให้หลัวคังอันมาช่วยพูดก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าสถานการณ์ทางบ้านของกวนเสี่ยวชิงไม่ค่อยดีเท่าไร แม่ของเธออายุมากแล้ว จำเป็นต้องให้เธอดูแล ถ้าอยู่ไกลเกินไปมันจะลำบาก เลยหวังว่าท่านประธานจะให้โอกาสเธอได้อยู่ที่นี่เพื่อดูแลแม่ของเธอ”
ฉินอี๋ยิ้มขึ้นมา หรือพูดอีกอย่างคือยิ้มเยาะ “ไม่เลวนี่ ไม่ทันไรก็รู้แม้กระทั่งว่าครอบครัวเขาเป็นอย่างไร นายมาพูดแทนเธออย่างนี้ หรือว่าเธอจะเป็นผู้หญิงของนาย?”
หลินยวนกล่าว “ไม่ใช่ ท่านประธานคิดมากแล้ว กวนเสี่ยวไป๋ที่เป็นพี่ชายของเธอเป็นเพื่อนสนิทของผม ครอบครัวเธอเคยดูแลผมมาก่อน ผมติดค้างน้ำใจครอบครัวเธอ ครั้งนี้เลยอยากจะชดใช้คืน ผมรู้ว่าการมาพูดเรื่องนี้กับท่านประธานมันไม่เหมาะ แต่ทางเหมืองหินวิญญาณน่าจะไม่ได้ต้องการตัวกวนเสี่ยวชิงถึงขนาดนั้น หวังว่าท่านประธานจะเมตตาให้โอกาสเธอด้วย”
กวนเสี่ยวไป๋? ฉินอี๋ตกตะลึงไปทันที ชื่อนี้ถือว่าค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับเธอ แม้นจะไม่เคยเจอหน้า แต่คนรู้จักในเมืองปู๋เชวี่ยของหลินยวนมีใครบ้าง เธอก็ได้ทำการสืบมาจนรู้หมดแล้ว
กวนเสี่ยวชิง? กวนเสี่ยวไป๋? ฉินอี๋อดมองไปทางไป๋หลิงหลงไม่ได้ คล้ายกำลังถามว่าน้องสาวของกวนเสี่ยวไป๋เข้ามาทำงานในตระกูลฉินเหรอ?
ไป๋หลิงหลงทำหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย เธอเองก็รู้จักกวนเสี่ยวไป๋ เพียงแต่ภายในหอการค้าตระกูลฉินมีพนักงานตั้งมากมายขนาดนั้น เธอเองก็ไม่มีทางที่จะไปตรวจดูภูมิหลังครอบครัวของพนักงานทุกคนได้
ชื่อสองชื่อที่มีความใกล้เคียงกันขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเอะใจอะไรเลย ไป๋หลิงหลงรู้ว่าตัวเองสะเพร่าแล้ว
หลินยวนจ้องมองผู้หญิงที่ทั้งเป็นคนคุ้นเคยและเป็นคนแปลกหน้าที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงหน้าคนนี้ด้วยสายตาเฝ้ารอคอย
ฉินอี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าสถานการณ์ของครอบครัวเธอเป็นเหมือนที่นายว่ามาจริงๆ ฉันก็จะลองคิดดู”
หลินยวนกำลังจะกล่าวขอบคุณ แต่ใครจะไปรู้ว่าฉินอี๋จะเหลือบมองมาพลางกล่าวว่า “แต่ทำไมฉันต้องรับปากนายด้วย?”
………………………………………………..