ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 232 สิบแปดสัมภเวสีแห่งยมโลก
ตอนที่ 232 สิบแปดสัมภเวสีแห่งยมโลก
“ผบ.เว่ย!”
“ผบ.เว่ย!”
คนที่ตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรกคือลั่วเทียนเหอ เขาพุ่งตัวเข้าไปขวางหน้าอาจารย์หลางไว้ “มีเรื่องอะไรก็พูดคุยกันดีๆ สิครับ ท่านอาจารย์มาช่วยด้วยความหวังดี ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ถือว่ามีน้ำใจ มีที่ไหนกันที่ทุบตีหมอเพราะรักษาไม่หาย?”
คนที่ตะโกนเรียกขึ้นมาหลังจากนั้นคือฉินอี๋ เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าแขนของเว่ยผิงกงเอาไว้
เว่ยผิงกงด่าลั่วเทียนเหอก่อน “มาเพราะหวังดีอะไร? หากไม่ใช่เพราะวังเซียนเอ่ยปาก เขาจะมาเหรอ? รักษางั้นเหรอ? รักษาอะไร? ตั้งแต่มาเขาก็แสร้งทำเป็นทำโน่นทำนี่ ไม่มีประโยชน์ห่าอะไรเลย มีแต่มาสร้างความหวัง หลอกให้ทุกคนดีใจ ไร้มโนธรรมสิ้นดี แค่หมอกระจอกๆ คนหนึ่ง จะเก็บเขาไว้ทำไม!”
เขาหันกลับมามองด้วยความโกรธเกรี้ยว ด่าฉินอี๋ต่อว่า “เธอยืนอยู่ข้างไหน? ที่ฉันจะเอายาแก้นี่ก็จะได้ช่วยแก้ปัญหาให้เธอได้ด้วย เธอคิดว่าประจบประแจงคนพวกนี้ไปแล้วอะไรมันจะดีขึ้นเหรอ? คนที่ฟังคำสอพลอจนเคยชินแบบนี้ ยิ่งไปเลียแข้งเลียขา พวกเขาก็มีแต่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว มีสติหน่อย แล้วก็ปล่อยมือซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”
หลินยวนขยับเท้าเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าระแวดระวัง
หนานชีหรูอันเกาใบหน้า เขาพบว่าความอับอายที่ตนเองได้รับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ขนาดหัวหน้าแพทย์แห่งวังเซียนยังถูกเว่ยผิงกงผู้นี้ฉีกหน้าเสียไม่มีชิ้นดี ทั้งยังจะจับอีกฝ่ายไปฆ่าอีก คำพูดหยาบคายที่เขาโดนอีกฝ่ายพูดแซะมากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยจริงๆ ในใจเขาจึงรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ในขณะเดียวกันหนานชีหรูอันก็รีบส่งสายตาให้เจียงซั่งซานและจู๋เม่า ให้พวกเขาเตรียมป้องกันไว้เผื่อเว่ยผิงกงลงมือทำอะไรฉินอี๋ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นกับฉินอี๋
ฉินอี๋รีบกล่าวทันที “แม้ว่าจะไม่มียาแก้ แต่อาจารย์หลางก็เป็นคนที่เคยหายาแก้มาได้ เขาต้องรู้แน่นอนว่าจะทำยาแก้ขึ้นมาได้ยังไง ถึงจะไม่มียาที่ปรุงสำเร็จมาแล้ว แต่เราก็ไปหาตัวยาอื่นๆ ได้นี่คะ ถ้าท่านผบ. ฆ่าอาจารย์หลางไป แล้วเราจะไปถามเรื่องยาแก้จากใครได้อีกล่ะคะ?”
เว่ยผิงกงจ้องเธออย่างดุร้าย ใบหน้าน่ากลัวเป็นอย่างมาก คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ภายในใจจำต้องยอมรับเช่นกันว่าสิ่งที่ฉินอี๋พูดมามีเหตุผล
มิใช่เพราะเหตุผลอื่น เขาแค่ทำเพื่อโอกาสในการมีชีวิตรอดของคนกว่าสองหมื่นคนข้างล่างนั่น เขาจึงอดทนไว้ สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวกลับไป หันหลังให้พร้อมแค่นเสียงเหอะออกมา
“ท่านเจ้าเมืองคะ” ฉินอี๋ขอทางลั่วเทียนเหอทันที
ลั่วเทียนเหอเห็นเธอทำให้เว่ยผิงกงสงบลงได้ ภายในใจรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย พบว่าความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของผู้หญิงคนนี้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก เขาส่งสายตาชื่นชมให้เธอแล้วขยับเปิดทางให้
ไม่ว่าอาจารย์หลางที่นั่งหลับตารอความตายอยู่ตรงนั้นจะมองเห็นหรือไม่ แต่ฉินอี๋ก็ทำความเคารพเขาก่อน จากนั้นเอ่ยถาม “อาจารย์หลางคะ ในเมื่ออาจารย์เคยทำยาแก้มาแล้ว อาจารย์ก็ย่อมต้องรู้แน่นอนว่ายาแก้ต้องทำยังไง ถึงไม่มียาสำเร็จ แต่เราก็ยังคิดหาวิธีอื่นกันได้นี่คะ ไม่ทราบว่ายังมีวิธีที่จะหายาได้อีกหรือเปล่าคะ?”
อาจารย์หลางรู้สึกโกรธ ยามที่ออกมาจากวังเซียน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็มักจะมีแต่คนเคารพนอบน้อมกับเขา น้อยครั้งนักที่จะเจอคนที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ เขาจึงหลับตาไม่พูดไม่จา
ลั่วเทียนเหอรีบเข้าไปดันไหล่ของเขาเล็กน้อย “อาจารย์ ก็ถือเสียว่าให้โอกาสคนเหล่านั้นได้มีชีวิตรอดแล้วกัน ไม่ดีหรือ?”
นี่นับว่าเป็นการมอบทางลงให้แก่อาจารย์หลาง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองฉินอี๋พลางกล่าว “เธออยากจะหายาแก้อื่นเหรอ?”
ฉินอี๋พยักหน้า “ในเมื่อไม่มียาสำเร็จ อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องทำแบบนี้แล้วล่ะค่ะ”
อาจารย์หลาง “ก็อาจจะหาได้นะ!”
อะไรคืออาจจะหาได้? เว่ยผิงกงฟังแล้วก็รู้สึกฉุนขึ้นมา เขาหันไปจ้องมองทันที ท่าทางคล้ายพร้อมจะจู่โจมตลอดเวลา
ฉินอี๋ลองถามดู “หายากมากเหรอคะ?”
อาจารย์หลาง “ใช่! หากคนที่ได้รับพิษของ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ มีจำนวนน้อย ยาเซียนแก้พิษระดับสูงก็สามารถรักษาได้ แต่ถ้าจะรักษาคนจำนวนมากล่ะก็ ในสถานการณ์ที่ยาเซียนมีไม่เพียงพอ วิธีในตอนนี้ก็มีแต่ต้องหาดวงตาแห่งความฝันให้เจอถึงจะช่วยได้”
ดวงตาแห่งความฝัน? ทุกคนต่างมองหน้ากัน ล้วนเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก ไม่ทราบเลยว่าดวงตาแห่งความฝันคืออะไร
ฉินอี๋ย่อมต้องถาม “อะไรคือดวงตาแห่งความฝันหรือคะ?”
อาจารย์หลาง “ในศึกแห่งการเปลี่ยนผ่านราชวงศ์เก่าไปราชวงศ์ใหม่ตอนนั้น เป็นเพราะ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จึงทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน สภาเซียนกลัวว่า ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จะกลับมาอีก เลยสั่งให้ฉันหาวิธีรักษา ฉันเสียเวลาไปกว่าพันปี แต่สุดท้ายก็ไม่พบวิธีรักษา ต่อมาบังเอิญไปได้ยินคนที่เข้าร่วมศึกในครั้งนั้นพูดว่าในตำหนักของเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเคยเลี้ยงนางพญาหนอนแห่งความฝันเอาไว้ ด้วยความอยากจะลองดู ฉันจึงขอให้สภาเซียนส่งคนไปจับนางพญาหนอนแห่งความฝันมาให้ฉันจำนวนหนึ่ง หลังจากได้ลองดูแล้ว ก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ดวงตาแห่งความฝันก็คือยาแก้ ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าดวงตาแห่งความฝัน มันก็คือดวงตาของนางพญาหนอนแห่งความฝันนั่นเอง”
นางพญาหนอนแห่งความฝัน? ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างขมวดคิ้ว แม้แต่เว่ยผิงกงก็จับคางตนเองพลางครุ่นคิดเรื่องนี้เช่นกัน
ฉินอี๋ “นางพญาหนอนแห่งความฝันหายากมากเหรอคะ?”
อาจารย์หลาง “หนอนแห่งความฝันอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ซึ่งดินแดนแห่งความฝันนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ในอดีตตอนที่สภาเซียนส่งคนไปจับมัน ก็มีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย นางพญาหนอนแห่งความฝัน ความหมายก็ตามชื่อมันเลย มันก็คือร่างนางพญาของหนอนแห่งความฝัน เดิมทีก็หายากอยู่แล้ว แถมยังหลบซ่อนให้หายากเข้าไปอีก คนที่สภาเซียนส่งไปในตอนนั้น ค้นหาทั่วทั้งดินแดนแห่งความฝัน พยายามตามหาอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับจับมาได้เพียงแค่ห้าตัว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าห้าตัวที่จับมานั้นเป็นห้าตัวสุดท้ายในดินแดนแห่งความฝันหรือเปล่า หลังจากนั้นก็หาไม่เจออีกเลย ถึงได้หยุดการค้นหาไป”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าฉินอี๋ก็ดูเศร้า “หรือว่าไม่มีทางหาเจออีกแล้ว?”
อาจารย์หลางลูบเคราเล็กน้อยพลางกล่าวเรียบๆ “หากวิเคราะห์กันตามหลักทั่วไปแล้ว ขอแค่ดินแดนแห่งความฝันยังมีหนอนแห่งความฝันที่เกิดใหม่ มันก็ย่อมต้องมีนางพญาของมันอยู่ ตามหลักแล้วน่าจะยังมีอยู่ ส่วนจะหาเจอหรือไม่นั้น ดินแดนแห่งความฝันมันกว้างใหญ่…” เขาส่ายหน้า คิดว่ามีความหวังไม่มากนัก
ดินแดนแห่งความฝัน? ทุกคนต่างเงียบกันหมด
กระทั่งฉินอี๋ก็ยังพอจะได้ยินเรื่องดินแดนแห่งความฝันมาบ้าง นั่นมันเป็นดินแดนที่จริงเท็จไม่แน่นอน การที่ความจริงและความเท็จไม่แน่นอนนั้นก็หมายความว่าเต็มไปด้วยความอันตราย ว่ากันว่าพื้นดินที่ดูเหมือนพื้นดินทั่วๆ ไป แต่พอเหยียบลงไปกลับกลายเป็นหุบเหวลึก ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิต เป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อยากไป ยิ่งไปกว่านั้นคือหากจะไปหาของ ยิ่งเป็นของที่หายากด้วยแล้วล่ะก็ เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน
แต่เธอไม่ยอมถอดใจ ลองหยั่งเชิงถามดู “ขอเรียนถามอาจารย์หน่อยค่ะ การตามหานางพญาหนอนแห่งความฝัน พอจะมีทางลัดบ้างไหมคะ?”
อาจารย์หลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ประธานฉิน ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ แต่ลองคิดดูดีๆ สิ หากมันหาได้ง่ายๆ ล่ะก็ ยาแก้ระดับนี้ สภาเซียนคงต้องมีสำรองเอาไว้เป็นจำนวนมากแล้ว เพื่อป้องกัน ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ กลับมาอีกครั้ง พวกเขาจะมีเก็บไว้แค่ชุดเดียวแบบนี้เหรอ?”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ฉินอี๋รู้สึกท้อแท้จนเกือบจะสิ้นหวังแล้ว แต่เธอไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ จึงยืนหยัดเอ่ยถามว่า “อาจารย์คะ คนที่ได้รับพิษจาก ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ หากไม่ได้รับยาแก้ คนทั่วไปจะอยู่ได้นานเท่าไร แล้วผู้บำเพ็ญเพียรจะอยู่ได้นานเท่าไรคะ?”
แค่ฟังทุกคนก็เข้าใจ สำหรับการตามหาดวงตาแห่งความฝัน ต่อให้โอกาสมันจะริบหรี่แค่ไหน แต่เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังอยากจะลองพยายามดูสักตั้ง
อาจารย์หลางกล่าวว่า “หากเป็นพิษอื่นๆ ปกติผู้บำเพ็ญเพียรมักจะอดทนได้นานกว่าคนธรรมดา แต่พิษที่อยู่ตรงหน้านี้ พวกเธอก็ได้เห็นฤทธิ์ของมันมาแล้ว ส่วนใหญ่ต่างก็แสดงอาการออกมาในวันเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรเองก็แสดงอาการช้ากว่าคนธรรมดาแค่ไม่เท่าไร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ มีความพิเศษกว่าพิษอื่นๆ หากถูกพิษเข้าแล้ว ทุกวันจะไอไม่หยุด ไอจนเป็นเลือดสองครั้ง หากใช้ยาบรรเทาอาการ อย่างมากก็ทนได้แค่สามเดือน ต่อให้เธอจะมีพลังที่สูงส่งแค่ไหน สุดท้ายสภาพจิตใจก็จะทนรับไม่ไหว ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วตายไป
“สามเดือน…สามเดือน…ยังมีเวลาอีกสามเดือน…” ฉินอี๋กล่าวพึมพำกับตัวเอง สีหน้าดูอิดโรยเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสภาพที่ดูเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างของเธอ อาจารย์หลางก็คล้ายรู้สึกเห็นใจขึ้นมา แล้วก็คล้ายรู้สึกผิด จึงกล่าวเตือนสติเธอด้วยความหวังดีว่า “ถ้าเธออยากจะหาจริงๆ ล่ะก็ ถ้าเธอหามันเจอจริงๆ ล่ะก็ เธอต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง เมื่อเจอนางพญาหนอนแห่งความฝันแล้ว ในตอนที่ควักเอาดวงตาแห่งความฝันออกมา ต้องควักออกมาให้สมบูรณ์ให้ได้ อย่าให้มีความเสียแม้เพียงเล็กน้อยเด็ดขาด เพราะทันทีที่เกิดความเสียหาย มันก็จะใช้การอะไรไม่ได้อีก และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทันทีที่ใช้งานยาแก้พิษแล้วมันถึงใช้ซ้ำอีกไม่ได้ จำเอาไว้ให้ดี!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังกลัดกลุ้มใจ จู่ๆ พลันมีคนลงมือ
เว่ยผิงกงฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันระวัง ชิงลงมืออย่างกะทันหัน ร่างกายเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ยื่นมือตะปบไปทางอาจารย์หลาง
ทุกคนตกใจ อาจารย์หลางสะบัดแขนเสื้อ พลิกฝ่ามือต้านทานเอาไว้ ลั่วเทียนเหอที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผบ.เว่ย!” ขณะเดียวกันก็รีบลงมือด้วยเช่นกัน ฝ่ามือคว้าไปทางเว่ยผิงกง
เว่ยผิงกงพลิกมือสะบัดไปทางลั่วเทียนเหอ คลื่นพลังสีดำสายหนึ่งพุ่งกระแทกออกไป
บนมือที่ปะทะเข้ากับฝ่ามือของอาจารย์หลางก็มีคลื่นพลังสีดำพุ่งออกมาเช่นเดียวกัน
ตู้ม! ราวกับฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้องทั้งห้องถูกคลื่นกระแทกอันรุนแรงฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา คนกลุ่มหนึ่งปลิวกระจัดกระจายออกมาจากฝุ่นควันที่คละคลุ้ง
เจียงซั่งซานและจู๋เม่าคุ้มครองฉินอี๋และไป๋หลิงหลงลงมาที่พื้น หลีอู่ที่บังอยู่ด้านหน้าหนานชีหรูอันลงมาที่พื้นพร้อมกัน คนอื่นๆ คล้ายจะกระโดดหลบออกไปด้วยสภาพทุลักทุเล
ฝุ่นควันที่คละคลุ้งลอยร่วงลงมา เว่ยผิงกงที่ลอยอยู่กลางอากาศแสยะยิ้มเยียบเย็น
“ผบ.เว่ย คุณทำแบบนี้ได้ยังไง?” ลั่วเทียนเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
เขากับอาจารย์หลางเหมือนกลายเป็นดักแด้ ทั้งคู่ถูกพลังที่ดูชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งพันร่างเอาไว้ ส่งเสียงตะโกนพลางดิ้นรนอยู่ในนั้น ด้วยหวังว่าจะดิ้นหลุดจากพันธนาการ แต่กลับเหมือนถูกขังอยู่ในฝันร้ายที่ยากจะตื่นขึ้นมาได้
“อาจารย์!” เด็กชายหญิงส่งเสียงตะโกนแล้ววิ่งเข้าไป หมายจะช่วยอาจารย์หลาง
“อันตราย อย่าเข้ามา!” อาจารย์หลางรีบตะโกน
แต่ก็ยังช้าไป เด็กชายหญิงที่พุ่งเข้ามาถูกพลังที่น่าสะพรึงกลัวนั้นกระแทกจนกระเด็นลอยออกไป ในปากไม่เพียงแต่จะกระอักเลือดออกมาเท่านั้น แต่ท่าทางยังดูเหม่อลอย ยืนโซซัดโซเซ เหมือนกลายเป็นคนเลอะเลือนอย่างไรอย่างนั้น
“สิบแปดสัมภเวสีแห่งยมโลก!” เจียงซั่งซานอุทานตกใจ
จู๋เม่าสีหน้าคร่ำเคร่ง “สมแล้วที่เป็นขุนพลที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิโยวหมิง กระทั่ง ‘สิบแปดสัมภเวสีแห่งยมโลก’ ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมา!”
หลัวคังอันที่ถูกกระแทกจนอยู่ในสภาพทุลักทุเลรู้สึกตกใจ มองไปทางเว่ยผิงกงที่ลอยอยู่กลางอากาศ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้นึกจะลงมือก็ลงมือ คิดไม่ถึงว่าจะลอบโจมตีทีเผลอแบบนี้
หลินยวนเองก็ประหลาดใจ เขาพบว่าตาแก่คนนี้แค่พูดไม่ถูกใจก็ลงมือทำร้ายคนแล้ว ค่อนข้างบ้าระห่ำทีเดียว
เว่ยผิงกงพุ่งตัวออกมาอีกครั้ง กรงเล็บตะปบเข้าไปในไอพลังที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึง
จู่ๆ ไอพลังที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึงที่รัดร่างของอาจารย์หลางเอาไว้ก็หายไป ส่วนลำคอของอาจารย์หลางก็อยู่ในกรงเล็บของเว่ยผิงกงแล้ว
“ผบ.เว่ย อย่าทำอะไรวู่วาม!” เสียงของคังซ่าดังลอยมา ตัวเขาเองก็พุ่งลงมาจากฟ้า รีบเข้ามาห้ามเว่ยผิงกงเอาไว้
เกิดความวุ่นวายขึ้นขนาดนี้ เป็นไปได้ยากที่เขาจะไม่รับรู้ บริเวณรอบๆ มีทหารหุ้มเกราะกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าท่าทางดูมึนงงและประหลาดใจ ต่างไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผบ.เว่ยผู้นี้ถึงลงมือขึ้นมา
เว่ยผิงกงสะบัดแขนเสื้อ ไอพลังที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึงที่รัดร่างของลั่วเทียนเหอเอาไว้สลายหายไป หายไปอย่างกะทันหันจนลั่วเทียนเหอที่พยายามดิ้นรนขัดขืนตั้งตัวไม่ทัน เมื่อดิ้นรนเจอแต่ความว่างเปล่าถึงได้รู้ว่าไอพลังนั้นหายไปแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมา พบว่าชีวิตของอาจารย์หลางกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงยื่นมือพร้อมส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจออกไปทันที “ผบ.เว่ย อย่านะ!”
เว่ยผิงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เรื่องยาแก้พิษ ฉันได้บอกเหล่าพี่น้องทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว แต่ตอนนี้จะให้ฉันไปกลับคำพูด แล้วจะให้ฉันไปอธิบายกับพวกเขายังไง? วันนี้ถ้าไอหมอกระจอกนี้ให้คำอธิบายที่ทำให้ฉันพอใจไม่ได้ ฉันก็คงได้แต่ต้องจับเขาในฐานทำให้ขวัญกำลังใจทหารเสียหาย ใช้กฎของกองทัพลงโทษ!”
อาจารย์หลางที่ตกอยู่ในมือของเขาเรียกได้ว่าทั้งอับอายและเสียใจ หลงนึกว่าสภาวะของตัวเองก็มิได้แย่ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่สามารถรับมือเว่ยผิงกงได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
ลั่วเทียนเหอเองก็เช่นเดียวกัน ทั้งโกรธเกรี้ยวและตกใจ
ในเวลานี้ทั้งสองคนนับว่าได้รู้ซึ้งแล้ว ยอดขุนพลคนสนิทของจักรพรรดิผู้ปกครองโลกใต้พิภพ ทวารบาลผู้สยบภูติผีวิญญาณร้ายแห่งโลกใต้พิภพนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าถึงได้ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นึกจะลงมือก็ลงมือ
คังซ่ารีบก้าวเข้ามา สองมือกดลงเพื่อบอกให้เว่ยผิงกงใจเย็นลงก่อน “เว่ยซยง อย่าได้วู่วามเด็ดขาด ถ้านายต้องการคำอธิบาย อย่างนั้นฉันจะให้คำอธิบายแก่นายเอง”
เขาเป็นคนพาอาจารย์หลางมา หากเขาไม่สามารถพาอาจารย์หลางกลับไปอย่างปลอดภัยได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถกลับไปอธิบายกับทางวังเซียนได้
เว่ยผิงกงตะโกนใส่เขาด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที “นายแค่ตามคำสั่ง จะอธิบายอะไรได้!”
การที่คังซ่ายอมลดตัวมาใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา ย่อมเป็นเพราะว่ารู้ถึงความร้ายกาจของเขา จึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน กล่าวเกลี้ยกล่อมดีๆ ว่า “เว่ยซยงเชื่อฉันนะ ขอเพียงปล่อยท่านอาจารย์หลาง ฉันจะให้คำอธิบายกับนายทันที ฉันขอสาบานด้วยชื่อของวังพิฆาตมารต่อหน้าทุกคน ถ้าฉันพูดไม่จริงแม้แต่คำเดียว ตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านสองจะไม่มีที่ยืนสำหรับแซ่คังผู้นี้อีก!”
……………………………………………………….