ตอนที่ 231 เลือดร้อน
สวนชิงหยวน หอสูง ไป๋กุ้ยเหรินออกแรงปีนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเหมยชิงหยาที่เดินถือแส้ปัดฝุ่นกลับไปกลับมา เธอกลับค่อนข้างแปลกใจ
รอยยิ้มระรื่นบนใบหน้าของเธอหดหายไปไม่น้อยเช่นกัน เพราะว่าทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ หากไม่เห็นคนผู้นี้นั่งอยู่ก็มักจะเห็นเขายืนมองดูทิวทัศน์อยู่ข้างนอก การที่เขาเดินกลับไปกลับมาแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรขึ้นแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปถามทันที “ได้ยินว่าวังพิฆาตมารเรียกรวมกำลังพลจำนวนมาก ดูวุ่นวายทีเดียว สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะ?”
เหมยชิงหยาหยุดฝีเท้า ย้อนถามเธอว่า “ความเคลื่อนไหวทางท่านห้าเป็นยังไงบ้าง?”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยค่ะ”
เหมยชิงหยาส่งเสียงหึ “ไม่มีความเคลื่อนไหว? แอบทำอะไรอยู่สินะ”
ไป๋กุ้ยเหรินสงสัย “แต่ข่าวที่ทางฉันได้รับมาบอกว่าทางนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวจริงๆ นะคะ ไม่เพียงแต่จะไม่เคลื่อนไหว แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดจะถอนกำลังออกไปแล้วด้วย แต่ทางเมืองปู๋เชวี่ยเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นมา กระทั่งกองกำลังของวังพิฆาตมารก็แห่กันไปที่นั่นแล้วค่ะ”
เหมยชิงหยา “กระทั่งวังพิฆาตมารยังแห่มา เนี่ยนะที่เธอบอกว่าไม่มีความเคลื่อนไหว?”
“เอ่อ…” ไป๋กุ้ยเหรินงุนงง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”
เหมยชิงหยาเอ่ยอย่างเย็นชา “ว่ากันว่าท่านห้ามี ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ อยู่ในมือ ครั้งนี้เท่ากับเป็นการยืนยันแล้ว ในมือเขามีของสิ่งนั้นอยู่จริง ”
“ห้ะ!” ไป๋กุ้ยเหรินตกใจเป็นอย่างมาก “ใช้เทพเจ้าแห่งโรคระบาดเ? ตรวจสอบแน่ชัดแล้วเหรอคะ?”
เหมยชิงหยาสะบัดแส้ปัดฝุ่น เปลี่ยนไปพาดบนแขนอีกข้างหนึ่ง “แน่ชัดแล้ว! แต่ก็นับว่าเขายังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ลงมือเล่นงานแค่โรงงานสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินเพียงแห่งเดียว ไม่ได้ลงมือกับเมืองปู๋เชวี่ยทั้งเมือง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ วังพิฆาตมารจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล่าตัวเขาอย่างแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถมอบคำอธิบายแก่สภาเซียนและทั่วทั้งดินแดนเซียนได้ ตอนนี้ฉันเองก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน จัดการมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่จู่ๆ กลับหยุดลงมือไป จนทำให้พลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไป ท่านห้าคิดจะทำอะไรกันแน่? อีกอย่าง เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ พวกเขายังคิดจะถอนกำลังออกไปด้วยเหรอ?”
ไป๋กุ้ยเหริน “ใช่ค่ะ พวกเขาจะถอนกำลังออกไป ส่วนเรื่องเงินมัดจำ เขาบอกว่างานไม่ทำ แต่ก็ไม่คิดจะคืนเงินมัดจำด้วยค่ะ”
เหมยชิงหยาใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่คืนเงินมัดจำ? สารเลว! แม้แต่กฎขั้นพื้นฐานเขาก็ไม่คิดจะรักษาแล้วอย่างนั้นเหรอห๊ะ? ทำอะไรไม่มีขอบเขต ทำชื่อเสียงเสียหายแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้ามาจ้างอีก? อาศัยเพียงแค่กำลังน้อยนิดของพวกเขาน่ะเหรอ คิดว่าตัวเองจะล้มราชวงศ์ปัจจุบันได้จริงๆ หรือไง? พวกมดปลวกคิดจะขย่มต้นไม้ ไม่รู้จักสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง! ทำลายกฎเกณฑ์ไปแล้ว คิดว่าฉันจะกำจัดเขาไม่ได้เหรอ พวกข้อมูลต่างๆ ของเขาล้วนอยู่ในมือฉันทั้งหมด หากฉันจะให้เขาตายวันนี้ เขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปถึงพรุ่งนี้! ”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ท่านใจเย็นก่อนนะคะ เขามีคำอธิบายค่ะ เขาคิดว่าผู้ว่าจ้างที่อยู่เบื้องหลังคือหอการค้าตระกูลอู หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลเผย หลังจากเขาถอนกำลังในครั้งนี้ เขาคิดว่าหอการค้าตระกูลอู หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลเผยก็ต้องถูกสามตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลืนกินเข้าไปอยู่ดี ดังนั้นการเอาคืนเงินไปให้สามตระกูลใหญ่เท่ากับเป็นการทำเรื่องโง่ๆ ส่วนเงินมัดจำ เขาไม่ได้จะฮุบเอาไว้คนเดียว เดี๋ยวเขาจะเอาในส่วนของเขาไป ส่วนที่เป็นของเราเขาก็จะแบ่งให้พวกเราค่ะ”
อารมณ์ของเหมยชิงหยาสงบลงไปเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพักหนึ่ง เขาก็กล่าวเนิบๆ ว่า “ที่พูดมาก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่จะใช่ฝีมือหอการค้าทั้งสามนั่นหรือไม่ เดี๋ยวแค่ทดสอบดูก็รู้”
ไป๋กุ้ยเหริน “ทดสอบยังไงคะ?”
เหมยชิงหยา “ใช้ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ไปแล้ว จะบอกว่าเขาไม่ลงมือก็ไม่ได้เหมือนกัน ครั้งนี้เกรงว่าหอการค้าตระกูลฉินคงจะรอดไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้ในอีกแง่หนึ่งก็นับว่าเป็นการทำให้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลายแล้ว”
ไป๋กุ้นเหริน “แต่นี่มันยังไม่ล้มละลายไม่ใช่เหรอคะ แบบนี้ทางเราจะอธิบายกับผู้ว่าจ้างได้ลำบากนะคะ!”
เหมยชิงหยากล่าว “ถ้าเป็นฝีมือหอการค้าสามแห่งนั่นจริงๆ ครั้งนี้พวกเขาก็ยากจะหนีไปไหนได้แล้ว หลังจากหอการค้าทั้งสามแห่งนั้นล้มละลาย ก็จะไม่มีคนมาบอกให้เราส่งมอบเงินมัดจำคืนให้ แต่ถ้าไม่ใช่พวกเขา เอาไว้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลายแล้ว เดี๋ยวคนกลางย่อมต้องเอาหลักฐานการถอนเงินมาถอนเงินส่วนที่เหลือไปจากพวกเราเอง”
ฟังแล้วงงๆ ไป๋กุ้ยเหรินครุ่นคิด
…….
ภายในห้องที่เงียบสงัด เผยหยวนจี้ประธานหอการค้าตระกูลเผยกำลังเผชิญหน้ากับฉวี่ซานจวีและอูฉิงเทียนในฉากแสงสองแถบ โบกไม้โบกมือพลางตะโกน “บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ ใช้ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ เนี่ยนะ คิดจะฆ่าพวกเราหรือไง? แล้วยังบอกให้เรารอหอการค้าตระกูลฉินล้มละลายอีก กว่าหอการค้าตระกูลฉินจะล้มละลาย พวกเราก็จบเห่ไปก่อนแล้ว!”
สีหน้าของฉวี่ซานจวีกับอูฉิงเทียนดูแย่อย่างมากเช่นกัน
ฉวี่ซานจวีกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “พวกเขาว่ายังไงก็ต้องว่าตามนั้น แล้วก็ไม่อาจถือว่าพวกเขาผิดคำพูดได้ด้วย พวกเราหาเหตุผลมากล่าวโทษพวกเขาไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะใช้สิ่งสิ่งนั้น แล้วก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะใช้วิธีที่เกินคาดแบบนี้มาทำให้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลาย”
ทั้งสามคนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเศษเดนแห่งราชวงศ์ก่อนพวกนั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจริงๆ เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทางจนพวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ นั่นมันเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเชียวนะ! ใช้ ‘ เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ เลยอย่างนั้นเหรอ นี่ทำให้พวกเขาไม่มีทางให้ถอยแล้วจริงๆ
เดิมทีเป้าหมายของพวกเขาคือต้องการให้เศษเดนแห่งราชวงศ์ก่อนลงมือต่อสู้ฆ่าฟันอย่างรุนแรง แบบนั้นเรื่องราวย่อมต้องกลายเป็นว่าเศษเดนแห่งราชวงศ์ก่อนพุ่งเป้าเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน
แต่ตอนนี้คนพวกนั้นแค่ใช้สิ่งๆ นั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เคล็ดลับการสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉิน แค่แสดงท่าทีว่าอยากจะทำให้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลายเพียงเท่านั้น
ใครล่ะที่อยากให้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลาย? เกรงว่าคงเป็นไปได้ยากที่ทางสภาเซียนจะไม่นึกสงสัยพวกเขาสามตระกูล
ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่สภาเซียนอาจจะสงสัยว่าพวกเขาคบคิดกับพวกเศษเดนแห่งราชวงศ์ก่อนอะไรนั่น เอาแค่เรื่องที่ใช้ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ออกมาแบบนี้มันก็นับว่าเป็นการข้ามเส้นแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สภาเซียนโกรธเกรี้ยว!
ต่อให้หอการค้าตระกูลฉินจะล้มละลายแล้วยังไงล่ะ? สภาเซียนก็ไม่มีทางให้โอกาสให้พวกเขาอีกอยู่ดี แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่เกรงว่าทางสภาเซียนจะต้องจัดการพวกเขาแน่!
ครั้งนี้เรียกได้ว่าเล่นกับไฟแล้วถูกไฟเผาเข้าแล้วจริงๆ จบเห่แล้ว!
อูฉิงเทียนเงยหน้าถอนใจ “ฉันบอกแล้วว่าการไปหาคนพวกนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับการเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ ไม่ผิดไปจากที่พูดจริงๆ ไม่น่าเลย!”
……
ณ ลานตรงปากถ้ำที่อยู่บนหน้าผา เว่ยผิงกงทอดตามองไปทางขอบฟ้า ใบหน้าคร่ำเคร่ง
ฟ้าใกล้สางแล้ว เรื่องที่ทางนี้รายงานสภาเซียนไปได้รับการตอบกลับแล้ว และสิ่งที่สภาเซียนตอบกลับมาก็คือยาแก้พิษที่อาจารย์หลางพูดถึงนั้นหมดไปแล้ว เอาไปใช้งานอย่างอื่นจนหมดแล้ว!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ข้างล่างยังมีคนอีกมากมายที่ยังไอไม่หยุด ไอจนกระอักเลือด เขาไม่รู้เลยว่าควรจะไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นยังไง
คนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว คังซ่าบินลงมาอยู่ข้างกายเขาพลันเอ่ยถาม “เว่ยซยงเรียกฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?”
เว่ยผิงกงเอ่ยถาม “เรื่องที่รายงานขึ้นไป ทางนายมีการตอบกลับมาไหม?”
คังซ่าเงียบไปเล็กน้อย “ตอบกลับมาแล้ว ไม่มียาแก้แล้ว ใช้ไปหมดแล้ว”
เว่ยผิงกงกล่าว “ไออาจารย์หลางบ้านั่นพูดอะไรของเขา? ไป ไปถามเขาหน่อยซิ ไปดูว่าทางเขาได้รับการตอบกลับจากวังเซียนมาว่ายังไงบ้าง”
“เว่ยซยง!” คังซ่าอยากจะยกมือขึ้นห้าม แต่ก็ยังช้าไป ทำได้เพียงมองดูเว่ยผิงกงพุ่งตัวออกไป อดส่ายหน้าขึ้นมาไม่ได้
ภายในห้องหนึ่ง อาจารย์หลางกำลังจัดยาอยู่ แม้ว่ามันจะไม่สามารถช่วยแก้พิษให้ทุกคนได้ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถจัดยาเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ทุกคนได้
ลั่วเทียนเหออยู่ในห้อง คอยพูดคุยเป็นเพื่อนอาจารย์หลาง หลังจากที่เขาออกมาจากวังเซียน พวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานมากแล้วจริงๆ
ด้านนอกห้อง ฉินอี๋ยืนมองหมู่ดาวบนท้องฟ้าท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดเอื่อยๆ รอฟังข่าวจากทางสภาเซียนอย่างทุกข์ใจ
อาการหลัวคังอันกลับดีขึ้นแล้ว เดินเตร่ไปทางนั้นทีทางนี้ที รู้สึกเหมือนตนเองเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนแล้ว จู่ๆ ก็มีของราคานับสิบล้านผ่านมือ
หลินยวนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มองดูแผ่นหลังของฉินอี๋อยู่เป็นระยะ เขารู้ว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนี้กำลังกดดันเป็นอย่างมาก เรื่องยาแก้พิษยังจัดการไม่เรียบร้อย เกรงว่าคงไม่อาจพักผ่อนอย่างสบายใจได้
อย่างน้อยตั้งแต่งานประมูล เขาก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้ต้องพบเจอปัญหาต่างๆ ไม่น้อย ปัญหาต่างๆ ประเดประดังเข้ามา เขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวขี้อายในตอนนั้นแบกรับมันจนมาถึงวันนี้ได้อย่างไร
เว่ยผิงกงรีบพุ่งตัวไป ตรงเข้าไปในห้องที่อาจารย์หลางอยู่ ผู้คุ้มกันห้ามไว้ไม่อยู่ แล้วก็ไม่กล้าห้ามด้วย คนที่หลบช้าไปสักหน่อยก็โดนเขาตะคอกใส่ “ไสหัวหลบไป!” จากนั้นก็รีบสาวเท้าเข้าห้องไป
ทุกคนหันไปมอง ฉินอี๋เป็นคนแรกที่รีบเดินตาม คนที่เหลือก็ตามหลังไป
เมื่อเข้าไปในห้อง ก็เห็นอาจารย์หลางที่กำลังจัดยาพลางพูดคุยยิ้มแย้มกับลั่วเทียนเหอ เว่ยผิงกงเอามือไพล่หลัง ก่อนจะเดินยิ้มๆ เข้าไปเอ่ยถาม “ยุ่งอยู่เหรอครับ?”
อาจารย์หลางเองก็ยิ้มพลางพยักหน้า
เว่ยผิงกงยิ้มพลางเอ่ยถามอีกครั้ง “เรื่องยาแก้พิษ ไม่ทราบว่าทางวังเซียนตอบกลับมาว่ายังไงบ้างครับ?”
พวกฉินอี๋ที่เดินตามเข้ามาก็หูผึ่งอยากรู้เช่นกัน นี่คือสิ่งที่พวกฉินอี๋ให้ความสนใจและรอคอยอยู่
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาจารย์หลางก็มีท่าทีอึดอัดขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เพิ่งถูกทางวังเซียนตำหนิมา บอกว่าเขาไม่ควรพูดจาส่งเดช
“ผบ.เว่ย เชิญมาคุยกันทางนี้” อาจารย์หลางวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ ผายมือเชิญเขาเข้าไปในห้อง
เว่ยผิงกงแค่มองก็รู้แล้วว่าชายแก่คนนี้รู้สึกผิด ไม่รู้ว่าคิดจะปกปิดอะไรอีก เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิตคนมากมายขนาดนี้ ยังจะมาทำท่าทีแบบนี้อีก เขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ตบโต๊ะดังปังจนของที่อยู่บนโต๊ะล้มระเนระนาดไปหมด “อย่ามาทำลับๆ ล่อๆ ฉันเห็นอะไรแบบนี้ที่ดินแดนหมิงมาจนเบื่อแล้ว พูดมา เกิดอะไรขึ้น?”
อาจารย์หลางผู้มีท่าทางสง่างาม เวลานี้กลับอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
ลั่วเทียนเหอเอ่ยขึ้นมา “ผบ.เว่ย มีเรื่องอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันนะครับ”
เว่ยผิงกงชี้หน้าด่าเขา “อย่ามาทำเป็นคนดีที่นี่ ฉันรู้อยู่ว่าแกมาจากวังเซียน เป็นพวกเดียวกันกับเขา เห็นๆ อยู่ว่าเลือกข้างแล้ว ยังมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นต่อปากต่อคำฝ่าบาท ฉันเกลียดพวกจอมปลอมอย่างแกที่สุด ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง? ขอแค่แกช่วยชีวิตพี่น้องของฉันเหล่านี้ได้ จะให้ฉันคุกเข่าให้แกก็ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็หุบปากซะ ตอนนี้ที่นี่เป็นพื้นที่ของฉัน ไม่ใช่ที่ที่พวกแกจะมาชี้นิ้วสั่งได้!”
จากนั้นชี้ไปที่อาจารย์หลางอีกครั้ง “ไอแก่ ฉันจะบอกแกไว้นะ ที่แกพูดว่ามียาแก้ก่อนหน้านี้ ฉันเอาเรื่องนี้ไปปลอบใจเหล่าทหารให้มีกำลังใจไปแล้ว ถ้าแกกล้าพูดโกหก อย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการรายงานสถานการณ์ทางทหารที่เป็นเท็จด้วย เป็นการจงใจสั่นคลอนขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร ฉันจะสั่งฆ่าแกทันที ฉันก็อยากจะดูเหมือนกันว่าวังเซียนจะว่าอะไรฉันได้!
ปัง! เขาตบโต๊ะอีกครั้ง “พูดมา ยาแก้มันมีหรือไม่มีกันแน่! ฉันขอเตือนแกไว้เลยนะ ถ้าแกกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา ฉันจะจับแกแล้วพาแกออกไป กล้าโกหกพวกเขาอย่างนั้นเรอะ ดูสิว่าพวกทหารที่ไม่มีทางรอดพวกนั้นจะรุมฉีกทึ้งร่างแกให้ตายทั้งเป็นหรือเปล่า!”
หลัวคังอันที่คอยมองอยู่แสยะยิ้ม พบว่าอดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนหมิงผู้นี้เลือดร้อนพอตัวเลย นี่เท่ากับบีบให้อีกฝ่ายพูดว่ามียาแก้ชัดๆ ห้ามพูดว่าไม่มี!
เขามองสีหน้าของลั่วเทียนเหอกับอาจารย์หลางอีกครั้ง สีหน้าดูแย่อย่างมาก เรียกได้ว่าหน้าเสียไปกันหมดแล้ว
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมเขาถึงชอบดูพวกคนใหญ่คนโตพวกนี้ถูกเล่นงานก็ไม่รู้
ใบหน้าฉินอี๋เต็มไปด้วยความร้อนใจ จู่ๆ เว่ยผิงกงก็อารมณ์ร้อนขนาดนี้ เธอมองออกว่าสถานการณ์มิสู้ดี เรื่องยาแก้ดูเหมือนจะมีปัญหาแล้ว
เด็กหนุ่มสาวสองคนนั้นมองดูเว่ยผิงกงที่เหมือนกำลังจะกินคนเข้าไปด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ท่าทางดูค่อนข้างตกใจ
หลังจากที่สีหน้าไม่สู้ดีของอาจารย์หลางผ่อนคลายลง จู่ๆ เขาพลันนั่งลงทันที เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ยาแก้พิษที่เก็บไว้ที่วังเซียนถูกใช้ไปหมดแล้ว เป็นฉันที่สะเพร่าเอง เป็นฉันที่ลืมไปเอง หากว่าฉันผิด ผบ.เว่ยก็จัดการได้เลย” เขาหลับตาทั้งสองข้างลง คล้ายจะสื่อว่าคุณอยากทำอะไรก็ตามใจ
ท่าทีที่ดูสูงส่งในเวลาปกติ เมื่อต้องเจอกับคนประเภทนี้ ก็เรียกได้ว่าหายไปจนหมดเลยจริงๆ
“เหย ไอแก่นี่ กล้าเล่นลิ้นกับฉันอย่างนั้นเรอะ!” เว่ยผิงกงโกรธเกรี้ยวจนหัวเราะออกมา ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น หัวเราะเหอะๆ พลางกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้จำผิดได้ด้วยเหรอ? ดี! วันนี้ถ้าทำให้แกตายอย่างทรมานไม่ได้ ฉันจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามแกเลย!” เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า หมายจะลงมือ
………………………………………………….
MANGA DISCUSSION