ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 220 นายยังจะให้ฉันตามจีบจูลี่อีกเหรอ?P
ตอนที่ 220 นายยังจะให้ฉันตามจีบจูลี่อีกเหรอ?
“ควบคุม?” จูลี่มึนงง “จิ้นเซียว วันนี้นายเป็นอะไรไป ทั้งคำพูดทั้งการกระทำดูแปลกไปหมด ฉันคุยงานกับหลัวคังอันอยู่ตลอด จะถูกควบคุมได้ยังไง นายคิดอะไรของนาย?”
เอี๊ยด! รถยนต์จอดข้างทางทันที จิ้นเซียวจ้องมองเธออย่างเย็นชา “พวกคุณคุยงานอยู่ที่หอการค้าตลอดเลยเหรอ?”
รถที่จอดกะทันหันทำให้ตัวจูลี่กระเด้งกระดอนไปข้างหน้าทีหลังที กล่าวอย่างไม่พอใจทันทีว่า “มาที่หอการค้าตระกูลฉิน ไม่ให้คุยงานที่หอการค้าแล้วจะให้ไปคุยที่ไหน?”
ขณะเดียวกันก็มองเห็นสายตาที่ผิดปกติของอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสายตาที่มองมาแบบนี้ของจิ้นเซียว ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
จิ้นเซียวรีบหยิบมือถือออกมา กดโทรหาโทรศัพท์ของจูลี่
จากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าจูลี่ก็ดังขึ้น
จูลี่ย่อมหยิบมือถือออกมาดู พบว่าจิ้นเซียวโทรมา จึงรู้ว่าที่จิ้นเซียวหยิบมือถือออกมาก็เพื่อจะโทรหาเธอ เธอกล่าวกับจิ้นเซียวอย่างตกใจว่า “ฉันอยู่ข้างๆ นาย นายจะโทรมาทำไม? จิ้นเซียว วันนี้นายเป็นอะไรไป?”
จิ้นเซียวขบกรามแน่น วางสายไป เก็บมือถือของตนเอง จู่ๆ พลันยื่นมือออกมาอีกครั้ง แย่งมือถือของจูลี่มาไว้ในมือ รีบเปิดดูบันทึกการโทร ผลคือบันทึกการโทรที่อยากเห็นกลับไม่มีเลยแม้แต่สายเดียว ถูกลบทิ้งไปจนหมด
จูลี่ที่ถูกแย่งมือถือไปตกตะลึงจนพูดไม่ออก มองดูจิ้นเซียวที่เหมือนหมาบ้าอย่างมึนงง
จิ้นเซียวเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “ไม่เลวนี่! เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ!” ในน้ำเสียงแฝงด้วยความรู้สึกน่าขนลุก
เขาพอจะเข้าใจแล้ว วันนี้ตนเองโดนปั่นหัวเข้าอย่างจัง
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะจับจูลี่มาข่มขู่เขา แต่ยังทำได้โดยไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ ไว้แม้แต่นิดเดียว กระทั่งโอกาสจะให้เขาได้แจ้งผู้พิทักษ์เมืองก็ยังไม่มี
พูดอีกอย่างคือจูลี่ไม่รู้ว่าตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกจับตัวไป
ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ตัวเองใช้ความรู้สึกมาจัดการจนเรื่องราววุ่นวาย ไม่สามารถคิดไตร่ตรองปัญหาได้อย่างมีสติ ส่วนอีกฝ่ายก็จับจุดอ่อนของเขาได้ ช่างโอหังจริงๆ!
สำหรับคนอย่างเขา การที่จุดอ่อนที่สำคัญขนาดนี้เปิดเผยต่อหน้าคนอื่นถือเป็นเรื่องอันตราย สำหรับเขาแล้ว นี่คือเรื่องที่อันตรายมากๆ!
เรื่องในวันนี้นับเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้เขาได้สติขึ้นมา
เขาหันไปคืนมือถือให้จูลี่ กล่าวเสียงเบาว่า “ขอโทษครับ”
เขาขอโทษในการกระทำหุนหันพลันแล่นของตนเองเมื่อครู่นี้ ก่อนจะขับรถต่อไปข้างหน้า
จูลี่จับมือถือด้วยสองมือ กล่าวด้วยใบหน้าเป็นกังวลว่า “จิ้นเซียว นายเป็นอะไร ป่วยหรือเปล่า หรือว่าไม่สบายตรงไหน?”
“เปล่า” จิ้นเซียวส่ายหน้า “ผม…” อึกอักคล้ายอยากพูดอะไร เรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ เขาอยากจะบอกความจริงกับเธอจริงๆ
จูลี่สงสัย “นายเป็นอะไร?”
จิ้นเซียวกล่าวเงียบๆ “จูลี่ ที่นี่มันกลายเป็นสถานที่ที่มีปัญหาไปแล้ว คุณจะไปกับผมไหม? ไปจากเมืองปู๋เชวี่ย ไปจากที่นี่!”
จูลี่กล่าว “ที่ไหนบ้างที่ไม่มีปัญหา? ฉันเคยตอบนายไปตั้งหลายครั้งแล้ว นายยังจะพูดเรื่องนี้อีกทำไม?”
จิ้นเซียว “คุณเอาแต่ถามว่าผมเป็นอะไร ถ้าผมบอกความจริงกับคุณ คุณจะยอมไปกับผมไหม?”
จูลี่ว่า “ความจริงแบบไหนที่จะทำให้ฉันทิ้งอาชีพการงานที่นี่แล้วหนีไปกับนายได้?”
จิ้นเซียวว่า “อันตราย! เราถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางอันตรายแล้ว”
จูลี่กล่าว “แล้วที่ไหนบ้างที่ไม่มีอันตราย? ถ้าหนีเพราะอันตราย อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว อีกอย่างนะ นายบอกว่าจะไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ? ฉันจะไปกับนายในฐานะอะไร? มันต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมให้ฉันหรือเปล่า?” จากนั้นเธอกล่าวพึมพำขึ้นมาเบาๆ ว่า “เราอยู่กันแบบไม่มีอะไรชัดเจนแบบนี้มันคืออะไรกันล่ะ?”
พูดถึงขั้นนี้แล้ว เธอหมายความว่าอย่างไร ในเวลานี้ได้แสดงออกให้เขารู้อย่างชัดเจนแล้ว เรื่องง่ายๆ แค่นี้ แค่เขาเอ่ยมาคำเดียวก็พอ จิ้นเซียวพลันนิ่งเงียบไปทันที เขาเดินไปบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับได้ กระทั่งอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไรก็ไม่สามารถรับประกันได้ แล้วเขาจะไปกล้าสัญญาอะไรกับเธอได้ เขาอยากจะเอ่ยปากพูดออกไป แต่การจะเอ่ยปากพูดคำๆ นั้นออกไปมันช่างเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก
สิ่งที่เรียกว่าความรักนี่ช่างแปลกประหลาดนัก ในตอนที่ยังไม่มาก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่บทจะมาก็มาโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาไม่เคยคิดจะมาที่เมืองปู๋เชวี่ยมาก่อน เพียงแค่มาทำงานเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาพบกับผู้หญิงที่ตนเองชอบ คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ที่นี่ต่อเพราะเหตุนี้
เขาจริงใจกับเธอ บางเรื่องทำได้เพียงแค่ปิดบังเอาไว้ แต่เขาไม่อยากโกหกเธอ!
ถ้าเขาเอ่ยปากไป ถ้าต้องอยู่ด้วยกันกับเธอจริงๆ เขาจะบอกเธอ บอกว่าตนเองเป็นใคร
เขาไม่อยากให้วันหนึ่งจูลี่ต้องมานั่งนึกเสียใจ ไม่อยากให้วันหนึ่งจูลี่ต้องมารู้สึกหวาดกลัวหลังจากรับรู้ตัวตนของเขา จากนั้นมาชี้หน้าบอกว่าเขาโกหกเธอ!
ดังนั้นเขาต้องบอกกับจูลี่ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำนั้น ให้จูลี่ตัดสินใจเลือก!
แต่จะให้เขาพูดยังไง จะให้บอกจูลี่เหรอว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นโจรกบฏ?
ผู้หญิงที่รักในงานของตัวเอง ผู้หญิงที่เชื่อมั่นว่าในโลกนี้ในความงดงามและความยุติธรรมอยู่ ถ้าเกิดรู้ว่าตนเองเป็นโจรกบฏที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น เธอจะคิดยังไง?
เห็นเขาเงียบไปอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ในแววตาของจูลี่ก็มีความรู้สึกโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นมา เธอหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “เดี๋ยวพอกลับไปแล้ว นายรีบย้ายออกไปจากบ้านฉันเลยนะ!”
จิ้นเซียวที่สองมือจับพวงมาลัยรถยังคงนิ่งเงียบ หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “จูลี่ ผมแค่หวังว่าคุณจะเข้าใจ ผมอยู่ที่นี่เพราะคุณ ถ้าวันหนึ่งผมตายไป คุณจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีคนส่งคำตอบมาถึงมือคุณ”
เขาเคยคิดเรื่องที่จะบังคับพาตัวจูลี่ไป แต่ถ้าทำแบบนั้นจะต้องถูกลั่วเทียนเหอและพวกสภาเซียนไล่ตามไม่ยอมปล่อยแน่ๆ เขาจะให้จูลี่ใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดไม่ได้
ส่วนเรื่องที่จะไป เขาเองก็เคยคิดว่าจะไปจากจูลี่เหมือนกัน ไปให้ไกลจากที่นี่ แต่ก็พบว่ามันสายไปเสียแล้ว จุดอ่อนของตนเองเปิดเผยออกมาแล้ว
ขอเพียงจุดอ่อนอย่างจูลี่ยังอยู่ ต่อให้เขาหนีไปไกลแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ จูลี่ก็คือเชือกที่คนอื่นดึงไว้ในมือ
จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยมีคนบอกกับเขาว่า ‘คนอย่างพวกเราไม่ควรมีความรัก!’
ตาย? จูลี่มองเขาด้วยความรู้สึกตกใจระคนสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมา
“แค่กๆ” จู่ๆ เธอก็ปิดปากไอ เธอไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเองเป็นอะไร ตอนคุยงานกับหลัวคังอันเธอก็ไอขึ้นมาเป็นบางครั้ง
จิ้นเซียวที่มีเรื่องหนักใจไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ
…..
ไป๋หลิงหลงที่นั่งอยู่ข้างคนขับวางสายโทรศัพท์ หันกลับไปกล่าวกับฉินอี๋ที่นั่งอยู่เบาะหลังว่า “ท่านประธานคะ ลุงเฉินก็มาที่หอการค้าค่ะ มาพร้อมกับจิ้นเซียวคนนั้น หลัวคังอันพาเขาเข้าไปในหอการค้า ส่วนจูลี่กับจิ้นเซียวกลับไปแล้วค่ะ”
“ลุงเฉินก็มาเหรอ? พวกเขากำลังทำอะไรกัน?” สายตาฉินอี๋ฉายแววสงสัย
ลู่หงเยียนอยู่ที่หอการค้า แม้เธอจะออกมาจากหอการค้าแล้ว แต่มีหรือที่เธอจะไม่คอยจับตาดูอีกฝ่ายเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นไป๋หลิงหลงยังสั่งกำชับทางแผนกโฆษณาเอาไว้แล้วด้วย หากทางแผนกโฆษณามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จะรายงานมาที่ไป๋หลิงหลง
ลู่หงเยียนไปที่แผนกโฆษณา จูลี่ก็ไปที่แผนกโฆษณา หลังจากนั้นจิ้นเซียวก็เที่ยววิ่งตามหาคนในแผนกโฆษณา เที่ยวถามว่าจูลี่อยู่ที่ไหน เรื่องพวกนี้เธอก็รู้เช่นกัน
วันนี้แม้แต่จางเลี่ยเฉินก็มาที่หอการค้า เธอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“แค่กๆ ” จู่ๆ ฉินอี๋ก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง
ไป๋หลิงหลงรีบถาม “ท่านประธาน เป็นอะไรไหมคะ?”
ฉินอี๋ส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากที่เจอลู่หงเยียน เธอก็ไอขึ้นมาเป็นครั้งคราว ไป๋หลิงหลงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร คิดว่าคงเกิดจากการที่ฉินอี๋โกรธ
…..
เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถ จูเก่อม่านยังไม่ลงมา ในระหว่างรอ หลัวคังอันจึงหันไปถามว่า “ลุงเฉิน หงเยียน พวกคุณอยากกินอะไร? อยากกินอะไรก็บอกมาเลย ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง!” กล่าวพลางตบหน้าอก ท่าทางดูผ่าเผยใจกว้าง
หลินยวนปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแกพาจูเก่อม่านไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉิน ไปกินข้าวที่ตระกูลฉินซะ”
“ห้ะ?” หลัวคังอันตะลึงอ้าปากค้าง มึนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “มันไม่ดีมั้ง? อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บอกพวกเขาล่วงหน้า จู่ๆ บุกไปที่บ้านแบบนี้ ฉันว่ามันไม่ค่อยเหมาะนะ นายจะให้ฉันอธิบายกับเขาว่ายังไง?”
หลินยวน “เรื่องหาข้ออ้างเป็นเรื่องถนัดของแกอยู่แล้ว แกคิดเอาเองแล้วกันว่าจะเข้าไปยังไง วางใจได้ เขาจะต้อนรับแกอย่างดีแน่ พวกเขาก็คงอยากจะถามเรื่องความสัมพันธ์ของแกกับหลงซืออวี่อยู่เหมือนกันนั่นแหละ”
หลัวคังอันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “น้องหลิน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย มันจะแปลกเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
หลินยวนบอกความจริงกับเขา “ลุงเฉินเพิ่งถูกคนลักพาตัว คนที่ลักพาตัวทำไม่สำเร็จ ฉันกลัวว่ามันจะลงมืออีกครั้ง แกกับจูเก่อม่านกลับบ้านไปตอนนี้น่าจะมีอันตราย ไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลฉินก่อนดีกว่า ที่ตระกูลฉินมียอดฝีมืออยู่เยอะ หากยังไม่มั่นใจ อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรผลีผลามหรอก”
เขาไม่ได้พูดเหลวไหล เดิมทีคนพวกนั้นมุ่งเป้าไปที่หลัวคังอัน เมื่อใช้วิธีอ้อมๆ ไม่ได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะใช้วิธีตรงๆ ถึงแม้จะเกิดเรื่องที่ช่วยจางเลี่ยเฉินออกมา ตามหลักแล้วอีกฝ่ายน่าจะระมัดระวังตัวและไม่ลงมืออีก แต่ในตอนที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย เขาก็ไม่กล้าประหลาดเลินเล่อ ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน
หลัวคังอันกับจูเก่อม่านไม่กลับบ้าน จู่ๆ ก็ไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉิน นี่จะต้องทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงแน่ๆ
แต่หลัวคังอันไม่ได้รู้เลยว่าเป็นตนเองต่างหากที่ถูกหมายหัวเอาไว้ เขาเอ่ยด้วยความตกใจทันที “ลุงเฉิน ลุงถูกจับตัวไปเหรอ? ใครทำ? จิ้นเซียวนั่นเหรอ? เจ้านั่นมันจะกล้าดีเกินไปแล้ว!”
จางเลี่ยเฉินอึกอัก แต่กลับไม่พูด อาจจะเพราะไม่รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด เพียงแค่มองดูท่าทีของหลินยวนกับลู่หงเยียน
แต่หลินยวนกลับกล่าว “ไม่ใช่ จิ้นเซียวเป็นคนช่วยลุงเฉินออกมา จิ้นเซียวเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ ต่อไปถ้าไม่จำเป็นแกก็พยายามอย่าไปยั่วโมโหเขา”
บางเรื่องก็ควรให้หลัวคังอันรู้ได้แล้ว ช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ปั่นหัวจิ้นเซียวไปอย่างแรง คาดว่าจิ้นเซียวคงจะโกรธมากจนหาที่ระบายไม่ได้ ถ้าหลัวคังอันยังไม่รู้เรื่องแล้วไปยั่วโมโหเขาอีก แบบนั้นอาจจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ได้ จำต้องพูดความจริงไปเพื่อเป็นการเตือนไว้ก่อน
“เขา? ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ? นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพมาคอยปกป้องอยู่ข้างกายจูลี่?” หลัวคังอันถามด้วยสีหน้าตกตะลึง
หลินยวน “ฉันก็อยากให้มันจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มันคือเรื่องจริง ที่เขาคอยปกป้องอยู่ข้างกายจูลี่ เหมือนจะเป็นเพราะว่าชอบจูลี่”
“…” ดวงตาของหลัวคังอันเบิกโตทันที ใบหน้าถึงขนาดมีความรู้สึกโมโหปรากฏขึ้นมา เขาอยากจะถามหลินยวนนักว่า แล้วนายยังจะให้ฉันตามจีบจูลี่อีกเนี่ยนะ?
จูเก่อม่านเดินออกมาจากลิฟต์ ก้าวยาวๆ มาพร้อมรอยยิ้ม พอเห็นหลัวคังอันก็ดูท่าทางมีความสุข ปากของหลัวคังอันเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงจริงๆ
หลินยวนหันไป “พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่หงเยียนตามเขาไป จางเลี่ยเฉินก็เดินตามไปติดๆ แต่ยังคงหันกลับมาโบกมือลาหลัวคังอันที่ดูท่าทางโมโหอยู่เป็นระยะ
ลู่หงเยียนที่เดินตามอยู่เอ่ยถาม “พวกเราไปไหนคะ?”
หลินยวน “เถ้าแก่เนี้ยของร้านเหล้าละมุนลิ้น ถ้าอวี๋สุ่ยชิงมีปัญหา ลูกพี่ลูกน้องอย่างเธอจะไม่มีปัญหาได้เหรอ? ควรจะไปหาเธอหน่อย ไม่รู้ว่าเธอยังอยู่หรือเปล่า”
ลู่หงเยียนพยักหน้าเงียบๆ
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จางเลี่ยเฉินที่เดินตามมาจะเอ่ยว่า “เถ้าแก่เนี้ยน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
หลินยวนกับลู่หงเยียนหยุดเดิน หันมาจ้องเขาพร้อมกัน ลู่หงเยียนเอ่ยถามอย่างสงสัย “ลุงรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่มีปัญหา?”
จางเลี่ยเฉินเกาหัว “ที่จริงเถ้าแก่เนี้ยเคยแอบมาบอกฉันลับหลังว่าความจริงแล้วอวี๋สุ่ยชิงไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่มีคนจ่ายเงินให้เธอมา เถ้าแก่เนี้ยเคยเตือนฉันแล้วว่าคนคนนี้อาจจะมีปัญหา บอกฉันแต่แรกแล้วว่าให้ระวังตัวหน่อย”
………………………………………….