ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 218 ถอยไป ฉันแค่มาพาคนไปเท่านั้น
ตอนที่ 218 ถอยไป ฉันแค่มาพาคนไปเท่านั้น
แต่ทางนี้วางกำลังเอาไว้อย่างแน่นหนา ในตอนที่แอบเข้ามาจากรอบนอกนั้นยังพอไหว แต่การจะเข้าไปถึงข้างในโดยไม่ให้ถูกพบตัวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อมีคนคอยกระจายกำลังจับตาดูอยู่ คลื่นพลังที่เกิดขึ้นในขณะที่แอบแฝงตัวเข้าไปจะต้องถูกรับรู้ได้อย่างแน่นอน
ขณะที่เพิ่งเข้าไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านข้าง กระซิบเตือนว่า “ใครให้แกเดินเพ่นพ่าน? เอ่อ…แก…”
ผู้มาเยือนถูกจิ้นเซียวที่แต่งชุดปิดบังใบหน้าแบบเดียวกันทำให้เข้าใจผิด แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็รับรู้ถึงความผิดปกติได้จากรูปร่างของจิ้นเซียว ลวดลายที่อยู่บนชุดทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าของชุดเป็นใคร แต่รูปร่างของจิ้นเซียวกับเจ้าของชุดเดิมนั้นไม่เหมือนกัน
แต่พูดยังไม่ทันจบ จิ้นเซียวก็พุ่งตัวเข้ามาใกล้เขา แทงนิ้วเข้าไปในซี่โครงของเขาราวกับมีดอันแหลมคม พลังที่ออกมาจากนิ้วทะลวงเข้าไปยังอวัยวะภายในของอีกฝ่าย ระเบิดหัวใจของอีกฝ่ายจนแหลกละเอียด
เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนมาจากพื้นที่เฝ้าระวังอีกที่หนึ่ง ตรงพื้นที่เดิมที่อีกฝ่ายเดินออกมายังมีเพื่อนร่วมทีมอยู่อีกคนหนึ่ง เขากำลังมองมาทางนี้ แต่ยังไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นร่างของเพื่อนทรุดลงไปที่ด้านหลังต้นไม้ ถูกต้นไม้ใหญ่บดบังเอาไว้
เขาชะเง้อคอมอง พบว่าเพื่อนของตนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแล้ว จึงรับรู้ถึงความผิดปกติได้ทันที ทันใดนั้นพบว่าด้านบนมีคลื่นพลังพุ่งลงมา เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ยังไม่ทันจะได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา เขาก็เห็นร่างหนึ่งพุ่งลงมาจากบนต้นไม้ พริบตาต่อมา การรับรู้ของเขาก็เลือนลางไป
ความเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนรวดเร็วเกินไปจริงๆ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ลงมือรวดเร็วจนเขาตอบสนองไม่ทัน
จิ้นเซียวที่พุ่งลงมาจากบนต้นไม้ราวภูตผีกดฝ่ามือลงไปบนศีรษะของเขา กดศีรษะของเขายุบเข้าไปในทรวงอกโดยแทบจะไม่มีเสียงใดๆ
แขนขาของอีกฝ่ายชักดิ้นชักงอ โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากทรวงอกที่ศีรษะยุบเข้าไปราวกับน้ำพุ
จิ้นเซียวที่ลงมาถึงพื้นกวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าเกี่ยวขาของผู้ที่มีโลหิตพุ่งโดยไร้หัว ตวัดอีกฝ่ายไปพิงต้นไม้ ร่างกายของอีกฝ่ายค่อยๆ เอนล้มลงไปบนพื้น
จิ้นเซียวใช้ต้นไม้บดบังร่างกาย หลังจากฆ่าคนไปหนึ่งคนแล้วก็พุ่งขึ้นไปบนยอดไม้ กระโดดไปยังยอดไม้ต้นข้างๆ ในพริบตา ก่อนจะพุ่งลงไปสังหารอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
จากสภาพภูมิประเทศ จากตำแหน่งการซ่อนตัวของคนเหล่านี้ เขาพอจะวิเคราะห์ตำแหน่งของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่นี้ได้คร่าวๆ แล้ว จึงรีบพุ่งตัวไปยังตำแหน่งที่อาจจะเป็นที่ซ่อนตัวตำแหน่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นไม่นาน คนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังก้อนหินคนหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นพวกเดียวกันที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนปรากฏตัวอยู่ด้านหลังตนเอง
แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เขาก็ถูกจิ้นเซียวตะครุบเข้าที่คอ ถูกสะกดเอาไว้จนยากจะขยับเขยื้อนได้
จิ้นเซียวกระซิบถามที่ข้างหูเขา “ดวงตาของข่ายพลังอยู่ที่ไหน?”
“ไม่…ไม่รู้…” อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ ลำคอพลันระเบิดออก ทรุดตัวนั่งพิงก้อนหินก้อนนั้น
หลังจากสังหารคนๆ นี้แล้ว จิ้นเซียวก็มั่นใจแล้วว่าตำแหน่งซ่อนตัวที่ตัวเองวิเคราะห์เอาไว้น่าจะต่างกับตำแหน่งซ่อนตัวจริงๆ ไม่มาก จึงพุ่งตัวไปยังตำแหน่งที่อาจจะเป็นที่ซ่อนตัวตำแหน่งต่อไป
เขาจับตัวคนมาอีกคนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตนเองต้องการ
กระทั่งเขาขึ้นไปจนถึงยอดเขา ระหว่างทางฆ่าคนไปแล้วเจ็ดคน แต่กลับไม่มีใครให้คำตอบที่เขาต้องการได้
จากข้อมูลที่ได้รับมา เขารู้แค่ดวงตาของข่ายพลังอยู่ในการควบคุมของผู้ตั้งข่ายพลัง ส่วนตำแหน่งของผู้ตั้งข่ายพลังอยู่ที่ไหน คนเหล่านั้นล้วนไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทางฝั่งตัวเองมีคนดักซุ่มอยู่เท่าไหร่ อย่างมากก็รู้แค่ว่าในพื้นที่ของตัวเองมีคนอยู่เท่าไหร่เท่านั้น
เมื่อมีข้อมูลเหล่านี้ จิ้นเซียวก็รู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา เป็นกลุ่มคนที่มีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่อาจประมาทได้
แต่จะเป็นใครนั้น เขาไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว ตัวเขาที่แอบอยู่บนยอดเขามองไปยังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่แอ่งกระทะ เห็นจางเลี่ยเฉินที่กำลังทำนั่นทำนี่อยู่ข้างๆ อวี๋สุ่ยชิงที่กำลังหั่นผักอยู่ สำหรับจางเลี่ยเฉินนั้นเขารู้จัก เพราะเขาเคยเจออีกฝ่าย
“หวูด…” จู่ๆ พลันมีเสียงหวูดบาดหูดังมาจากข้างหลัง
จิ้นเซียวหันขวับกลับไปมอง เห็นเงาคนเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ในป่า รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะศพถูกพบแล้ว ก็คงเป็นกลิ่นคาวเลือดของคนตายที่ดึงดูดให้มีคนรู้และตามมา นี่คือเสียงเตือน!
เขาไม่ทันได้คิดเยอะ แล้วก็ไม่รอช้า พุ่งตัวจากยอดเขาไปหาจางเลี่ยเฉินที่อยู่ในหมู่บ้านอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก
ขณะเดียวกับที่พุ่งออกไปก็ซัดก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นไปในอากาศ
ตู้ม! เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น หินก้อนใหญ่ระเบิดขึ้นกลางอากาศ เศษหินกระจัดกระจายปลิวว่อน
เกิดเสียงฟุบฟับๆ ขึ้นรอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะ มีเงาคนพุ่งออกมาจากทั่วทุกที่
คนงานที่ปลอมตัวอยู่ในหมู่บ้านก็ทยอยพุ่งตัวออกมา ขึ้นไปสกัดจิ้นเซียวที่ลอยอยู่บนอากาศ
แต่จิ้นเซียวที่พุ่งทะยานเข้ามาราวกับภูตผีกลับสังหารทุกคนจนโลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนดังระงมไปทั่ว
คนสองคนที่กระโจนเข้าใส่จางเลี่ยเฉินถูกพลังที่จิ้นเซียวซัดออกมาจากฝ่ามือกระแทกใส่จนกระอักเลือดทรุดลงไปกับพื้น เทียบกับคนพวกนี้แล้ว สภาวะของจิ้นเซียวแข็งแกร่งเกินไป
อวี๋สุ่ยชิงที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกกลับแยกแยะสถานการณ์ไม่ออก ถือมีดหั่นผักขึ้นมาอย่างลนลาน หมายจะเข้าไปจับตัวจางเลี่ยเฉินเอาไว้
จางเลี่ยเฉินพลิกตัวกลับมาถีบเข้าที่ท้องของเธอ “ไปให้พ้น”
เขาถีบเข้าอย่างจัง ไม่ได้ออมมือเพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่มีพลัง แต่อวี๋สุ่ยชิงเองก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน จึงถูกเขาถีบกระเด็นไปที่พื้น
แขนของเขากระตุก เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่ามีคนปิดบังใบหน้าพุ่งเข้ามาถึงข้างกายตน คว้าจับตัวเขาเอาไว้
อวี๋สุ่ยชิงกระเสือกกระสนขึ้นมา แต่กลับถูกจิ้นเซียวสะบัดแขนเสื้อใส่ ปลิวกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงที่ก่อขึ้นมาจากหินแถบหนึ่ง โลหิตพุ่งพรูดออกมาจากปาก ศีรษะด้านหลังถูกกระแทกจนยุบตัวเข้าไป ดวงตาเบิกโพลง จ้องมองจางเลี่ยเฉินอย่างตื่นตะลึง ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกำแพงหิน เศษหินพังถล่มลงมาทับร่าง
หลังมั่นใจแล้วว่าคนที่อยู่ในมือตรงหน้าคือจางเลี่ยเฉิน ไม่ใช่ใครปลอมตัวมา จิ้นเซียวก็ถอนหายใจโล่งอก รีบกวาดสายตาเย็นชามองไปรอบๆ มองดูคนที่ห้อมล้อมเขาเอาไว้เหล่านั้น บ้างก็อยู่บนพื้น บ้างก็อยู่บนอากาศ
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง เห็นคลื่นแสงที่มีลักษณะเหมือนชามกระเพื่อมวูบไหวขึ้นมาแล้วหายไป
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ที่นี่มีข่ายพลังวางอยู่จริงๆ ด้วย แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
ขอเพียงคนที่อยู่ในมือเขาเป็นจางเลี่ยเฉินก็พอ ขอแค่จางเลี่ยเฉินปลอดภัยก็พอ เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ล้อมเขาอยู่เหล่านี้ หรือจะเป็นข่ายพลังที่ผนึกเขาเอาไว้อยู่ก็ล้วนหยุดเขาไม่ได้
พูดให้ถูกก็คือ อีกฝ่ายไม่มีเวลามากพอที่จะมาหยุดเขาไม่ให้พาจางเลี่ยเฉินออกไปได้!
ผู้ปิดบังใบหน้าที่เป็นหัวหน้าค่อยๆ ลอยลงมาที่พื้น สายตาที่จับจ้องจิ้นเซียววูบไหวไม่นิ่ง อีกฝ่ายสามารถฝ่าการป้องกันมาพาคนออกไปได้อย่างเร็ว นี่แสดงให้เห็นว่าฝีมือของอีกฝ่ายไม่ธรรมดา มียอดฝีมือเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ เอ่ยถามเสียงขรึม “แกคือหลินยวน?”
จิ้นเซียวเอ่ย “ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ถอยออกไป ฉันแค่อยากจะพาคนออกไป ไม่ได้อยากทำร้ายพวกแก แล้วก็ไม่อยากจะวุ่นวายกับพวกแกไม่จบไม่สิ้นด้วย”
ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าแค่นหัวเราะ “แกคิดว่าที่นี่เป็นที่ที่แกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปเหรอ?”
จิ้นเซียว “ก็ไม่แน่ ขอแค่พวกแกมีปัญญาอยู่จนถึงตอนที่ผู้พิทักษ์เมืองมาถึงได้ หรือไม่ก็พวกแกมั่นใจว่าจะจัดการฉันได้ก่อนที่ผู้พิทักษ์เมืองจะมาถึง เช่นนั้นฉันจะยอมเล่นเป็นเพื่อนพวกแก!”
ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าแค่นเสียงหึ “แกถูกขังอยู่ในข่ายพลังอัสนีกระซิบแล้ว ต่อให้เสียงต่อสู้จะดังอึกทึกแค่ไหน ข้างนอกก็ไม่มีทางได้ยินหรอก…” กล่าวจบแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
จิ้นเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “งั้นเหรอ?”
ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไป มองฝุ่นควันคละคลุ้งในอากาศค่อยๆ ตกลงมา นั่นคือฝุ่นควันที่เกิดจากหินที่อีกฝ่ายซัดขึ้นไปอากาศแล้วระเบิดออก เขาตระหนักได้ทันที เข้าใจแล้วว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่ายมันหมายความว่าอะไร
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ จู่ๆ คนคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากวางสายแล้วก็รีบรายงานทันที “สายด้านนอกของเรารายงานมาว่าเกิดเสียงดังสนั่นจากทางนี้ ทำให้พวกผู้พิทักษ์เมืองรู้ตัวแล้วพากันแห่มาทางนี้แล้วครับ!”
ในดวงตาของชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าเผยให้เห็นถึงความโกรธแค้น จู่ๆ พลันพุ่งตัวออกไปราวภูติผี
จิ้นเซียวกระชากจางเลี่ยเฉินไปหลบข้างหลัง สะบัดแขนข้างหนึ่งออกไป ปลายนิ้วที่สะบัดออกไปมีพลังมารวมตัวกัน เกิดเป็นเส้นโค้งสีเงินที่คล้ายจับต้องได้จริง
ตู้ม! ผืนดินสะเทือนจนแตกร้าวออกเป็นร่องลึก ดินและหินรอบข้างพังถล่มลงมา ลมอันรุนแรงระเบิดออกไปรอบด้านโดยมีตำแหน่งของคนทั้งสองเป็นจุดศูนย์กลาง เศษหินปลิวว่อนกระจัดกระจาย
คนที่สภาวะต่ำต้อยถูกคลื่นพลังกระแทกจนซวนเซถอยหลัง
หมู่บ้านถูกลูกหลงจากการประมือกันของสองผู้แข็งแกร่งจนพังถล่ม
คนทั้งสองต่อสู้พัวพันอยู่ด้วยกัน
ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าซัดฝ่ามือออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่กลับถูกสองนิ้วของจิ้นเซียวที่แทงออกไปยันเอาไว้
ฝ่ามือของชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้ามีเลือดไหลซึมออกมา ถูกนิ้วมือของจิ้นเซียวแทงทะลุไป
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ! นี่คือความคิดที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในหัวของทั้งสองคน
“ฉันบอกแล้ว ฉันไม่อยากทำร้ายพวกแก แล้วก็ไม่อยากผูกความแค้นต่อกันด้วย ต่างคนต่างถอยกันคนละก้าวดีกว่า” จิ้นเซียวกล่าวอย่างเย็นชา
เพียงแค่ประมือกันครั้งนี้ ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหก เป็นไปได้ยากที่จะจัดการอีกฝ่ายให้ได้ก่อนที่ผู้พิทักษ์เมืองจะมา
และเมื่อมองดูอีกฝ่าย ก็คล้ายจะไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นศัตรูต่อกันจริงๆ
ชายปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าพลันดึงมือที่บาดเจ็บกลับไป ตะโกนว่า “ถอย!”
แสงที่มีลักษณะเหมือนชามในอากาศวูบไหวขึ้นมาอีกครั้ง พวกคนชุดดำบินหนีเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
จิ้นเซียวที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็รีบพาจางเลี่ยเฉินพุ่งตัวออกไปเช่นกัน แต่ไม่กล้าบินสูง หลบหนีเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกเขาเพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน ผู้พิทักษ์เมืองที่รีบแห่มาที่นี่เพราะได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็เดินทางมาถึง ก่อนจะทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
…..
ภายในป่าที่อยู่ข้างทาง จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งออกมา แล่นขึ้นไปบนถนนใหญ่ จิ้นเซียวที่ดึงผ้าปิดหน้าออกขับรถออกไปอย่างเร็ว
“ท่านผู้มีพระคุณ ขอบคุณครับ ขอทราบชื่อผู้มีพระคุณได้หรือไม่ วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน!” จางเลี่ยเฉินที่นั่งอยู่ข้างคนขับถอนใจโล่งอกพร่ำกล่าวขอบคุณ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ลองเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณช่วยคลายผนึกบนตัวผมได้ไหม?”
จิ้นเซียวไม่สนใจเขา มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือหนึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมา กดโทรหาจูลี่ หลังจากติดต่อได้ “ฉันช่วยคนของแกออกมาแล้ว คนของฉันล่ะ?”
หลินยวนย้อนถาม “แค่พูดปากเปล่าว่าช่วยออกมาแล้วไม่ได้หรอกนะ”
จิ้นเซียววางสายทันที ใช้พลังสลายใบหน้าที่ปลอมขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
พอจางเลี่ยเฉินเห็นก็ร้องไอหยา “คุณเองเหรอ? เราเคยเจอกันแล้ว คุณเคยมาที่ร้านยาของผม”
จิ้นเซียวหันไปตะคอก “หุบปาก!”
“…” จางเลี่ยเฉินเงียบไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก
จิ้นเซียวหยิบมือถือขึ้นมา กดถ่ายรูปทั้งสองคนไปสองสามรูป จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งส่งรูปเขากับจางเลี่ยเฉินไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลินยวนก็โทรกลับมา “มารับคนที่หอการค้าตระกูลฉิน ยื่นหมูยื่นแมว!”
“หอการค้าตระกูลฉิน?” จิ้นเซียวเอ่ยถาม น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจ
หลินยวนไม่ตอบ กดวางสายไป
จิ้นเซียวบีบมือถือ ก่อนจะยัดกลับไปในกระเป๋า เร่งเครื่องรถให้เร็วขึ้น
…..
ภายในห้องประชุม หลัวคังอันกำลังชี้นั่นชี้นี่ในฉากแสงพลางพูดไร้สาระไม่จบไม่สิ้น จูลี่อดทนฟังเขาพูดไป แต่ก็อดเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะไม่ได้
แม้ว่าลู่หงเยียนที่นั่งอยู่ด้วยกันจะไม่เอ่ยปากพูดอะไร แต่เธอกลับลอบกลั้นหัวเราะอยู่บ่อยครั้ง เธอพบว่าปากของหลัวคังอันนั้นสามารถพูดจาไร้สาระได้เรื่อยเปื่อยจริงๆ พูดจนน้ำไหลไฟดับ ไม่รู้ไปเอาเรื่องไร้สาระมากมายขนาดนี้มาจากไหน
แล้วก็พบว่าจูลี่ก็มีความอดทนอย่างมากเช่นกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอล่ะก็ เธอคงจะเอาถ้วยน้ำชาทุบไปที่หน้าหลัวคังไปแล้วแน่นอน
ประตูห้องประชุมเปิดออก หลินยวนเข้ามา เดินไปข้างหลังจูลี่แล้วพยักหน้าให้หลัวคังอันเล็กน้อย
…………………………………………………….