ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 217 เธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่ 217 เธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น
จิ้นเซียวมองไปรอบๆ “ฉันอยู่ที่ลานจอดรถแล้ว เตรียมจะออกเดินทางแล้ว ฉันเชื่อว่าแกมองเห็นฉัน ฉันต้องการรู้ว่าจูลี่ปลอดภัยหรือไม่ ฉันถึงจะตอบตกลงคำขอของแก”
หลินยวนกล่าว “ฉันเองก็ต้องการรู้ว่าจางเลี่ยเฉินปลอดภัยหรือไม่!”
“จางเลี่ยเฉิน?” จิ้นเซียวงุนงง “หมายความว่าไง? คนที่แกจะให้ฉันไปพามาคือจางเลี่ยเฉินอย่างนั้นเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “เลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้แล้ว แกเคยไปที่โรงอีหลิว เคยตรวจสอบสภาวะของเขา เขาไม่มีความแค้นกับใคร นอกจากแกแล้ว ฉันก็คิดไม่ออกว่าใครเป็นคนลงมือกับเขา”
เรื่องนี้ เขาเคยได้ยินจางเลี่ยเฉินเล่าให้ฟัง เพียงแต่จางเลี่ยเฉินก็ไม่รู้ว่าผู้ที่มาคือใคร บอกเพียงรูปร่างหน้าตาของคนที่มา หลินยวนพอได้ฟังก็รู้ว่าเป็นจิ้นเซียว
แต่แน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าคนที่ลงมือกับจางเลี่ยเฉินจะเป็นจิ้นเซียว แต่ตอนนี้เขาดึงดันที่จะโยนความผิดนี้ให้อีกฝ่าย
จิ้นเซียวเอ่ยทันทีว่า “แกเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ที่ฉันเคยไปโรงอีหลิว แต่ฉันแค่ไปหยั่งเชิงดูสภาวะของจางเลี่ยเฉินเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เคยทำอะไรเขาเลย”
หลินยวนกล่าว “พาเขามาให้ฉัน เพื่อพิสูจน์ว่าฉันเข้าใจผิดจริงๆ! ขอเพียงแกพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันเองก็ไม่คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ฉันรับรองว่าจูลี่จะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่ถ้าจางเลี่ยเฉินเป็นอะไร จูลี่ก็จะต้องลงไปนอนในหลุมฝังศพเป็นเพื่อนเขา คนที่ลงมือกับจางเลี่ยเฉินคิดจะล่อฉันไป ฉันคิดว่าแกน่าจะรู้ว่าสถานที่พบหน้าคือที่ไหน”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงวะ!” จิ้นเซียวสบถออกมาทันที พบว่าเรื่องนี้อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว “ฉันบอกแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือฉัน ถ้าแกอยากช่วยคน ก็ส่งที่อยู่มาให้ฉันซะ!”
หลินยวนเอ่ย “ได้ ฉันจะส่งให้แก รีบลงมือหน่อยล่ะ เดี๋ยวทางฉันจะคิดหาวิธีคอยช่วยแก จิ้นเซียว ฉันให้เวลาแกหนึ่งชั่วยาม ถ้าเกินกว่านั้นก็รอเก็บศพจูลี่แล้วกัน!” กล่าวจบก็หยุดการสนทนาไป
ขณะที่ฟังเสียงรอสายในโทรศัพท์ ปัง! จิ้นเซียวต่อยกำปั้นลงไปบนประตูรถทีหนึ่ง ความโกรธยากจะสงบลงได้ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเล่นงานเขาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะอีกฝ่ายกุมจุดอ่อนของเขาอยู่
เขาเตือนจูลี่ตั้งนานแล้วว่าให้เธอหยุดมือ อย่าสงสัยใคร่รู้ให้มากนัก อย่าไปเข้าใกล้คนบางคน แต่จูลี่ก็ไม่ฟัง!
โทรศัพท์มีเสียงติ๊งดังขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อีกฝ่ายส่งที่อยู่มาจริงๆ
หลังตรวจสอบที่อยู่แล้ว จิ้นเซียวก็ไม่ชักช้า เปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้าไปในรถทันที ขับรถออกไปจากหอการค้าตระกูลฉิน ห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เขาครุ่นคิดอยู่ว่าเป็นใครที่จับตัวจางเลี่ยเฉินไป? ทำไมต้องจับตัวไปด้วย? หรือว่าแท้ที่จริงแล้วจะไม่มีการจับตัวอะไรทั้งนั้น หากแต่เป็นหลุมพรางที่เอาไว้เล่นงานตัวเขา?
ระหว่างทาง จู่ๆ เขาก็จอดรถลงข้างทาง หยิบเอาแผนที่เมืองปู๋เชวี่ยออกมาจากในแหวนสารพัดนึก เจอตำแหน่งที่ตั้งของที่อยู่ที่หลินยวนให้หา หลังมองดูสภาพภูมิประเทศของจุดหมายปลายทางแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จ้องมองแผนที่แล้วค่อยๆ จมดิ่งลงไปในความคิด
…..
หลินยวนยืนอยู่ริมหน้าต่างภายในห้องห้องหนึ่ง เขารับโทรศัพท์ขึ้นมา หลังมั่นใจแล้วว่าจิ้นเซียวออกไปแล้ว เขาก็โทรไปที่โทรศัพท์ของจางเลี่ยเฉิน
จากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะฮ่าๆ ของจางเลี่ยเฉินก็ดังลอดออกมาจากในโทรศัพท์ “เสี่ยวหลินจึ เลิกงานหรือยัง?”
หลินยวนไม่รู้ว่าเขากำลังหัวเราะมีความสุขอะไร จะหักหลังทางนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามขนาดนี้หรือเปล่า? จึงตอบกลับไปว่า “ยังลุง เดี๋ยวเลิกงานแล้วผมไปหา แต่หงเยียนอาจจะไปช้าหน่อย”
จางเลี่ยเฉินงุนงง “ทำไมเหรอ?”
หลินยวนว่า “จูลี่ที่เป็นผู้อำนวจการของปู๋เชวี่ยวิดีโอมาน่ะสิ มาถึงก็เข้ากับหงเยียนได้ดีทีเดียว นี่จะชวนหงเยียนไปกินข้าวด้วยกัน หงเยียนปฏิเสธไม่ได้ ก็เลยอาจจะไปถึงช้าหน่อย”
จางเลี่ยเฉินคล้ายโมโหขึ้นมาเล็กน้อย “ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะมาด้วยกัน? บอกหงเยียนนะ วันนี้เป็นวันดี อย่าให้เธอทำเสียเรื่อง จูลี่อะไรนั่น วันหลังค่อยไปกินข้าวกับเธอก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนไปวันนี้เลย ไม่ดูหน่อยล่ะว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
หลินยวนกล่าว “ก็ได้ เดี๋ยวผมบอกให้หงเยียนพยายามปฏิเสธไป แต่จูลี่คนนี้เป็นคนของเจ้าเมืองลั่วเทียนเหอ ถ้าไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวผมไปคนเดียวก่อนแล้วกัน หงเยียนมาช้าหน่อยน่าจะไม่เป็นไร เดี๋ยวผมอธิบายกับน้าอวี๋เอง น้าอวี๋น่าจะไม่ว่าอะไร”
ปากแม้จะกล่าวไปเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วลู่หงเยียนไม่มีทางไป แม้แต่ตัวเขาก็ไม่มีทางไป แล้วลู่หงเยียนจะไปได้ยังไง?
จางเลี่ยเฉินยังพยายามจะฝืนบังคับ แต่ชายปิดหน้าที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับโบกมือมาทางเขา กลัวว่าถ้าฝืนดึงดันเกินไปมันจะผิดปกติ เดี๋ยวอีกฝ่ายจะสงสัยเอาได้
เมื่อเห็นแบบนี้ จางเลี่ยเฉินจึงได้แต่หัวเราะหึหึ เปลี่ยนคำพูดว่า “ได้ อย่างนั้นแกมาก่อน บอกให้หงเยียนรีบมาหน่อยแล้วกัน”
หลังทั้งสองสนทนากันเสร็จเรียบร้อย จางเลี่ยเฉินก็ประคองโทรศัพท์คืนให้อีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่าย ทำสีหน้าจนปัญญา “ผมพยายามเต็มที่แล้ว”
“ฉันได้ยินแล้ว ไม่ใช่ความผิดแก” ชายปิดหน้าตบไหล่เขาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป กวักมือเรียกคนให้เข้ามา เอ่ยกำชับเสียงเบาๆ ว่า “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เดี๋ยวต้องปรับแผนหน่อย…”
ผ่านไปไม่นาน จางเลี่ยเฉินก็ถูกหิ้วออกมาจากในสถานที่ลับตาคนในภูเขา ถูกพาไปในพื้นที่ที่เป็นแอ่งกระทะ
ภายในพื้นที่ที่เป็นแอ่งกระทะนั้นเป็นสถานที่ที่มีเขาสวยน้ำใสคล้ายหุบเขา มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ปกติเป็นสถานที่ที่เปิดให้คนนอกมาใช้พักผ่อนหย่อนใจ แต่ในเวลานี้ย่อมไม่เปิดให้คนนอกเข้ามา เพราะได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งควบคุมเอาไว้แล้ว
ภายในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ว่างเปล่ามีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา แต่งตัวเป็นคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
อวี๋สุ่ยชิงเองก็ถูกพาตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นถูกสั่งให้แสร้งแสดงเป็นคู่รักกับจางเลี่ยเฉิน รอยปูดบวมบนใบหน้าจางเลี่ยเฉินก็มีคนรีบใช้พลังทำให้เลือดลมไหลเวียนสสลายรอยปูดบวมไป จะได้ไม่ถูกคนมองออก
ภายในบริเวณนั้นยังมีพวกผักสำหรับทำอาหารวางไว้กองหนึ่ง ทั้งสองคนนั่งยองๆ อยู่ริมลำธาร ล้างทำความสะอาดผักด้วยกัน
แล้วก็ไม่กลัวว่าจางเลี่ยเฉินจะหนี เหตุผลแรกเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงสภาวะของจางเลี่ยเฉิน อีกฝ่ายไม่มีทางหนีรอดไปจากกลุ่มคนที่คอยจับตาดูเขาเอาไว้ได้ เหตุผลต่อมาเป็นเพราะพวกเขาลงผนึกไว้บนร่างจางเลี่ยเฉินแล้ว จางเลี่ยเฉินไม่มีทางใช้พลังได้
เดิมทีคนกลุ่มนี้วางแผนไว้ว่าขอเพียงหลินยวนกับลู่หงเยียนมาที่นี่ พวกเขาก็จะควบคุมตัวทั้งสองคนเอาไว้
ตอนนี้อาจจะมีเพียงคนเดียวที่มาก่อน เนื่องจากกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนอีกคนหนึ่งไม่ยอมมา พวกเขาจึงได้แต่ต้องให้จางเลี่ยเฉินกับอวี๋สุ่ยชิงมาแสดงละครอีกครั้ง รอให้ลู่หงเยียนมาก่อนแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย
เหตุผลนั้นง่ายมาก หากจับจางเลี่ยเฉินเป็นตัวประกันเพียงคนเดียว พวกเขากลัวว่าจะไม่สามารถสร้างความกดดันให้หลินยวนได้มากพอ หากจับตัวผู้หญิงของหลินยวนเอาไว้อีกคนหนึ่ง แบบนั้นดูจะค่อนข้างมีความเป็นไปได้มากกว่า
ถ้าหากลู่หงเยียนไม่มา ทางนี้ค่อยเปิดไพ่ให้หลินยวนเห็นก็ยังไม่สาย ด้วยสภาวะของหลินยวนแล้ว ทางนี้ก็ไม่กลัวว่าหลินยวนจะหนีไปได้
ก็แค่แสดงต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ส่วนหลินยวนที่วางสายไปก็เริ่มออกไปโผล่หน้าในหอการค้า เขาเชื่อว่าในเมื่ออีกฝ่ายวางแผนที่จะเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน อย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะต้องมีการจับตาดูหอการค้าตระกูลฉินเอาไว้แน่ ภายในหอการค้าตระกูลฉินจะต้องมีหนอนของฝ่ายนั้นอยู่อย่างแน่นอน
ในเมื่อมีหนอน แล้วตอนนี้จะลงมือกับเขา อย่างนั้นก็แสดงว่าฝ่ายนั้นจะต้องให้หนอนคอยจับตาดูเขาอยู่อย่างแน่นอน
…..
ตะวันค่อยๆ คล้อยต่ำลง จางเลี่ยเฉินที่นั่งล้างผักอยู่ริมลำธารแสดงได้สมจริงสมจังมาก ยังคงพูดคุยหัวเราะกับอวี๋สุ่ยชิงต่อไป
ท่าทีของจางเลี่ยเฉินทำให้อวี๋สุ่ยชิงกระอักกระอ่วน หลังพูดคุยหัวเราะเป็นเพื่อนเขาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เธอก็เอ่ยประเด็นที่หนักอึ้งขึ้นมา “คุณเกลียดฉันหรือเปล่า?”
รอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าจางเลี่ยเฉินแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ “เกลียด? ทำไมถึงต้องเกลียดด้วยล่ะ?”
อวี๋สุ่ยชิงไม่เชื่อ เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ปากไม่พูด แต่ในใจคงจะเกลียดฉันมากแล้วใช่ไหมล่ะ?” ตัวเธอในเวลานี้ไหนเลยจะมีความเขินอายเหมือนอย่างก่อนหน้าอีก
จางเลี่ยเฉินถอนใจพลางกล่าวว่า “เธอเข้ามาอยู่ในโรงอีหลิวนานขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันอยากจะนอนกับเธอ เธอก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี”
อวี๋สุ่ยชิงไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเขาตอบไม่ตรงคำถาม จึงแค่นเสียงเหอะออกมาพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ยังจะมาคิดถึงเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ? โอกาสฉันให้คุณไปแล้ว คุณไม่คว้าเอาไว้เอง พลาดไปแล้วก็พลาดไป โอกาสแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “เธอเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของฉันคือต่อให้เธอจะแสดงได้ดีแค่ไหน เธอก็เป็นแค่หมากที่ถูกส่งมานอนเป็นเพื่อนฉันเท่านั้น อย่าสำคัญตนผิดเลย เธอเองก็เป็นคนน่าสงสารที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ แล้วฉันจะเกลียดเธอไปทำไม? เอ่อ มองฉันแบบนี้ทำไม หรือว่าฉันพูดอะไรผิด?”
อวี๋สุ่ยชิงจ้องมองเขาอย่างเคียดแค้น
จางเลี่ยเฉินยิ้มเล็กน้อย “อย่าทำแบบนี้สิ ฉันกลัวพวกเขาแต่ไม่กลัวเธอหรอกนะ ต่อให้เธอไม่พอใจยังไง เธอก็ไม่กล้าทำอะไรฉันอยู่ดี นี่เรากำลังแสดงอยู่นะ เธอทำแบบนี้มันดูไม่เหมือนเลย เดี๋ยวพวกเขาจะโกรธเอาได้นะ ถ้าถูกพวกเขาอัดเอาจะแย่เอานะ มา ยิ้มหน่อย!”
คำพูดประโยคหนึ่งยังคงดังสะท้อนอยู่ในหัวของเธอ เธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง!
อวี๋สุ่ยชิงที่ถูกอีกฝ่ายพูดตอกกลับมารู้สึกแค้นใจเป็นอย่างมาก แต่จนปัญญาที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ เธอมองไปรอบๆ เห็นว่ามีคนคอยจับตาดูเธออยู่ ในเวลานี้เธอจำเป็นต้องทำตามที่จางเลี่ยเฉินบอก ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา ฝืนฉีกยิ้มออกมา
ชายปิดหน้าที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามองไปยังพื้นที่แอ่งกระทะที่จัดฉากเอาไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นสายตามองตามถนนที่คดเคี้ยวออกไปจากหุบเขา ทอดมองไกลออกไป ไม่เห็นร่องรอยว่าจะมีใครมา จากนั้นมองดูสีของท้องฟ้า ในเวลานี้ท้องฟ้าใกล้จะโพล้เพล้แล้ว เขาจึงหันหน้าไปถามว่า “หลินยวนยังไม่ออกมาอีกเหรอ?”
ลูกน้องที่รับหน้าที่ประสานงานที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งเอ่ยว่า “เพิ่งจะถามไปครับ ทางนั้นบอกว่าหลินยวนยังอยู่ที่หอการค้าตระกูลฉินครับ ยังไม่ออกมา ถ้าหากออกมาแล้วจะรีบติดต่อพวกเราครับ ทางหอการค้าตระกูลฉินเองก็ใกล้จะเลิกงานแล้ว น่าจะใกล้แล้วครับ”
ชายที่คาดผ้าปิดหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวว่า “ให้คนที่จัดวางไว้ตามทางจับตาดูให้ดี ดูว่าหลินยวนมาคนเดียวหรือเปล่า”
ลูกน้องกล่าวว่า “วางใจได้ครับ ขอเพียงเขามา สายที่อยู่ระหว่างทางจะต้องจับตาดูไว้อย่างแน่นอนครับ”
และด้านหลังภูเขาในเวลานี้ คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้าที่ซ่อนตัวอยู่คนหนึ่งพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้หันหน้ากลับไปดู ร่างกายเขาพลันแข็งทื่อไป กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าที่ปิดบังใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างรุนแรง
จิ้นเซียวที่แปลงโฉมเป็นคนงานเผยตัวออกมา นิ้วมือทั้งห้าแทงทะลุเข้าไปในหลังของเขา จับกระดูกไขสันหลังของเขาเอาไว้ ไม่ทันที่เขาจะออกเสียง มืออีกข้างหนึ่งก็ได้คลำไปที่ลำคอของเขาแล้วบีบเอาไว้
เขามาที่นี่คนเดียว เรียกได้ว่าใจกล้าเป็นอย่างมาก
แล้วก็เป็นเพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่น ที่นี่เขาไม่มีใครคอยช่วยเหลือ เวลานี้ยากจะไปเรียกรวมคนมาช่วยได้
และในสถานการณ์แบบนี้อีกฝ่ายจะต้องจัดวางกำลังคนคอยจับตาดูอยู่รอบๆ อย่างแน่นอน การที่คนแห่กันมาเยอะไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี เผลอๆ อาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้ง่าย
“พูด ดวงตาของข่ายพลังอยู่ที่ไหน?” จิ้นเซียวกระซิบถามที่ข้างหูของคนที่ปิดหน้าเบาๆ มือที่บีบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ก็ค่อยๆ คลายออก เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด
เมื่อเห็นสภาพภูมิประเทศที่นี่ เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าที่นี่อาจจะมีการวางข่ายพลังเอาไว้เหมือนอย่างที่หลินยวนและลู่หงเยียนคิด
แต่ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่คนปิดหน้ามีโอกาสพักหายใจ ลมหายใจที่ถี่กระชั้นก็มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน แต่เห็นได้ชัดว่าจิ้นเซียวเองก็มีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่เช่นกัน ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เปล่งเสียงออกมา เขาก็ชิงตะปบลำคอของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว
นิ้วมือทั้งสิบออกแรง ค่อยๆ บีบลงไป
เงียบเชียบ ไร้ซึ่งสุ้มเสียง ลำคอและกระดูกสันหลังของคนที่ปิดหน้าค่อยๆ ถูกบีบจนแหลกละเอียด ตายลงไปตรงนั้น
เสื้อผ้าของศพค่อยๆ ถูกถอดออก จิ้นเซียวเอาเสื้อผ้าและผ้าปิดหน้าของคนที่แอบซุ่มอยู่ตรงนั้นมาสวมใส่ไว้บนร่างตัวเอง หลังปิดบังใบหน้าตัวเองแล้ว เขาก็ทำการอำพรางศพเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจากที่นี่เหมือนอย่างภูตผี ขึ้นไปใกล้ยอดเขาอย่างเงียบๆ
…………………………………………………………