ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 213 ใกล้ไปไร้มารยาท ไกลไปก็แค้นเคือง
ตอนที่ 213 ใกล้ไปไร้มารยาท ไกลไปก็แค้นเคือง
พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ฉินอี๋ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะช่วยหลินยวนพูด จึงชิงพูดแทรกขึ้นมา
ไม่รอให้อีกฝ่ายบอกว่าเป็นอะไรกับหลินยวน ชิงบอกความสัมพันธ์ของตนเองกับหลินยวนออกมาก่อน ถ้าจะเสียหน้า เธอก็ต้องทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าก่อน
คิ้วข้างหนึ่งของลู่หงเยียนเลิกขึ้นมา ความรู้สึกเย็นยะเยือกสายหนึ่งแผ่ออกมาจากในสายตา มุมปากมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
เดิมทีเรื่องทำนองนี้มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครชอบอยู่แล้ว ถูกคนอื่นเอาเรื่องแบบนี้มาทำให้เสียหน้า อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ต่อให้เป็นผู้ชาย หากต้องมาเจอผู้ชายคนอื่นแย่งผู้หญิงของตัวเองไปต่อหน้าต่อตาก็คงไม่มีใครทนได้เช่นกัน ทั้งสถานะและชาติตระกูลก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน ถึงแม้ความสามารถของทั้งสองคนจะเป็นคนละเส้นทางกัน แต่การที่เธออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ เธอเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเช่นกัน มีหรือที่เธอจะมองฉินอี๋อยู่ในสายตา
เมื่อถูกยั่วโมโห ลู่หงเยียนคิดจะเอ่ยปากทำให้ฉินอี๋เสียหน้าเช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ หลินยวนจะลุกขึ้นมา เอ่ยตะคอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หงเยียน!”
หลินยวนย่อมต้องรู้ว่าลู่หงเยียนไม่มีทางกลัวฉินอี๋ ลู่หงเยียนเป็นใคร นั่นเป็นผู้หญิงที่เลียโลหิตบนคมดาบเชียวนะ เป็นผู้หญิงที่เดินออกมาจากพายุโลหิตที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แตกต่างจากลูกคุณหนูทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มองฉินอี๋อยู่ในสายตาเลย ถ้าไปยั่วให้เธอโมโหล่ะก็ เรื่องคงจะไม่จบลงง่ายๆ แน่
เขารู้จักลู่หงเยียนดี ทันทีที่เห็นสีหน้าของลู่หงเยียน เขาก็รู้ว่าลู่หงเยียนเกิดความคิดที่จะสังหารฉินอี๋แล้ว
ส่วนฉินอี๋นั้น หลังได้ใกล้ชิดกันมาระยะหนึ่ง เขาก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่โหดเหี้ยมอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดจากระทบกระทั่งกัน หากต่างคนต่างยั่วโมโหกันไปมาคงจะไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงต้องเอ่ยปากห้ามเอาไว้
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ฉินอี๋ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยไม่มีทางฟังเขาอย่างแน่นอน เขาจึงได้แต่ต้องเอ่ยห้ามลู่หงเยียนเอาไว้
ลู่หงเยียนหันหน้าไปมองเขา เดิมทีเธอคิดจะบอกว่าตัวเองก็รู้อะไรมาบ้างเหมือนกัน เธอคิดจะบอกว่าเรื่องของอีกฝ่ายกับหลินยวนนั้นเป็นอดีตไปแล้ว บอกว่าพวกเธอสองคนเลิกกันแล้ว บอกว่าตอนนี้ตัวเองต่างหากที่เป็นผู้หญิงที่ได้อยู่กับหลินยวน คิดที่จะฉีกหน้าฉินอี๋
แต่เมื่อได้สัมผัสกับสายตาของหลินยวน ถูกหลินยวนจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา เธอจึงจำต้องฝืนสะกดความโกรธเอาไว้ กลืนคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากลงไป
เธอได้แต่ต้องเก็บความคิดที่แอบซ่อนไว้เหล่านั้นเอาไว้ในใจ ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ เรื่องที่เธอเอาอวี๋สุ่ยชิงมาอ้างเพื่อจะมาหอการค้าตระกูลฉินเรียกได้ว่าเป็นข้ออ้างที่หลินยวนบอกให้เธอมาที่นี่ หากเธอฉีกหน้าฉินอี๋ตรงนี้ นั่นเท่ากับเป็นการจงใจทำให้เสียงาน จะเอาข้ออ้างอะไรมากลบเกลื่อนก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์
เธอรู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนอย่างไร หากไปทำเรื่องอะไรที่ท่านอ๋องไม่อาจยอมรับได้แล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะแบกรับไหว!
ไป๋หลิงหลงที่อยู่ด้านข้างมองดูทั้งสองฝ่ายอย่างเงียบๆ
สีหน้าของลู่หงเยียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูแข็งขืน ฝืนฉีกยิ้มให้ฉินอี๋เล็กน้อย เมื่อมีหลินยวนอยู่ เธอไม่อาจทำอะไรได้ ถูกหลินยวนข่มเอาไว้จนไม่กล้าทำอะไรวุ่นวาย ได้แต่ต้องกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไป
นี่เป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าตอนนี้สภาวะของหลินยวนเสียหายไปมากกว่าครึ่ง ไม่อย่างนั้นถูกอีกฝ่ายยั่วโมโหถึงขนาดนี้แล้ว อีกทั้งเธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงบอบบางอ่อนแออะไร หากแต่เป็นคนที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา เกรงว่าถ้าเธอโมโหขึ้นมา หลินยวนก็ไม่แน่ว่าจะหยุดเธอเอาไว้ได้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หลินยวนไม่กล้าบอกใครว่าสภาวะของตัวเองเสียหายไปมากกว่าครึ่ง
เมื่อเห็นลู่หงเยียนถูกดุจนไม่กล้าพูดอะไร เมื่อเห็นหลินยวนทำตัวห่างเหินกับตัวเอง เมื่อเห็นหลินยวนไม่มองลู่หงเยียนเป็นคนนอก ภายในใจฉินอี๋พลันรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สรุปแล้วคือตอนนี้ ไม่ว่าหลินยวนทำอะไรก็ผิดไปเสียหมด
ฉินอี๋ฝืนสะกดความโกรธเอาไว้ ใบหน้าฉีกยิ้มออกมา วางท่าเหมือนไก่ตัวผู้ที่สู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น เอ่ยว่า “หลินยวน ทำไมถึงพูดกับเพื่อนแบบนี้ล่ะ?”
เธอจงใจวางท่าของผู้ชนะให้ลู่หงเยียนดู
หลินยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านประธาน มีอะไรจะสั่งหรือเปล่าครับ?”
เขาไม่ได้แก้ต่างอะไร ไม่ได้จงใจสร้างระยะห่างอะไร อะไรที่ควรพูดก็ล้วนสื่อไปในคำพูดประโยคนี้หมดแล้ว เขาอยากจะรีบยุติเรื่องนี้โดยเร็ว
ฉินอี๋จ้องมองเขา ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองลู่หงเยียนที่นั่งอยู่ ยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณลู่ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก พวกคุณคุยกันไปก่อนนะคะ ฉันขอตัวก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อนะคะ”
ลู่หงเยียนเองก็ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ได้ค่ะ ประธานฉินมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก ฉันไม่รบกวนแล้วค่ะ”
ฉินอี๋ก้าวอาดๆ ออกไป ในตอนที่เดินผ่านหลินยวน จู่ๆ เธอพลันหยุดฝีเท้า มือกำเป็นหมัดขึ้นมาเล็กน้อย เกิดความคิดที่จะอยากจะถามหลินยวนนักว่า ‘พวกนายอยู่ด้วยกันก็อยู่ไปสิ แต่การที่เรียกคนมาที่นี่ มาแสดงความรักกันต่อหน้าฉันมันหมายความว่าอย่างไร?’
ทุเรศ! นี่คือคำที่เธออยากจะตะโกนใส่หน้าหลินยวนมากที่สุด เธออยากจะชี้ไปทางด้านนอกประตู บอกให้หลินยวนไสหัวออกไป ต่อให้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!
แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง “ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลารับรองคุณลู่ นายช่วยฉันดูแลเธอทีนะ”
สำหรับลู่หงเยียนแล้ว คำพูดนี้เรียกได้ว่าได้คืบจะเอาศอกอย่างแท้จริง มุมปากเม้มแน่นขึ้นมา
หลินยวนสูดหายใจลึกๆ พยักหน้าเล็กน้อย พยายามจะยุติเรื่องนี้ให้ได้
ฉินอี๋เดินผ่านเขาไป ก้าวอาดๆ ออกไปจากที่นี่
ผู้หญิงคนหนึ่งออกไป ผู้หญิงอีกคนหนึ่งยังอยู่ ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป หลินยวนจ้องมองมาทางลู่หงเยียนด้วยสายตาเย็นยะเยือก ค่อยๆ ก้าวเข้ามา
ลู่หงเยียนพลันได้สติขึ้นมา ในดวงตาฉายแววหวาดกลัว เท้าก้าวถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว แต่กลับชนเข้ากับโซฟา สะดุดล้มนั่งลงไปบนโซฟา
หลินยวนหยุดฝีเท้าจ้องมองเธอ ลู่หงเยียนกลืนน้ำลาย ลูกกระเดือกขยับขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเดินมาตรงหน้าหลินยวน ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋องโกรธหรือเพคะ?”
หลินยวนยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง จับคางของเธอเอาไว้แล้วเชยขึ้นมา จ้องมองใบหน้าที่สวยงามของเธอด้วยสายตาเย็นชา
ในดวงตาของลู่หงเยียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับพยายามแสดงสีหน้าอ่อนโยน ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา หมายจะกุมมือของเขาเอาไว้
หลินยวนคลายมือออกอย่างแผ่วเบา ดึงมือออกมาจากมือทั้งสองข้างของเธอ เคลื่อนกายไปด้านหลังเธอ มือข้างนั้นยกขึ้นมาเล็กน้อย กำไลที่ดูโบราณเทอะทะบนข้อมือของเขากำลังหมุนขึ้นมาเบาๆ
บนกำไลมีรอยแหว่งปรากฏขึ้นมา หัวลูกศรที่ดูคล้ายสมออันนั้นไม่รู้ว่าไปพาดอยู่ด้านหลังคอของลู่หงเยียนตั้งแต่เมื่อไร
บนลำคอของลู่หงเยียนมีรอยสีแดงปรากฏขึ้นมาเป็นวง
ดวงตาของลู่หงเยียนเบิกโพลง ในดวงตาเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหวาดกลัวที่ยากจะสะกดเอาไว้ปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริง เธอรีบหมุนตัวกลับมา สะบัดกระโปรง ก้มศีรษะแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋อง หงเยียนผิดไปแล้วเพคะ!”
หลินยวนยกมือขึ้นมาเบาๆ ลำคอของลู่หงเยียนมีรอยโลหิตไหลซึมออกมาทันที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เธอรู้ว่าพวกเราจะใช้ประโยชน์จากหอการค้าตระกูลฉิน ศึกในเมืองหลวงทำให้พี่น้องของพวกเราต้องสละชีวิตไปมากมายเท่าไร เธอรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก แต่ดูเธอสิ เธอคิดจะทำอะไร?”
ลู่หงเยียนรีบแก้ต่างอย่างลนลาน “ท่องอ๋อง หงเยียนไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนะเพคะ หงเยียนเพียงแค่จะหยั่งเชิงฉินอี๋ เพียงแค่จะยั่วโมโหเธอ หงเยียนคิดว่าถ้าเราอยากจะควบคุมหอการค้าตระกูลฉิน ถ้าเราอยากแทรกซึมให้ลึกเข้าไป การที่ท่านอ๋องได้อยู่กับฉินอี๋อย่างแท้จริงต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ความจริงหงเยียนอยากทำให้เธอหึงหวง อยากจะใช้อีกวิธีหนึ่งมาทำให้พระองค์ได้อยู่กับเธอเพคะ!”
หลินยวนหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา “จำเป็นต้องให้เธอมาสอนว่าต้องทำยังไงด้วยเหรอ? ใครใช้ให้เธอมาตัดสินใจโดยพลการได้? อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนข้างกายฉันแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ เหิมเกริมอวดดี คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าเธอเหรอ?”
ลู่หงเยียนกล่าว “หงเยียนผิดไปแล้วเพคะ หงเยียนไม่กล้าทำอีกแล้วเพคะ!”
หลินยวนกล่าว “ถ้ามีครั้งต่อไปอีก ฉันจะไปเอาหัวของพ่อแม่เธอก่อน!”
ลู่หงเยียนหวาดกลัวถึงขีดสุด กระทั่งสีหน้าก็เปลี่ยนไป ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง “หงเยียนจะจำให้ขึ้นใจ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เมตตาเพคะ!”
นิ้วมือของหลินยวนตวัดทีหนึ่งคล้ายกำลังดีดพิณ เสียงติงดังขึ้นมาเบาๆ หัวสมอตวัดกลับมาอีกครั้ง ฝังเข้าไปในรอยแหว่งบนกำไลข้อมือ
เขาหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับคนที่คุกเข่าอยู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ลุกขึ้นมา”
“เพคะ” ลู่หงเยียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง บนใบหน้ายังคงมีความรู้สึกหวาดกลัว บนลำคอที่ขาวผ่องมีรอยแดงเป็นเส้นยาวปรากฏขึ้นมา ปากแผลรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
ในเวลานี้ เธอเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอยู่ข้างกายท่านอ๋องเหมือนดั่งอยู่ข้างกายเสือ
หลินยวนกล่าวว่า “ใกล้ไปไร้มารยาท ไกลไปก็แค้นเคือง ถ้าอยู่ใกล้ชิดเธอเกินไป เธอก็จะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำตัวเหิมเกริมอวดดีได้ อย่างนั้นตอนนี้เธอออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยได้ เดี๋ยวจะมีคนมาแทนเธอเอง”
ลู่หงเยียนรีบกล่าว “ท่านอ๋อง ให้โอกาสหงเยียนอีกครั้งนะเพคะ หงเยียนรับรองว่าจะไม่ทำผิดพลาดอีก” กล่าวจบก็ก้มศีรษะคุกเข่าลงไป
หลินยวนยื่นมือข้างหนึ่งไปพยุงแขนเธอขึ้นมา ไม่ได้ให้เธอคุกเข่าลงไปอีก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ระหว่างฉันกับฉินอี๋ ไม่จำเป็นต้องให้เธอมาจัดการ เมื่อเดินไปบนเส้นทางนี้แล้ว ไม่ว่าเธอ หรือว่าฉัน ต่างก็ไม่มีสิทธิ์คิดเรื่องความรักอีก เข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจลู่หงเยียนกลับลอบรู้สึกยินดีขึ้นมา คำพูดนี้ของท่านอ๋องเท่ากับเป็นการบอกว่าระหว่างท่านอ๋องกับฉินอี๋นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้!
เมื่อปิดบังความรู้สึกยินดีที่อยู่ในสายตาแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความรักใคร่ “ท่านอ๋อง หงเยียนผิดไปแล้วเพคะ เป็นหงเยียนที่คิดมากไป ครั้งต่อไปเรื่องแบบนี้ล้วนให้ท่านอ๋องเป็นคนตัดสินใจ หงเยียนจะไม่ถือดีตัดสินใจแทนท่านอ๋องอีกแล้วเพคะ” มือทั้งสองข้างลองยื่นไปจับแขนของเขาเอาไว้
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือที่อยู่บนตัวหลินยวนก็ดังขึ้นมา เขาหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดู ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่เล็กลง ค่อยๆ หันไปมองลู่หงเยียนที่ยืนอยู่ข้างกาย “ลุงเฉินโทรมา”
ลู่หงเยียนปล่อยมือทันที สีหน้าท่าทางกลับมาเป็นปกติในพริบตา “ถ้าโทรมาเรียกพระองค์ไปจริงๆ อย่างนั้นก็มีปัญหาจริงๆ แล้วเพคะ”
หลินยวนรับสาย เปิดลำโพงโทรศัพท์ เสียงของจางเลี่ยเฉินดังออกมาจากในโทรศัพท์ทันที “เสี่ยวหลินจึ ฉันเอง”
หลินยวนกล่าว “ลุงเฉิน มีอะไร?”
จางเลี่ยเฉินว่า “ก่อนหน้านี้หงเยียนบอกว่าแกมีธุระจะคุยกับเธอ ให้เธอไปที่หอการค้าตระกูลฉิน เธอไปถึงหรือยัง?”
หลินยวนกล่าว “มาแล้วลุง อยู่ข้างๆ ผมเนี่ย ลุงจะคุยกับเธอหรือเปล่า?”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “ไม่ต้อง คุยกับแกก็เหมือนกัน เดี๋ยวแกไปบอกหงเยียนหน่อยแล้วกัน คือ ฉันออกมาเที่ยวข้างนอกกับน้าอวี๋ของแก ตรงนี้สนุกทีเดียว น้าอวี๋ของแกเจอที่ทำกับข้าวนอกบ้านที่หนึ่ง นี่พวกฉันซื้อกับข้าวมานิดหน่อยแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้เธอจะลงมือเข้าครัวทำอาหารเย็นให้พวกเรากินที่นี่ ถือซะว่าเป็นการฉลองน่ะ”
หลินยวนกล่าว “ฉลอง? ฉลองอะไร มีเรื่องอะไรให้ฉลองหรือลุง?”
จางเลี่ยเฉินหัวเราะฮี่ๆ “คือ ฉันกับน้าอวี๋ของแกคุยกันแล้ว ตัดสินใจแล้ว เราสองคนจะอยู่ด้วยกัน ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แกไม่คิดว่ามันน่าฉลองหรือไง?”
หลินยวนร้องโอ้ ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวว่า “ดีเลยครับ ควรฉลองจริงๆ ด้วย”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “น้าอวี๋ของแกจะทำอาหารเอง ตอนนี้เริ่มลงมือจัดการแล้ว เธอมีน้ำใจทำข้าวให้เรากิน แกกับหงเยียนต้องมาให้ได้นะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ เอ่อ เดี๋ยวเลิกงานแล้วแกพาหงเยียนมาด้วยกัน น้าอวี๋ของแกเตรียมอาหารกับเหล้าดีๆ เอาไว้ต้อนรับพวกแกแล้ว”
หลินยวนกล่าว “ได้ ลุงเฉิน ที่ไหนเหรอลุง?”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ให้แก อย่าลืมพาหงเยียนมาด้วยนะ”
หลินยวนว่า “ไม่ลืมแน่นอนลุง ได้ รู้แล้วครับ มีอะไรอีกหรือเปล่าลุง?”
“ไม่มีแล้ว ถ้าวันนี้เลิกงานเร็วได้ก็รีบมาล่ะ” จางเลี่ยเฉินกล่าวจบก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ในเวลานี้คือป่าทึบแห่งหนึ่ง นอกจากใบหน้าที่ถูกเล่นงานจนบวมปูดนิดหน่อยแล้ว สภาพร่างกายโดยรวมถือว่ายังดีอยู่ ยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร สองมือประคองโทรศัพท์มือถือส่งให้คนชุดดำที่คาดผ้าปิดบังใบหน้าที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่ห้อมล้อมตัวเองอยู่ สีหน้าท่าทางดูน่าสงสาร
…………………………………………………………………