ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 21 เดิมทีเป็นมื้อที่มีความสุข
ตอนที่ 21 เดิมทีเป็นมื้อที่มีความสุข
กวนเสี่ยวไป๋หดตัวอยู่ตรงมุมกำแพง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและโกรธเกรี้ยว อีกทั้งยังจนปัญญา
หลินยวนยิ้มเล็กน้อย เขามองออกแล้วว่าพฤติกรรมของกวนเสี่ยวชิงนั้นเป็นแม่ของเธอที่สอนมา
เถาฮวาเหลียวหน้ากลับมาลากเขาเข้าไปพัวพันอีกครั้ง กล่าวว่า “เสี่ยวหลินจึ ไหนเธอลองว่ามาซิ ฉันอยู่กับพ่อของเขามา ลำบากมาตั้งหลายปี ตอนนี้ลูกสาวของฉันมีความพยายาม อาศัยความสามารถของตัวเองเข้าไปทำงานในตระกูลฉินได้ ฉันจะให้เธอไปแต่งกับผู้ชายเหมือนอย่างพ่อเธอก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? เสี่ยวหลินจึ คนเป็นแม่อยากให้ลูกสาวได้แต่งกับคนดีๆ มันผิดเหรอ?”
หลินยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณป้าพูดถูกครับ ไม่ผิด สมควรครับ”
“….” กวนเสี่ยวไป๋ถลึงตาใส่เขา มีความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย
แต่หลินยวนกลับพยายามส่งสายตาให้เขา บอกให้เขายอมแพ้เสียเถอะ
ตัวหลินยวนเองก็มองออกแล้วว่าตระกูลกวนนั้นไม่มีอะไรต่างไปจากเมื่อก่อนเลย ยังคงเป็นแม่เสือเถาฮวาที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนไร้เหตุผล ต่อให้กวนเสี่ยวไป๋จะมีอีกหมื่นเหตุผลก็เอาชนะเธอไม่ได้ เถียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้รีบหยุดเสียดีกว่า
กวนเสี่ยวชิงที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของพี่ชายมาได้เหลียวหน้ามามองหลินยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ คล้ายกำลังบอกว่าหลินยวนไม่ควรไปฟ้องพี่ชาย
หลินยวนรีบผายมือไปทางเธอ กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เสี่ยวชิง ฉันไม่ได้พูดอะไรจริงๆ นะ พี่ชายของเธอมาถามฉันว่าพวกเราเจอกันได้ยังไง ฉันก็แค่เล่าเรื่องที่เราเจอกันออกไป ใครจะไปรู้ว่าเขาจะคิดมากขนาดนั้น”
“เธอไม่ผิด” เถาฮวาไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขาเลยแม้แต่น้อย รีบเข้าข้างเขาทันที ดึงลูกสาวของตัวเองให้นั่งลงกินข้าว ไม่สนใจลูกชายของตน
สุดท้าย ตัวกวนเสี่ยวไป๋ก็เดินสะบักสะบอมกลับมาที่โต๊ะกินข้าว นั่งลงข้างหลินยวน
เถาฮวาเองก็นั่งข้างหลินยวน แต่กลับต่อว่าลูกชายอีกประโยคหนึ่งว่า “ฉันว่าเสี่ยวชิงกับเสี่ยวหลินจึมีวาสนาต่อกัน!”
หลินยวนงุนงง คำพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ?
กวนเสี่ยวไป๋จ้องมองมารดาของตน เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเช่นกัน
เถาฮวาเหลียวหน้ามายกตะเกียบช่วยหลินยวนคีบกับข้าว ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ลองชิมสิ ดูว่าถูกปากไหม”
หลินยวนรีบกล่าวอย่างเกรงใจ “ผมเองครับ ผมเองครับ”
เถาฮวาเร่งเร้าเขา “ลองชิมสิ อาหารบนโต๊ะนี่เป็นอาหารที่เมื่อก่อนนี้เธอชอบกินหมดเลยนะ”
“อ้อๆ ได้ครับ คุณป้า คุณป้าก็กินครับ” หลินยวนยังคงกล่าวอย่างเกรงใจ อีกฝ่ายแสดงน้ำใจมาก็ยากจะปฏิเสธได้ จึงได้แต่ต้องลองชิม พอกินเข้าไปก็พยักหน้าหงึกๆ “อร่อยครับ รสชาตินี้เลยครับ”
เถาฮวายิ้มแย้ม ก่อนจะถอนใจพลางกล่าวว่า “พ่อของพวกเขาจากไปแล้ว ฉันเองก็รู้ว่าตัวเองคงอยู่ได้อีกไม่นานเท่าไร ก่อนตายก็อยากจะเห็นลูกสาวของตัวเองได้มีผู้ชายดีๆ ให้พึ่งพา อันที่จริงนะ ถ้าเสี่ยวชิงหาผู้ชายคนอื่นมาฉันยังไม่ค่อยวางใจเท่าไร แต่ถ้าเป็นเสี่ยวหลินจึเนี่ยไม่เหมือนกัน ฉันเห็นเธอมาแต่เล็ก รู้ดีว่าเธอเป็นคนอย่างไร เธอกับเสี่ยวไป๋เองก็เหมือนพี่น้องแท้ๆ ถ้าเสี่ยวชิงอยู่กับเธอล่ะก็ ฉันก็วางใจแล้ว!”
“อื้อ…” หลินยวนสำลัก เกือบจะปิดปากเอาไว้ไม่ทัน นี่คุณป้าเอาจริงหรือนี่?
กวนเสี่ยวชิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าเขินอาย กล่าวกระมิดกระเมี้ยนว่า “แม่ กินข้าว พูดอะไรเหลวไหลน่ะ”
กวนเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “รู้จักดี? แม่ เมื่อก่อนหลินจึก็ทำเรื่องเลวๆ มาไม่น้อย เรื่องที่เขาทำพวกนั้น แม่เองก็รู้ แล้วยังกล้าให้เสี่ยวชิงไปอยู่กับเขาเนี่ยนะ?”
คนกันเองว่ากันเองอย่างนั้นเหรอ! เถาฮวาโกรธเกรี้ยวขึ้นมา คว้าจับแก้วที่อยู่บนโต๊ะ
กวนเสี่ยวไป๋ตกใจจนยกมือที่ถือตะเกียบขึ้นมาบังศีรษะโดยไม่รู้ตัว กลัวแม่จะขว้างแก้วเข้ามา
จากนั้นเมื่อเห็นหลินยวนที่กำลังกินข้าวด้วยท่าทางหวาดกลัวกำลังมองดูตัวเองอยู่ เถาฮวาจึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนทันที เธอวางแก้วลง กล่าวสั่งสอนลูกชายว่า “เสี่ยวหลินจึไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนดูแลตั้งแต่เล็ก ตอนหนุ่มๆ ทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ คนเราล้วนแต่ต้องเติบโตขึ้น ทุกคนต่างค่อยๆ คิดเป็น แกดูสิ ตอนนี้เขาก็ดีจะตายไม่ใช่เหรอ เข้าไปทำงานในตระกูลฉินได้ แย่ตรงไหน?”
หลินยวนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงเหลียวหน้าไปมองกวนเสี่ยวไป๋ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
ใบหน้าของกวนเสี่ยวไป๋กระตุกขึ้นมา จะให้เขาพูดอะไรล่ะ? พูดอะไรไปก็เถียงสู้แม่ไม่ได้ สุดท้ายเผลอๆ อาจจะตัดสินตามใจตัวเองแบบไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ
เขารู้จักแม่ของตัวเองดี เธอก็แค่ถูกใจตำแหน่ง ‘พนักงานระดับสูง’ ในตระกูลฉินของหลินยวน กับประโยชน์ต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ก็เลยอยากจะจับลูกสาวให้ไปอยู่กับเขาเท่านั้นแหละ
เขากล้าพูดเลยว่าถ้าหากหลินยวนยังเป็นคนงานอยู่ในโรงอีหลิว หากเสี่ยวชิงจะไปอยู่กับหลินยวนจริงๆ ล่ะก็ แม่คนนี้จะต้องจับพวกเขาแยกกัน ไม่มีทางยอมให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน
แต่กลัวมันก็ส่วนกลัว ยังไงเขาก็ต้องหยุดแม่เอาไว้ หากก่อนหน้านี้หลินยวนไม่ได้พูดเรื่องเหล่านั้นกับเขาล่ะก็ การจะให้เสี่ยวชิงแต่งกับหลินยวนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเหมือนกัน แต่ในเมื่อหลินยวนบอกเขาแล้ว อย่างนั้นมันก็ไม่เหมาะสมจริงๆ
เขารีบแย้งกลับไปทันที “แม่ เสี่ยวชิงเพิ่งจะอายุสามสิบกว่า ยังห่างจากอายุแต่งงานห้าร้อยปีที่กฎหมายดินแดนเซียนกำหนดเอาไว้อีกตั้งไกล ตอนนี้แม่มากังวลเรื่องนี้มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอ”
เถาฮวากล่าวอย่างประหลาดใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไร? เสี่ยวหลินจึ ป้าเป็นคนอย่างไรเธอเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ? แต่ไหนแต่ไรมาฉันเป็นคนเปิดกว้าง! ตอนนี้ยังแต่งไม่ได้ แต่ก็อยู่ด้วยกันก่อนได้นี่ ให้เสี่ยวชิงย้ายไปอยู่กับเธอก่อนก็ได้ไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงผู้ชายก็มีแต่เรื่องอย่างนั้นแหละ ขอเพียงไม่มีลูก อยู่ด้วยกันมันจะเป็นอะไรไป ตอนนี้เขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
ป้าคนนี้เปิดกว้างจริงๆ ด้วย! หลินยวนเหงื่อซึมออกมา ถูกแม่เสือผู้นี้ทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย พบว่าเหมือนตัวเองจะทนไม่ไหว หากพูดถึงคนที่ทำให้เขารู้สึกกลัวได้ ป้าคนนี้คืออันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายในใจนึกเสียใจ รู้อย่างนี้ไม่มาเสียก็ดี ถ้ามีอะไรก็เรียกกวนเสี่ยวไป๋ออกไปคุยก็ได้
ไหนเลยจะรู้ว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้ เขาไหนเลยจะรู้ว่าเถาฮวาพอเอ่ยปากก็ไม่มีการอ้อมค้อมแม้แต่น้อย ชัดเจน ตรงไปตรงมา นี่มันบีบให้เขาต้องตอบรับชัดๆ!
เขานึกอยากจะถามจริงๆ ว่าผมเพิ่งกลับมาเยี่ยม คุณป้าก็ทำแบบนี้เลย มันเหมาะสมแล้วหรือครับ? นี่ไม่ได้มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
แต่เขาก็รู้ว่าไม่สามารถคุยเรื่องเหตุผลกับแม่เสือผู้นี้ได้
กวนเสี่ยวไป๋มึนงงไปหมดแล้ว ลืมตาโตอ้าปากค้าง พบว่าท่าทีของแม่ในวันนี้อยู่เหนือไปจากความคาดหมายของเขาไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาค้านได้เลย
กวนเสี่ยวชิงเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง กระทืบเท้าใต้โต๊ะอาหาร กล่าวว่า “แม่ ข้าวก็ยังอุดปากแม่เอาไว้ไม่อยู่จริงๆ พูดอะไรเหลวไหลน่ะ?”
เถาฮวาถลึงตาใส่เธอ “แกจะไปรู้อะไร? แม่พูดเหลวไหลที่ไหนกัน อยู่ด้วยกันมันจะได้ปรับตัวกันได้ จะไปกันรอดหรือเปล่าก็มีแต่ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะรู้ได้ อีกอย่าง ตอนนี้พวกแกก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันไม่ใช่เหรอ อยู่ด้วยกันจะได้ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันไง”
กวนเสี่ยวไป๋เข้าใจแล้ว ประโยคสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ
“เสี่ยวหลินจึ คนกันเองก็ไม่ต้องอ้อมค้อมล่ะนะ ฉันเห็นว่าเธอกับเสี่ยวชิงเหมาะสมกันดี เสี่ยวชิงอยู่กับเธอ ต่อให้ฉันไม่อยู่ก็ยังมีพี่ชายของเธออยู่ ฉันคิดว่าเธอเองก็คงเห็นแก่หน้าพี่ชายของเสี่ยวชิง คงจะไม่รังแกเสี่ยวชิงของเรา ฉันรู้สึกวางใจ! ครอบครัวเธอเองก็ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่จะมาช่วยตัดสินใจได้ ฉันเองก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเธอ ฉันช่วยเธอตัดสินใจให้แล้วกัน เรื่องนี้ ฉันว่าเอาตามนี้นี่แหละ”
“แค่กๆ…” หลินยวนไอแห้งๆ ออกมาเล็กน้อย หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำ ฉวยโอกาสนี้เหลือบมองไปทางกวนเสี่ยวไป๋
เขามองออกแล้วว่าเรื่องนี้หวังพึ่งกวนเสี่ยวไป๋ไม่ได้ เจ้านี่หยุดแม่ของตัวเองไม่ได้ เขาคงต้องลงมือเองเสียแล้ว
ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ารอคอยของเถาฮวา หลินยวนปั้นหน้าจริงจัง ถอนใจพลางกล่าวออกไปว่า “ขอบคุณคุณป้าที่รักใคร่ผม แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ครับ”
เถาฮวาทำหน้าคร่ำเคร่ง “รังเกียจว่าเสี่ยวชิงของเราไม่สวยเหรอ? เธอลองเบิ่งตาดูสิ ใบหน้าก็สวย ผิวพรรณก็ดี รูปร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอลองไปถามทั้งเขตเนินแถบนี้ดูสิ ยังมีลูกสาวบ้านไหนสวยกว่าเสี่ยวชิง เพียบพร้อมกว่าเสี่ยวชิงอีกไหม?” ท่าทีเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
หลินยวนไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอ จึงได้แต่ต้องใช้ไม้แข็ง รีบโบกมือพลางกล่าวว่า “คุณป้า ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับ เสี่ยวชิงสวย แล้วก็ดีมาก แต่ว่าคุณป้าครับ ผมมีคนรักอยู่แล้วครับ”
“….” เถาฮวาตกตะลึงไปทันที ตะเกียบวางลงไปบนโต๊ะเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนเล็กน้อยว่า “ใครเหรอ? ลูกสาวบ้านไหน ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าดีกว่าเสี่ยวชิงของเราตรงไหน? เสี่ยวหลินจึ พวกเราเป็นคนกันเอง ฉันก็จะพูดตรงๆ กับเธอแล้วกัน ผู้หญิงสมัยนี้เนี่ยนะ เธอต้องระวังตัวเอาไว้หน่อย จะหาดีๆ สักคนเนี่ยยาก เธออย่าไปถูกท่าทางออดอ้อนเย้ายวนพวกนั้นทำให้ตาบอด ชีวิตทั้งชีวิตของเรา จะทำเป็นล้อเล่นไม่ได้ พ่อแม่เธอไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวฉันช่วยเธอดูให้ก็แล้วกัน!”
หลินยวนบอกเธอด้วยท่าทางจริงจังว่า “เธอเป็นคนดีครับ พวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เกรงว่าคงเจอกันได้ลำบาก สถานการณ์ด้านนอกค่อนข้างวุ่นวาย ไปมาไม่สะดวก เธออยู่ที่เมืองหลวง พวกเรารู้จักกันที่เมืองหลวง เธอเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ที่เมืองหลวงครับ”
พอได้ยินว่าเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง เถาฮวาก็พูดไม่ออกไปทันที เทียบไม่ได้ ครอบครัวตัวเองไม่มีอะไรให้ไปเทียบเขาได้ แต่เธอก็ยังกล่าวพึมพำออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ลูกสาวของตระกูลใหญ่ที่เมืองหลวงมาชอบเธออย่างนั้นเหรอ? เสี่ยวหลินจึ เธอคงไม่ได้แต่งเรื่องหลอกฉันใช่ไหม?”
กวนเสี่ยวไป๋รีบกล่าว “แม่ แม่ดูถูกหลินจึเกินไปหรือเปล่า ตอนนี้หลินจึเป็นนักเรียนของหลิงซานนะ เป็นผู้บำเพ็ญเพียร! สถานะแบบนี้ ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจะไม่ชอบเขาได้ยังไง?”
ครั้งนี้เถาฮวาตะลึงไปทันที ทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ มองไปทางหลินยวนอย่างงุนงง “เธอเป็นนักเรียนของหลิงซานเหรอ?”
กวนเสี่ยวชิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน
หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว “ใช่ครับคุณป้า ครั้งนี้ผมพักการเรียนออกมาหาประสบการณ์ เป็นเพราะไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว ก็เลยเลือกเมืองปู๋เชวี่ยเป็นสถานที่หาประสบการณ์ ครั้งนี้ที่ผมเข้าไปทำงานที่ตระกูลฉินได้ ก็เป็นเพราะครอบครัวของคนรักผมเขาพูดกับทางตระกูลฉินให้ หลังหมดช่วงพักการเรียนแล้ว ผมก็ต้องกลับไปที่เมืองหลวง แต่คุณป้าวางใจได้ครับ ถ้าคนรักผมคนนั้นเขามาที่เมืองปู๋เชวี่ย ผมจะต้องพาเขามาให้คุณป้าช่วยดูแน่นอนครับ”
ครั้งนี้เถาฮวาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ที่แท้ที่เสี่ยวหลินจึเข้าไปเป็นพนักงานระดับสูงในตระกูลฉินได้ก็เป็นเพราะครอบครัวใหญ่ครอบครัวนั้นจัดการให้ มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังอยู่แบบนี้ ถ้าไปทำให้เขาโมโหขึ้นมาจริง ตัวเองยังจะมีโอกาสได้ช่วยดูอีกหรือ? เกรงว่างานของลูกสาวตัวเองในตระกูลฉินคงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เธอพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา นักเรียนของหลิงซานอย่างนั้นเหรอ? คุณสมบัติของหลินยวนดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้เสียอีก!
บนใบหน้าเองก็มีความรู้สึกอับอายปรากฏขึ้นมาหลายส่วน ถึงภายนอกเธอจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างไร แต่ภายในใจเธอก็รู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร เธอบากหน้าพูดให้ลูกสาว ด้วยเพียงหวังว่าลูกสาวจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่กำแพงนี้พอชนเข้าไปแล้ว ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่ขายหน้า แต่พลอยทำให้ลูกสาวขายหน้าไปด้วย
เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ ฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “เสี่ยวหลินจึ กิน กับข้าวเย็นหมดแล้ว ไม่คุยแล้ว กิน”
กวนเสี่ยวชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็ก้มหน้าลงไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
กวนเสี่ยวไป๋มองดูปฏิกิริยาของแม่เล็กน้อย รู้ว่าชั่วชีวิตนี้แม่ดื้อรั้นที่จะปกป้องครอบครัวเอาไว้เบื้องหลัง ทะเลาะกับผู้หญิงข้างนอก ทะเลาะกับผู้ชายข้างนอก ทะเลาะกับคนที่อยู่รอบข้าง แต่ไหนแต่ไรมาไม่ยอมอ่อนข้อให้ ถึงแพ้ปากก็ไม่ยอมรับ เพื่อให้คนข้างนอกรู้ว่าบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ แต่ครั้งนี้เธอกลับหงอยจนไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์โกรธออกมาแม้แต่นิดเดียว เหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าของเขาเองก็พลอยดูเศร้าสร้อยไปด้วยเช่นกัน
เขาเทเหล้าให้หลินยวนอย่างเงียบๆ
หลินยวนเองก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน แม้นแม่เสือผู้นี้จะปากร้าย แต่เมื่อก่อนเธอก็ดูแลเขากับสวี่สยงเหมือนลูกชายจริงๆ บางทีที่เธอทำเช่นนั้นอาจเป็นเพราะเห็นว่าครอบครัวตัวเองไม่มีฐานะอะไร กลัวลูกชายอยู่ข้างนอกคนเดียวแล้วจะถูกคนรังแก เลยอยากให้ลูกชายมีเพื่อนสองคนคอยช่วยเหลือ แต่เธอก็ดีกับเขาและสวี่สยงอย่างจริงใจจริงๆ
ตอนเด็กๆ กวนเสี่ยวไป๋มีเพื่อนเล่นอยู่ไม่น้อย แต่แม่เสือกลับแสดงท่าทีรังเกียจต่อเด็กคนอื่นๆ พูดอีกอย่างก็คือไล่คนอื่นออกไปหมด เหลือเพียงแค่เด็กกำพร้าสองคนอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับลูกชาย อีกทั้งยังดูแลเป็นอย่างดี ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่เสือคิดอะไรอยู่
ในแง่หนึ่งแล้ว ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของเขากับสวี่สยง
เขาเองก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย นึกสงสัยว่าตัวเองพูดแรงเกินไปหรือเปล่า ใช้ไม้แข็งที่เอาไว้รับมือกับคนข้างนอกมารับมือเธอคล้ายจะไม่ค่อยสมควรเท่าไร คนเขาอุตส่าห์ฝากฝังลูกสาวเอาไว้ ตัวเองยอมอ่อนข้อให้หน่อยไม่ได้หรือ?
เดิมทีควรจะเป็นมื้ออาหารที่มีความสุข แต่บรรยากาศกลับแปรเปลี่ยนเป็นแย่ลง
……………………………………..