ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 20 อย่าถาม
ตอนที่ 20 อย่าถาม
ร้านรับซื้อของเก่าอยู่ริมถนนที่อยู่ด้านล่างสุด เป็นปากถ้ำที่ถูกขุดจนเปิดกว้างแห่งหนึ่ง ป้ายร้านที่แขวนอยู่ด้านบนดูสะดุดตา เขียนเอาไว้ว่า ‘รับซื้อของเก่าตระกูลกวน’
แต่ถึงจะไม่ดูป้ายร้านก็พอจะมองออกว่าที่นี่คือสถานที่อะไร ตรงปากทางเข้ามีของเก่าผุพังเสียหายวางกองอยู่เต็มไปหมด
เด็กหนุ่มสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อเห็นกวนเสี่ยวไป๋เดินมาจึงรีบลุกขึ้นกล่าวทักทาย “พี่กวน”
กวนเสี่ยวไป๋โบกมือเล็กน้อยเพื่อบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ก่อนจะพาหลินยวนเดินเข้าไปด้านใน หลังเข้าไปแล้วก็กล่าวอธิบายเล็กน้อยว่า “เจ้าสองคนนั้นเป็นคนที่ฉันจ้างมาช่วยเฝ้าโกดังให้ฉันตอนกลางคืน ตอนกลางคืนฉันเองก็นอนที่นี่ เมื่อหลายปีก่อนมักจะมีพวกร้านรับซื้อของเก่าเหมือนกันมาคอยหาเรื่อง มาทำลายเข้าของหรือไม่ก็ขโมยของไป จนถึงกับต้องทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง”
“ภายหลังเสี่ยวชิงเข้าไปทำงานในตระกูลฉิน เพื่อจะให้พนักงานได้ทำงานอย่างสบายใจแล้ว ตระกูลฉินได้มีแผนกหนึ่งที่เอาไว้คอยช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพนักงานโดยเฉพาะ ขอเพียงมีเหตุผลที่เหมาะสม พวกเขาก็ล้วนแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้
หลังเจอปัญหานั้นเสี่ยวชิงก็ไปขอให้คนของตระกูลฉินช่วยออกหน้าช่วยเหลือ ตระกูลฉินไปพูดคุยกับคนของผู้พิทักษ์เมือง ไอคนที่มาหาเรื่องฉันเลยถูกผู้พิทักษ์เมืองจัดการไปยกหนึ่ง หลังถูกตักเตือนไป พวกนั้นก็ไม่กล้ามาหาเรื่องฉันอีก ที่เสี่ยวชิงมันแก้ตัวก่อนหน้านี้มันก็มีส่วนจริงอยู่ ถ้าพูดถึงเรื่องที่เธอเข้าไปทำงานในตระกูลฉินแล้ว จะมากจะน้อยฉันก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย”
หลินยวนเงียบไปเล็กน้อย เริ่มรู้สึกให้ความสำคัญกับเรื่องของเสี่ยวชิงมากขึ้นหลายส่วน เขากวาดตามองดูกองขยะที่อยู่รอบๆ เหล่านั้น กล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เพื่อขยะพวกนี้แล้ว พวกคู่แข่งถึงกับใช้วิธีสกปรกไม่เลือกเลยเหรอ?”
กวนเสี่ยวไป๋หัวเราะเหอะๆ “แค่ดูก็รู้แล้วว่าแกไม่รู้เรื่อง คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ?” กวนเสี่ยวไป๋เดินไปยังประตูเหล็กบานใหญ่บานหนึ่ง คว้าจับขอบประตูเอาไว้ ดันประตูเหล็กให้เปิดออก
โกดังที่มีขนาดใหญ่โตห้องหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ จำนวนนับไม่ถ้วนวางกองอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ยังมีรถอยู่จำนวนหนึ่งด้วย
กวนเสี่ยวไป๋ยื่นมือชี้กวาดออกไป กล่าวถามว่า “แกคิดว่าพวกเศษขยะที่อยู่ที่นี่มีค่าเท่าไร?”
หลินยวนมองดู จากนั้นส่ายศีรษะ เขาไม่มีประสบการณ์ ประเมินราคาออกมาไม่ได้
กวนเสี่ยวไป๋เดินไปด้านหนึ่ง หยิบเอาเครื่องโปรเจคเตอร์ที่สามารถฉายภาพด้วยความเร็วสูงขึ้นมาเครื่องหนึ่ง เดินถือมันมายังโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลางลานขยะ หยิบเอาเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นมา ไม่ทันไรก็แกะเครื่องโปรเจคเตอร์เครื่องนั้นออกจากกัน ก่อนจะแกะเอาหินวิญญาณพลังงานที่มีขนาดประมาณเล็บมือก้อนหนึ่งออกมาจากด้านใน โยนมันให้หลินยวนพลางกล่าวว่า “ลองดูสีของมันสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินยวนที่รับเอาหินมาไว้ในมือแล้วมองดูระดับความเข้มของสี เป็นสีม่วงอ่อน “น่าจะยังมีพลังงานอยู่อีกครึ่งหนึ่ง”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีปัญญาใช้ของใหม่ได้ คนที่ยอมประหยัดเงินนิดหน่อยมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด” กวนเสี่ยวไป๋โยนเครื่องมือ ชี้ไปรอบๆ “บางอย่างซ่อมๆ แล้วก็ยังใช้ได้ ของพวกนี้ถ้าเอามาจัดการนิดหน่อย ขายออกไปก็ล้วนแต่เป็นเงิน ฉันลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ถ้าขายออกไปจนหมดล่ะก็ มันก็จะได้ประมาณนี้” กล่าวพลางทำสัญลักษณ์มือเป็นเลข ‘แปด’ไปทางหลินยวน ยักคิ้วหลิ่วตาพลางกล่าวว่า “แปดล้าน!”
หลินยวนยิ้มขึ้นมา “ร้ายกาจ มิน่าพวกร้านรับซื้อของเก่าถึงจะเล่นงานแก มิน่าถึงให้เงินเดือนเสี่ยวชิงแปดพันได้”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “ใช่น่ะสิ ตอนแรกฉันเป็นแค่มือใหม่ จู่ๆ มาเข้าวงการนี้ ก็เท่ากับไปแย่งธุรกิจของพวกนั้น พวกนั้นย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีคนมาคอยขัดแข้งขัดขา ธุรกิจไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอเสี่ยวชิงเข้าไปทำงานที่ตระกูลฉินเมื่อไม่กี่ปีก่อน คนพวกนั้นก็ไม่กล้ามาหาเรื่องแล้ว ฉันถึงค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวจนใหญ่โตขนาดนี้ได้”
หลินยวนกล่าว “มีเงินแล้ว ไม่คิดจะย้ายบ้านออกไปจากถ้ำเหรอ?”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “คิดสิ บ้านต้นไม้ไม่เอา ฉันอยากได้บ้านเหมือนอย่างลุงเฉินอย่างนั้น นอนอยู่ในสวนบ้านตัวเองก็สามารถมองเห็นดวงดาวได้ แล้วก็ยังปลูกต้นไม้ดอกไม้ในบ้านตัวเองได้ด้วย”
หลินยวนเข้าใจความคิดของเขา เพราะว่าเขาอุดอู้อยู่ในถ้ำมาตั้งนานขนาดนั้น
แต่ใครจะไปรู้ว่ากวนเสี่ยวไป๋จะผายมือออก “แต่ก็แค่คิดๆ น่ะ ความจริงในมือฉันก็ไม่ได้มีเงินสดอะไร แล้วฉันเองก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวชิงจะทำงานในตระกูลฉินไปได้นานเท่าไร ฉันอยากอาศัยโอกาสที่มีอยู่ตอนนี้ ตุนของเอาไว้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เงินส่วนใหญ่ไปลงอยู่ที่ของหมดแล้ว ต่อให้เปลี่ยนเป็นเงินสดได้แล้ว ฉันก็ต้องเตรียมเงินสองล้านพร้อมดอกเบี้ยของสวี่สยงเอาไว้ เดี๋ยวพอเจอมันแล้วจะได้คืนให้มันได้”
หลินยวนยิ้มเล็กน้อย เดินเล่นกับเขาอยู่ในโกดัง กล่าวว่า “กลัวว่าสวี่สยงมันจะไม่เอาน่ะสิ”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “มันจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของมัน ฉันจะคืนหรือไม่คืนมันก็เรื่องของฉัน หลังคืนเงินหมดแล้ว…พ่อไม่อยู่แล้ว ในอนาคตถ้าเสี่ยวชิงจะแต่งงาน ฉันที่เป็นพี่ชายก็ต้องเตรียมเงินสำหรับเป็นทุนแต่งงานเอาไว้ให้เธอบ้างใช่ไหมล่ะ สรุปแล้วคือฉันต้องขยัน รีบทำให้แม่ได้ไปใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ในบ้านดีๆ ก่อนที่แม่จะเป็นอะไรไป”
หลินยวนเองก็ยกมือขึ้นมาตบไหล่เขา “ตอนพวกเรายังเป็นเด็ก แกคือคนที่มีความคิดมากที่สุดในบรรดาพวกเราสามคน”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “มันจำเป็นน่ะสิ ถ้าฉันเป็นเหมือนแกกับสวี่สยงที่กินอิ่มแล้วไม่ต้องเป็นห่วงว่าครอบครัวยังกินไม่อิ่ม ฉันก็คงไม่คิดอะไรเหมือนกัน เฮ้อ พวกแกสองคนเนี่ยนะ สวี่สยงไปแล้วก็ไม่ติดต่อฉันอีก แกเองไปแล้วก็ไม่ติดต่อฉันเหมือนกัน ฉันรู้สึกสงสัยจริงๆ ทางสวี่สยงน่ะฉันไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่แกอยู่ที่หลิงซานในเมืองหลวง ทำไมถึงไม่ติดต่อฉัน กลัวคนบ้านนอกอย่างฉันจะไปที่เมืองหลวงทำให้แกขายหน้าเหรอ”
หลินยวนนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร สุดท้ายกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “บางที ฉันกับสวี่สยงอาจจะมีความจำเป็นเหมือนกันก็ได้”
กวนเสี่ยวไป๋หยุดฝีเท้า มองดูเขาเงียบๆ
หลินยวนเห็นว่าเขาไม่ตามขึ้นมา จึงหมุนตัวกลับไปมอง ส่งยิ้มเล็กน้อยไปให้อีกฝ่าย
ในเวลานี้กวนเสี่ยวไป๋คล้ายเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อยู่บนตัวเขาได้อย่างแท้จริง คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจากความสุขุมเยือกเย็นของอีกฝ่าย สวี่สยงกล้าฆ่าคนทั้งครอบครัวอย่างเงียบๆ ในเมืองปู้เชวี่ย อาศัยความสามารถนี้ แสดงว่าเขาจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน และจากในคำพูดของคนผู้นี้ก็เหมือนจะกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่างกับเขาอยู่
จู่ๆ เขาพลันเปิดประตูรถที่อยู่ด้านข้าง เข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถขึ้นมาแล้วขับออกไป
ขณะที่หลินยวนกำลังรู้สึกไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร จู่ๆ รถพลันเลี้ยวกลับมาจอดอยู่ข้างๆ เขา
กวนเสี่ยวไป๋ลงจากรถแล้วปิดประตูรถ หมุนตัวไปหมอบอยู่บนตัวรถ กล่าวถามว่า “เจ้าลาน้อยคันนั้นดูคุ้นตา ของลุงเฉินใช่หรือเปล่า?”
หลินยวนกล่าว “ยืมมาใช้ชั่วคราวน่ะ”
กวนเสี่ยวไป๋เหวี่ยงมือโยนอะไรบางอย่างมา
หลินยวนรับเอาไว้ พบว่าเป็นกุญแจรถ สายตาจ้องมองไปยังรถคันนั้น
กวนเสี่ยวไป๋ตบรถ “ขยะที่ซื้อมา เดิมทีน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่เลว แล้วก็ยังมีข่ายพลังป้องกันระเบิดด้วย สามารถป้องกันการโจมตีได้ระดับหนึ่ง หลังซ่อมเสร็จแล้วทำสีใหม่ มันก็ยังพอดูได้อยู่ แล้วก็ยังใช้ได้ด้วย เพียงแต่ข่ายพลังป้องกันระเบิดเสียไปแล้ว ฉันเองก็ไม่มีปัญหาซ่อมมัน แต่ว่าถ้าเอาไปใช้ขับในเมืองก็ไม่มีปัญหาอะไร ลุงเฉินนั่นขี้เหนียวจะตาย แกเอาแต่ใช้ของของเขา เขาจะต้องบ่นโน่นบ่นนี่แน่ รถคันนี้แกเอาไปใช้เถอะ”
หลินยวนเหวี่ยงมือโยนกุญแจกลับมา “ไม่ต้อง แกเก็บไว้ใช้เถอะ”
กวนเสี่ยวไป๋ชี้ไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่อีกด้าน “ฉันมีแล้ว ฉันเองก็รู้ว่าแกอาจจะมองของผุๆ พังๆ แบบนี้ไม่ขึ้น แต่เอาไปใช้ก่อน ไว้แกเปลี่ยนคันใหม่แล้วค่อยเอามาคืนฉัน”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงอาศัยอยู่กับลุงเฉินขี้เหนียวผู้นั้น เกรงว่าการเงินของอีกฝ่ายก็คงจะไม่คล่องเช่นกัน เขาจึงมีใจอยากช่วยเหลือเพื่อน
“เสี่ยวไป๋” หลินยวนห้ามเขาไม่ให้โยนกุญแจมาอีก “ครั้งนี้ที่ฉันมา ความจริงฉันอยากจะบอกแกว่า ต่อไปพวกเราอย่าติดต่อกันอีกเลย”
“….” กวนเสี่ยวไป๋นิ่งเงียบไปทันที มองดูเขาอย่างงุนงง ในดวงตาค่อยๆ มีความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเอ่อล้นออกมา สุดท้ายกล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “แกหมายความว่าไง? รังเกียจที่ฉันรับซื้อของเก่า ดูถูกฉันเหรอ?”
หลินยวนส่ายศีรษะ “แกคิดมากไปแล้ว ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อแก เพื่อครอบครัวของแก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฉันไม่ยอมติดต่อแกหลังออกไปจากเมือง ครั้งนี้ฉันกลับมา เดิมทีฉันเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดบางอย่าง ตอนนี้ดูเหมือนฉันจะไม่ตายแล้ว ชีวิตคนเรานี่มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจริงๆ”
ความโกรธของกวนเสี่ยวไป๋สลายไป ก่อนจะคิดถึงคำพูดที่กล่าวไว้เป็นนัยก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย กล่าวถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินยวนกล่าว “เสี่ยวไป๋ อย่าถาม ถามไปฉันก็ไม่มีทางพูด” ขณะกล่าวก็ยกมือขึ้นมา เผยให้เห็นหินผลึกพลังงานที่แกะออกมาก่อนหน้านี้เม็ดนั้น สองนิ้วออกแรงบีบ หินผลึกส่งเสียงดัง ‘แคร่ก’หักออกเป็นสองท่อน
มุมปากกวนเสี่ยวไป๋กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจว่ามิเสียทีที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร หินผลึกที่แข็งขนาดนี้กลับบีบให้แตกได้สบายๆ
หลินยวนเหวี่ยงมือโยนหินผลึกครึ่งหนึ่งมา
กวนเสี่ยวไป๋คว้าเอาไว้ จากนั้นกางฝ่ามือมองดู ก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
หลินยวนกล่าว “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ครอบครัวแกพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า ถือเสียว่าเผื่อไว้ก็แล้วกัน เก็บมันเอาไว้ให้ดี ถ้าวันหนึ่งมีคนเอาหินผลึกอีกครึ่งหนึ่งมาหาแก ไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เชื่อฉัน ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรทั้งสิ้น ให้แกรีบตามเขาไป จะมีคนพาครอบครัวแกไปอยู่ในที่ปลอดภัย ตอนนี้ฉันพูดอะไรไม่ได้ บางทีต่อไปแกอาจจะได้รู้คำตอบก็เป็นได้”
สีหน้าของกวนเสี่ยวไป๋ดูสับสน เขากำหินผลึกอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงพลางกล่าวว่า “เรื่องของเสี่ยวชิง ถ้ามันลำบากจริงๆ แกก็ไม่ต้องสนใจ จะได้ไม่สร้างปัญหาให้แก เรื่องในบ้านเดี๋ยวฉันจัดการเอง แกไม่ต้องเป็นห่วง”
หลินยวนกล่าว “ไม่เป็นไร จะมีหรือไม่มีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ต่างกัน สิ่งสำคัญคือเรื่องที่ฉันคุยกับแกวันนี้ แกอย่าให้คุณป้ากับเสี่ยวชิงรู้ก็แล้วกัน”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “เข้าใจแล้ว วางใจได้ ฉันไม่มีทางทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรอก”
หลินยวนยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวไป๋ ฉันไปล่ะ” ผมม้าที่มัดอยู่ด้านหลังสะบัดตามร่างกายที่หมุนไป มือทั้งสองข้างเสียบเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เก็บหินผลึกอีกครึ่งหนึ่งเอาไว้พลางเดินออกไป เหลือไว้เพียงแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างมั่นคงและไม่เร่งร้อน
กวนเสี่ยวไป๋ที่มองส่งด้วยสายตาพลันตะโกนขึ้นมา “รถของแกยังอยู่ข้างบน ยังไงก็ต้องเดินขึ้นไปอยู่ดี กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปสิ แม่กับน้องจะได้ไม่คิดมาก”
หลินยวนหยุดฝีเท้า ก่อนจะหมุนตัวมามองเขาอีกครั้ง ส่งยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ “ได้!คิดถึงฝีมือทำอาหารของคุณป้าอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กินมานานแล้ว”
กระทั่งกวนเสี่ยวไป๋เดินเข้ามา ทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันออกไปเหมือนอย่างเมื่อในอดีต ประตูโกดังปิดลงดังปัง…..
……….
กระทั่งพวกเขากลับมา อาหารภายในบ้านก็เกือบจะเสร็จเรียบร้อย
เถาฮวาที่กำลังจัดวางจานเรียกหลินยวนให้มานั่งทันที หลินยวนเองก็เชิญเธอนั่งเช่นกัน
กวนเสี่ยวชิงที่ยกอาหารอย่างสุดท้ายมาวางบนโต๊ะยิ้มแย้มมีความสุข คล้ายอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่ากำลังถูกกวนเสี่ยวไป๋จ้องมองอยู่
กระทั่งอาหารจัดวางเสร็จเรียบร้อย กวนเสี่ยวไป๋ก็ลงมือทันที จู่ๆ เขาพลันลุกขึ้นไปดึงผมของกวนเสี่ยวชิงเอาไว้
“พี่ ทำอะไรของพี่เนี่ย? ฉันเจ็บนะ” กวนเสี่ยวชิงส่งเสียงร้อง
กวนเสี่ยวไป๋ดึงเธอไปอีกด้าน “อายุแค่นี้หัดทำตัวเหลวไหล ใครใช้ให้เธอไปเที่ยวโปรยเสน่ห์แบบนั้น!” พลางหยิบไม้กวาดที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาเตรียมฟาดเธอ
เถาฮวาวิ่งมาดึงแขนของลูกชายเอาไว้ “แกเป็นบ้าอะไรของแก?”
หลินยวนเอียงศีรษะยิ้มมองดู คล้ายกำลังดูเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้ที่ห้ามเอาไว้มันก็ส่วนห้าม แต่ความจริงเขาเองก็คิดว่าเด็กสาวอย่างเสี่ยวชิงควรจะถูกสั่งสอนเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นวันหน้าหากไปเจอกับคนไม่ดีเข้า คนที่โชคร้ายจะเป็นเธอ
“แม่ แม่อย่ามาห้าม แม่รู้หรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้เธอไปทำงามหน้าอะไรเอาไว้? เที่ยวโปรยเสน่ห์ อ่อยผู้ชายไปทั่ว หน้าของตระกูลกวนไม่รู้จะเอาไปไว้ไหนแล้ว…” กวนเสี่ยวไป๋บอกเล่าคำพูดที่ได้ยินมาจากหลินยวน
เถาฮวางุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นยกมือขึ้นตี แต่คนที่ตีกลับไม่ใช่ลูกสาว หากแต่เป็นลูกชาย
กวนเสี่ยวไป๋ย่อมไม่กล้าตอบโต้ ถูกตีจนเอามือกุมหัวเดินหนีไปอีกด้านหนึ่ง ภายในบ้านดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เถาฮวายืนสองมือเท้าเอว ตะโกนไปทางกวนเสี่ยวไป๋อย่างโกรธเกรี้ยว “ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้? เพื่อนร่วมงานกินข้าวด้วยกัน มันจะกลายเป็นโปรยเสน่ห์เที่ยวอ่อยผู้ชายไปทั่วได้ยังไง? มีพี่ชายที่ไหนพูดกับน้องสาวแบบนี้บ้าง? ฉันเป็นคนสอนน้องแกเองว่าถ้าเจอผู้ชายดีๆ ถ้าเจอผู้ชายที่เหมาะสมในตระกูลฉิน ก็ให้เป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อน ทำไม ฉันสอนผิดหรือไง หรือแกจะตีฉันไปด้วย?”
……………………………………………………….