ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 183 เศษเดนจากราชวงศ์ก่อนที่แท้จริง
ตอนที่ 183 เศษเดนจากราชวงศ์ก่อนที่แท้จริง
อย่างนี้นี่เอง! หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อย “จากที่ฉันรู้มา หลังแกเข้าไปอยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพได้ไม่นาน หลงซืออวี่ก็ถูกจับไปขังไว้ในนรกเพราะไปหยามเกียรติของจักรพรรดิเทียนอู่เข้า ร่างเซียนดับสลาย ดวงจิตแตกซ่าน ทั้งๆ ที่ไม่มีหลงซืออวี่คอยคุ้มครองแล้ว แต่คนอย่างแกกลับยังอยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพมาได้นานขนาดนั้น นี่นับว่าไม่ง่ายเลย”
หลัวคังอันถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “หยามเกียรติจักรพรรดิเทียนอู่ที่ไหนกันล่ะ…”
หลินยวนประหลาดใจ “หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น?”
หลัวคังอันเผยสีหน้าเหม่อลอยคล้ายครุ่นคิดถึงความหลัง “หลังฉันเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงได้ไม่นาน จู่ๆ วันหนึ่งอาจารย์ก็ใช้พลังมาเข้าฝันฉัน บอกว่าท่านเจอปัญหานิดหน่อย เตือนฉันว่าต่อไปอย่าไปพูดกับใครว่าฉันเป็นลูกศิษย์ของท่าน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการชักนำปัญหามาให้ตัวเองได้ แล้วก็บอกฉันว่าไม่ต้องไปหาท่านอีก”
“ฉันถามอาจารย์ว่าเจอปัญหาอะไรกันแน่ ตอนแรกอาจารย์ไม่ยอมบอก แต่ฉันเซ้าซี้ท่านไม่เลิก ท่านกลัวว่าฉันจะไปหา ถึงได้ยอมบอกความจริงกับฉัน ท่านถูกพระชายาเนี่ยหง หรือก็คือภรรยาของจักรพรรดิเทียนอู่ใส่ร้าย”
หลินยวนตกใจ “พระชายาเนี่ยหง? ทำไมเธอถึงต้องใส่ร้ายหลงซืออวี่ด้วย?”
หลัวคังอันกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ความจริงแล้วเนี่ยหงเป็นผู้หญิงของอาจารย์ อาจารย์ใกล้ชิดกับเธอเพราะความงามของเธอ แต่เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่งดงามของเธอ เนี่ยหงเลยเป็นคนเอาแต่ใจไม่ยอมฟังใคร ไม่สามารถควบคุมนิสัยของตัวเองได้ คิดว่าผู้ชายควรจะต้องตามใจเธอถึงจะถูก นานวันเข้าอาจารย์รับนิสัยของเธอไม่ไหว เลยทิ้งเธอไป ทำให้เนี่ยหงโกรธแค้นอาจารย์”
“ต่อมาไม่รู้ว่าเนี่ยหงไปอยู่กับจักรพรรดิเทียนอู่ได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นพระชายาของจักรพรรดิเทียนอู่ ด้วยนิสัยของเธอ อาจารย์จึงรู้ว่าตนเองอาจจะมีปัญหา ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่านี่คือเหตุผลที่อาจารย์ไม่อยากให้ฉันไปเที่ยวคุยโวว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน เพราะกลัวว่าฉันจะถูกเนี่ยหงทำร้าย”
“ผ่านไปหลายปี สุดท้ายสิ่งที่ควรมามันก็มา สุดท้ายเรื่องที่อาจารย์กังวลใจมันก็เกิดขึ้น เนี่ยหงเดินทางมาเยือนหลิงซาน ก่อนจะแอบมาเจออาจารย์อย่างลับๆ พูดจาค่อนแคะเสียดสีอาจารย์ อาจารย์ไม่อยากสนใจเธอ จึงหมุนตัวเดินออกไป แต่ใครจะไปรู้ว่าการกระทำของอาจารย์ได้ทำให้เนี่ยหงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เธอจึงดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองแล้วตะโกนให้คนมาช่วย…”
บ้าน่า! ภายในใจหลินยวนพลันตื่นตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงระดับเนี่ยหงจะกล้าใช้วิธีแบบนี้
“ตอนนั้นอาจารย์เองก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เธอทำ จะหนีออกไปก็ไม่ได้ จะไม่หนีก็ไม่ได้ ถ้าหนีออกไปแล้วถูกคนเห็นเข้า แบบนั้นจะยิ่งทำให้อธิบายได้ลำบาก ดังนั้นตอนที่บริวารติดตามของเนี่ยหงเข้ามาในห้อง พวกเขาจึงเห็นสภาพของเนี่ยหงที่เสื้อผ้าบนร่างกายถูกดึงทึ้ง นี่จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”
“ใครจะไปเชื่อได้ล่ะว่าคนระดับพระชายาจะดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองและทำลายเกียรติของตัวเองเพื่อใส่ร้ายอาจารย์ได้? พูดไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของเธอยังมีจักรพรรดิเทียนอู่อีก หรือจะเที่ยวไปบอกว่าพระชายาของจักรพรรดิเทียนอู่ทำเรื่องแบบนี้เพื่อใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น? แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าคนนอกจะเชื่อใคร อาจารย์ยากจะแก้ตัวได้จริงๆ! ภรรยาได้รับความอัปยศ จักรพรรดิเทียนอู่จึงทรงพิโรธอย่างมาก มาหาฝ่าบาทที่วังเซียนด้วยตัวเองเพื่อขอคำอธิบาย!”
“จักรพรรดิเทียนอู่ทรงปกครองดินแดนปีศาจ มีปีศาจอยู่ในบัญชาการ หากทำให้พระองค์ทรงพิโรธ ถ้าเกิดพวกปีศาจมันแห่กันออกมาอาละวาด ดินแดนต่างๆ จะต้องเกิดความวุ่นวายแน่ จักรพรรดิเทียนอู่ที่กำลังโกรธเกรี้ยวต้องการคำอธิบาย คำแก้ตัวของอาจารย์ยังมีประโยชน์อีกเหรอ? จุดจบของอาจารย์จะเป็นยังไง เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว”
“พวกเขาเพียงแค่บอกต่อโลกภายนอกว่าอาจารย์หยามเกียรติจักรพรรดิเทียนอู่ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พระชายาได้รับความอัปยศเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของจักรพรรดิและพระชายา เลยไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกไป”
“หลังตื่นขึ้นมาจากความฝัน พอฉันไปสืบดูถึงได้รู้ว่าตอนที่อาจารย์มาเข้าฝันฉัน ตัวอาจารย์ได้ถูกขังอยู่ในคุกแล้ว ท่านรู้ว่าตัวเองยากจะรอดพ้นจากหายนะได้ จึงมาสั่งเสียฉันเป็นครั้งสุดท้าย!”
“ทางสภาเซียนลงโทษอาจารย์อย่างรวดเร็ว จับอาจารย์ไปขังไว้ในนรก ต้องการให้ร่างเซียนของอาจารย์ดับสูญ กระทั่งโอกาสในการกลับมาเกิดใหม่ก็ยังไม่มีให้อาจารย์ ส่วนฉันที่เป็นลูกศิษย์ของเขากลับไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าก้าวออกมาช่วยอาจารย์พูดอะไร ไม่กล้าแก้ต่างให้อาจารย์ ไม่กล้าแม้กระทั่งยอมรับว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของเขา ทำได้เพียงมองเขาตายไปอย่างอยุติธรรมโดยไม่ทำอะไร ฉันอยากช่วย แต่ฉันไม่มีความสามารถจะไปทำอะไรจริงๆ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวคังอันก็หลังน้ำตานองหน้า พิงกำแพงค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงไป ซุกหน้าลงไปกับหัวเข่าพลางร่ำไห้เสียงดัง เสียงพูดเปลี่ยนไปเป็นเสียงสะอื้น คำพูดช่วงหลังฟังไม่ชัดแล้วว่าเขาพูดอะไร
หลินยวนจ้องมองดูเขา นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่ค่อยมั่นใจว่านิสัยที่ชอบออกไปเที่ยวสำมะเลเทเมานั้นเป็นนิสัยที่แท้จริงของเขา หรือว่าเขากำลังทำเพื่อให้ตัวเองลืมความเจ็บปวดกันแน่ บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
เมื่อเห็นเลือดที่อยู่บนบาดแผลของเขาไหลออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ หลินยวนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร ผู้ชายที่หลบมาร้องไห้เพราะหวาดกลัวนั้นไม่มีประโยชน์ ถ้ายังปล่อยให้เลือดไหลต่อไป อาการบาดเจ็บของแกจะยากฟื้นตัวขึ้นมาได้ในเวลาสามวัน สงบอารมณ์แล้วกลับไปเถอะ”
ครั้งนี้ เขาหมุนตัวแล้วเดินออกไปก่อน
ในตอนที่เดินออกมาจากลานบำเพ็ญเพียรมันก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี เขาตรงกลับไปยังโรงอีหลิว
ตอนนี้ทั้งสองคนจะไปทำงานตามปกติ แต่จะมาเจอกันที่นี่ทุกๆ สามวันช่วงก่อนจะเลิกงาน พอบาดเจ็บแล้วจะได้กลับไปรักษาบาดแผลต่อที่บ้านได้ ไม่อย่างนั้นถ้าให้หลัวคังอันกลับมาทำงานในสภาพนั้นมันก็คงจะดูไม่ดีสักเท่าไร
แต่แน่นอน สถานะของหลัวคังอันในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เขามีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ หลายๆ เรื่องอย่างมากก็แค่แจ้งกับทางหอการค้าเอาไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่โต๊ะตลอดเวลา หลินยวนที่เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายเขาก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย
เมื่อกลับมาถึงโรงอีหลิวและได้เห็นสายตาของลู่หงเยียนที่เข้ามาต้อนรับ หลินยวนก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง จึงทักทายจางเลี่ยเฉินที่อยู่ในสวนเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็กลับเข้าห้องไป
ลู่หงเยียนที่ปิดประตูลงรีบเดินไปตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ติดต่อหม่อมฉันมา มีเรื่องฝากหม่อมฉันมาแจ้งพระองค์เพคะ”
หลินยวนกล่าว “เรื่องอะไร?”
ลู่หงเยียนกล่าว “เถ้าแก่เหมยติดต่อเขามา มีคนต้องการเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน เสนอค่าจ้างหนึ่งหมื่นล้านมุก แล้วก็ยังจะให้ข้อมูลของทางเมืองปู๋เชวี่ยที่เกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลฉินเพื่ออำนวยความสะดวกด้วยเพคะ เป้าหมายคือทำลายการสร้างข่ายพลังเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินให้สิ้นซาก รวมไปถึงสถานที่ที่เว่ยผิงกงรักษาการณ์อยู่ด้วยเพคะ ดูเหมือนพวกนั้นจะต้องการขุดรากถอนโคน หากโจมตีขึ้นมา สถานการณ์คงจะต้องรุนแรงอย่างมากทีเดียวเพคะ”
หลินยวนกล่าว “ผู้ว่าจ้างเป็นใคร?”
ลู่หงเยียนว่า “ไม่ทราบเพคะ พี่ใหญ่เองก็ถามทางเถ้าแก่เหมยไป แต่ทางนั้นก็บอกไม่ทราบเช่นกัน บอกว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายติดต่อมา น่าจะไม่มีทางเปิดเผยตัวตนง่ายๆ แต่เมื่อดูจากผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็พอจะมองออกเพคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพวกหอการค้าที่มีผลประโยชน์เกี่ยวเทพมหาวิญญาณนั่นแหละเพคะ พี่ใหญ่ถามว่าจะรับหรือไม่เพคะ?”
หลินยวนถามกลับ “เธอคิดว่ารับได้ไหมล่ะ?”
ลู่หงเยียนยิ้มขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมรับไม่ได้ แม้เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลจะมีการปรับปรุงข่ายพลังให้ดีขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดแล้วมันยังต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่อาจเป็นเพราะผลประโยชน์ก้อนเล็กแล้วเสียผลประโยชน์ก้อนใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านนี้ยังเตรียมการที่จะแทรกซึมเข้าไปภายในหอการค้าตระกูลฉินแล้วด้วย ผู้อาวุโสรุ่นก่อนเองก็ต้องการให้ทำเช่นนี้เหมือนกัน “อย่างนั้นหม่อมฉันจะบอกทางพี่ใหญ่ว่าไม่รับเพคะ”
หลินยวนกล่าว “ฉันยังสงสัยว่าการโจมตีเมืองหลวงครั้งนั้นมันมีปัญหาอยู่ บอกเขาว่าถ้ายังหาตัวหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ ก็อย่าได้ติดต่อกับคนระดับล่างง่ายๆ อีก ห้ามให้ใครรู้ถึงตัวตนของเขาเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่เหมย สรุปแล้วคือให้เขาเก็บตัวต่อไป ส่วนทางเถ้าแก่เหมย ไม่ต้องบอกว่ารับ แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าไม่รับ ไม่ต้องตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น”
ลู่หงเยียนพยักหน้า “เพคะ”
หลินยวนค่อยๆ เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง เอ่ยเนิบๆ ออกมาว่า “ไม้ใหญ่ต้านลม ปัญหาความยุ่งยากของหอการค้าตระกูลฉินมาแล้ว”
ลู่หงเยียนจ้องมองเขา “หมายความว่ายังไงเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ที่พวกเราไม่ลงมือเป็นเพราะพวกเรามีแผนการของพวกเราอยู่ แต่ถ้ามีผลประโยชน์และการอำนวยความสะดวกให้แบบนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ลงมือ”
ลู่หงเยียนเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจเขาออกมาเบาๆ “ถ้าคนอื่นลงมือจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าหอการค้าตระกูลฉินคงยากจะต้านได้ ตัวฉินอี๋เองก็เกรงว่าคงจะมีอันตรายไปด้วย แต่ปัญหาตอนนี้คือพระองค์สงสัยว่าจะมีหนอนบ่อนไส้ คนของพวกเราเองก็ไม่กล้าเรียกใช้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสู้กันในเมืองปู๋เชวี่ยขึ้นมา เกรงว่าคงจะทำให้ข้อมูลบางอย่างเปิดเผยออกไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วก็ถ้าเป็นคนอื่นมาลงมือล่ะก็ ถ้าสู้กันขึ้นมา เกรงว่าคงจะกลายเป็นการฆ่ากันเอง”
หลินยวนว่า “เดิมทีก็ไม่ใช่พวกเดียวกันอยู่แล้ว ไม่นับเป็นการฆ่าพวกเดียวกันอะไร ความเป็นความตายของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา”
ลู่หงเยียนยิ้มเจื่อน “ต่างก็เป็นกลุ่มที่ต่อต้านสภาเซียนเหมือนกัน ต่างก็เป็นกลุ่มคนที่สภาเซียนเรียกว่าเศษเดนจากราชวงศ์ก่อน ถ้าฆ่ากันเองขึ้นมา สิ่งที่สูญเสียไปก็คือพลังในการต่อต้านสภาเซียนนะเพคะ”
หลินยวนหันหน้ามาจ้องมองเธอ กล่าวว่า “รู้หรือเปล่าว่าทำไมตอนแรกฉันถึงบอกให้พวกเธอคอยระวังเถ้าแก่เหมยไว้ ไม่ให้พวกเธอไปเปิดเผยตัวตนใดๆ กับทางนั้น?”
ลู่หงเยียนมึนงง “เพราะอะไรเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ผู้อาวุโสรุ่นก่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสิบสองกลุ่มนั้นโผล่มาจากไหน แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงอ้างตัวว่าเป็นเศษเดนจากราชวงศ์ก่อน”
ลู่หงเยียนประหลาดใจ “หมายความว่ายังไงเพคะ?”
หลินยวนกล่าวออกมาช้าๆ ชัดๆ “พวกเราต่างหากที่เป็นเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนที่แท้จริง!”
ลู่หงเยียนตกใจเป็นอย่างมาก “ความหมายของพระองค์คือทั้งสิบสองกลุ่มนั้นล้วนแต่ปลอมตัวเข้ามาหรือเพคะ? เป็นไปไม่ได้หรือเปล่าเพคะ! ในการต่อสู้กับสภาเซียนหลายๆ ครั้ง พวกเขาก็เข้าไปสู้จริงๆ โดยเฉพาะศึกในเมืองหลวงนั้น มีหลายคนถึงกับต้องเสียชีวิตไป จะมีคนที่เอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นเยอะขนาดนี้ได้ยังไงกันเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่ ผู้อาวุโสรุ่นก่อนเองก็สงสัยเป็นอย่างมาก ราชวงศ์ก่อนอาจจะยังมีคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่คิดอยากจะต่อต้านราชวงศ์ปัจจุบันก็เป็นได้ แต่กองกำลังหลักของราชวงศ์ก่อนที่แพ้ศึกจนต้องถอยหนีที่แท้จริงก็คือพวกผู้อาวุโสรุ่นก่อน ผู้อาวุโสรุ่นก่อนหลบซ่อนตัว ไม่เปิดเผยร่องรอยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าภายหลังจะมีกลุ่มคนสิบสองกลุ่มทยอยปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่มีการสนับสนุนจากเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่เป็นกองกำลังหลักเหล่านั้น อาศัยเพียงคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่กลับสามารถสร้างอิทธิพลขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก”
“ที่ฉันเข้าใกล้พวกเขาก็เพราะอยากจะดูว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แต่ก็คอยระมัดระวังพวกเขามาโดยตลอด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันบอกให้พวกเธอปิดบังตัวตนเอาไว้ให้มิดชิด หลังพ่ายแพ้ในศึกเมืองหลวง ฉันก็ยิ่งรู้สึกสงสัยคนเหล่านี้”
ลู่หงเยียนกล่าว “อย่างนั้นเรื่องที่พวกเขาเข้าไปเสี่ยงจนเสียชีวิตไปนี่จะอธิบายยังไงเพคะ?”
หลินยวนว่า “ไม่รู้ สรุปแล้วคือไม่ใช่พวกเดียวกัน ในช่วงเวลานี้เธอต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี”
ลู่หงเยียนพยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่เธอยังคงเป็นห่วง “แล้วเรื่องหอการค้าตระกูลฉินนี่จะจัดการยังไงดีเพคะ? อาศัยเพียงกำลังของเมืองปู๋เชวี่ย ต่อให้มีคนของเว่ยผิงกงด้วย เกรงว่าคงจะต้านไม่อยู่แน่ หรือว่าพวกเราจะไปแจ้งกับทางสภาเซียนเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ถึงแม้จะไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่ในตอนที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็นต้องไปทำร้ายพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นการไปแจ้งกับทางสภาเซียนมันดูโจ่งแจ้งเกินไป หากหอการค้าตระกูลฉินใช้วิธีนี้ในการรอดพ้นจากอันตรายมาได้ มันจะทำให้เกิดความน่าสงสัยที่ไม่ควรมีขึ้นมา ต้านได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ หอการค้าตระกูลฉินเสียหายบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร การที่หอการค้าตระกูลฉินถูกเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนลอบโจมตีจะยิ่งช่วยขจัดความน่าสงสัยออกไปได้ แล้วก็จะช่วยให้หอการค้าตระกูลฉินเข้าใกล้เทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดได้ง่ายขึ้น ขอเพียงรักษาส่วนสำคัญบางอย่างในหอการค้าตระกูลฉินเอาไว้ได้ ขอเพียงหอการค้าตระกูลฉินยังลุกขึ้นมาได้ แล้วก็ยังดำเนินงานต่อไปได้ ความเสียหายนิดหน่อยไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
ลู่หงเยียนเข้าใจแล้ว เธอสังเกตดูคำพูดและสีหน้าพลางลองถามหยั่งเชิงว่า “แล้วฉินอี๋จะมีอันตรายอะไรหรือเปล่าเพคะ?”
หลินยวนเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปว่า “ติดต่อเหิงเทา บอกเขาว่าช่วงนี้ไม่ว่าในเมืองปู๋เชวี่ยจะเกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝีมือคนของพวกเรา ให้เขาระวังความปลอดภัยของตัวเองเอาไว้ให้ดี แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ อะไรที่ควรทำก็ทำได้เลย”
ลู่หงเยียนกล่าว “เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันติดต่อเขาเพคะ”
…………………………………………………….