ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 171 ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันอย่างสงบสุข!
ตอนที่ 171 ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันอย่างสงบสุข!
จูลี่ค่อนข้างเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา รีบกล่าวว่า “เดี๋ยวฉันไปติดต่อผู้บำเพ็ญเพียรของผู้พิทักษ์เมืองให้มาช่วยดูอาการบาดเจ็บให้คุณหน่อย”
จิ้นเซียวรีบยื่นมือไปขวางเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บนิดหน่อย ผมรักษาตัวเองได้”
“จริงเหรอ?” จูลี่ยังคงไม่วางใจ
จิ้นเซียวพยักหน้า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จูลี่ก็ได้แต่ต้องทำตามที่เขาว่า แต่เมื่อดูจากสภาพภายในห้องที่โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดแล้ว เธอเองก็ไม่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างไรอยู่กันแน่ ชายหญิงสองคนมาอยู่ด้วยกันตามลำพังในระยะยาวก็คล้ายจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นสภาพที่จิ้นเซียวได้รับบาดเจ็บแล้ว หากจะให้อีกฝ่ายออกไปหาที่พักในตอนนี้ เธอเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
ความจริงหลังจากที่รับจิ้นเซียวเข้ามาทำงานในปู๋เชวี่ยวิดีโอ เธอก็เคยเตือนจิ้นเซียวแล้วว่าให้ไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันไม่ค่อยสะดวก
แต่จิ้นเซียวกลับไม่มีทีท่าว่าจะออกไป อีกทั้งด้วยท่าทางที่ใสซื่อน่าเชื่อถือ ประกอบกับการที่ปกติเขาคอยติดตามเธอ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ เรียกใช้งานง่าย พอกลับมาบ้านก็รับผิดชอบงานเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งหมด อยากกินอะไรก็ลงมือทำให้เธอทันที
สำหรับเธอที่ทำงานยุ่งและใช้ชีวิตไม่เป็นเวลาแล้ว การมีผู้ช่วยแบบนี้อยู่ข้างกายนับว่าเป็นสิ่งที่สะดวกสบายเป็นอย่างมาก แล้วก็ช่วยเธอประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไล่อีกฝ่ายออกไปแล้ว
เมื่อเห็นจิ้นเซียวกำลังจะลงมือเก็บกวาด จูลี่จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “ยังไม่ต้องทำ ไปพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไร” จิ้นเซียวส่ายศีรษะ อาการบาดเจ็บของเขาไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสอะไรจริงๆ นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายออมมือให้เขา ไม่อย่างนั้นตัวเขาที่ขณะนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวจะต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน ด้วยความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หากไม่ควบคุมพลังเอาไว้ เกรงว่ากระทั่งห้องนี้ก็คงต้องปลิวไปด้วยแน่
จูลี่ทนมองดูเขาทำงานทั้งที่มีอาการบาดเจ็บไม่ได้ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถห้ามอีกฝ่ายได้ เธอจึงรีบเข้าไปช่วยเขาเก็บกวาด
ระหว่างที่กำลังเก็บกวาด จู่ๆ จิ้นเซียวพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “จูลี่ พวกเราแค่ทำเรื่องของตัวเองก็พอ เรื่องที่ไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งก็อย่าไปยุ่งเลย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองได้”
เรื่องบางเรื่องเขาเองก็คาดการณ์เอาไว้ได้แต่แรกแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินคำพูดที่จูลี่พูดกับหลินยวนในงานแถลงข่าวของหอการค้าตระกูลฉิน เขาก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาแล้ว
แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ปัญหามาในคืนนั้นเลย
……
อาการบาดเจ็บในดวงตาทั้งสองข้างของลู่หงเยียนได้รับการควบคุมเอาไว้ โลหิตไม่ได้ไหลซึมออกมาแล้ว เพียงแต่ยังมองอะไรเป็นภาพแดงเรื่ออยู่ หลังกะพริบตาอยู่หลายที สุดท้ายก็มองเห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน
ตัวหนังสือเองก็ค่อยๆ เลือนรางไปตามรอยน้ำที่แตกกระจาย
หลินยวนสูดหายใจลึกๆ “อีกฝ่ายน่าจะจับไอพลังของเธอได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำการโจมตีกลับมา หากไม่ได้มีสภาวะอยู่ในขั้นเซียนเทพก็ไม่มีทางใช้พลังเช่นนี้ออกมาได้ อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเซียนเทพจริงๆ ด้วย”
ลู่หงเยียนกล่าวว่า “แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่มีสภาวะขั้นเซียนเทพทำแบบนี้ได้ทุกคน ทั้งๆ ที่หม่อมฉันใช้พลังสำรวจจากระยะไกล แต่อีกฝ่ายกลับสามารถหาตำแหน่งของหม่อมฉันพบได้ แสดงว่าคนผู้นี้น่าจะเชี่ยวชาญในการไล่ตามร่องรอย มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นยอดฝีมือประเภทไล่ล่าสังหาร หรือว่าจูลี่ผู้นี้จะแอบซ่อนความสามารถเอาไว้ได้อย่างมิดชิด เป็นหม่อมฉันที่มองเธอพลาดไป?”
หลินยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ใช่เธอ ก่อนหน้านี้เธอเคยพบฉันหลายครั้งแล้ว ตอนที่อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ยฉันก็เคยหาโอกาสตรวจสอบดูแล้ว เธอไม่มีสภาวะอะไรเลย อย่างมากก็มีเพียงวิชาฝึกปราณธรรมดาๆ ที่เอาไว้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเท่านั้น เธอเป็นแค่คนธรรมดา การที่อีกฝ่ายสามารถจับไอพลังของเธอได้อย่างรวดเร็ว คนผู้นี้น่าจะอยู่ใกล้ๆ จูลี่ ข้างกายจูลี่ยังมีใครอีก?”
ลู่หงเยียนพลันกล่าวว่า “จิ้นเซียว! ตอนนี้จิ้นเซียวอยู่กับเธอเพคะ ไม่มีคนอื่น”
“จิ้นเซียว?” หลินยวนขมวดคิ้วขึ้นมา “หรือว่าจะเป็นเขา? ฉันเคยเจอเขาติดตามอยู่ข้างกายจูลี่ ดูอายุน้อยมาก เขามีสภาวะสูงขนาดนี้เลยหรือ?”
ลู่หงเยียนกล่าว “หม่อมฉันลืมบอกพระองค์ไปเพคะ จากข้อมูลที่สืบมาได้ ความจริงเขาอายุไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ดูแล้วเหมือนอายุยังน้อย ความจริงเขาอายุเยอะกว่าพวกเรามากเพคะ แต่ทางสถานีออกอากาศของเมืองหลวงไม่เคยมีใครบอกว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเลยเพคะ”
หลินยวนกล่าว “หรือว่าจูลี่คนนี้ยังมีเบื้องหลังอะไรที่ไม่มีใครรู้อยู่อีก ไม่อย่างนั้นทำไมผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเซียนเทพถึงได้มาคุ้มครองอยู่ข้างกายเธอได้?”
ลู่หงเยียนกล่าว “ไม่ทราบเพคะ จากข้อมูลที่สืบทราบในตอนนี้ เบื้องหลังของเธอธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆ เลยเพคะ”
“ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันอย่างสงบสุข….” สายตาของหลินยวนมองไปยังตัวอักษรที่เลือนรางไปแล้วอีกครั้ง “หากเป็นเขาจริงๆ ล่ะก็ การที่เขาส่งคำเตือนแบบนี้มาได้ อย่างนั้นก็แสดงว่าเขาอาจจะซ่อมกล้องวงจรปิดได้แล้วจริงๆ แล้วก็รู้ถึงจุดประสงค์ของพวกเรา กำลังเตือนให้พวกเราหยุดมือแต่เพียงเท่านี้”
ลู่หงเยียนที่ภายในขอบตายังคงมีรอยคราบเลือดกะพริบตาเป็นระยะ เห็นได้ชัดว่ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เธอเองก็จ้องมองไปยังรอยน้ำที่ดูเลือนลางเช่นเดียวกัน “เขากำลังบอกว่าขอเพียงพวกเราไม่ไปสร้างปัญหาให้จูลี่ เขาก็จะไม่มาสร้างปัญหาให้พวกเราอย่างนั้นหรือคะ? เขาหมายถึงเรื่องกล้องวงจรปิดหรือเปล่าเพคะ? หากอีกฝ่ายกุมจุดอ่อนเรื่องนี้เอาไว้ในมือ อย่างนั้นมิเท่ากับว่าเขาสามารถมาข่มขู่พวกเราได้ทุกเมื่อหรือเพคะ?”
หลินยวนกล่าวว่า “หากเขาซ่อมกล้องวงจรปิดได้ แล้วยังระบุตำแหน่งของเธอได้ นั่นก็เท่ากับว่าเขามั่นใจแล้วว่าคนที่ควบคุมเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินในแดนแมงมุมสวรรค์ก็คือฉัน นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด”
ลู่หงเยียนกล่าว “แต่เมื่อดูจากการกระทำของอีกฝ่ายแล้ว เขาออมมือให้หม่อมฉันจริงๆ นะเพคะ ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันคงจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เหมือนเขาเองก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเองเหมือนกัน” กล่าวจบก็มองดูเขาอย่างเงียบๆ แล้วก็รู้ว่าด้วยนิสัยของท่านผู้นี้ เกรงว่าท่านผู้นี้คงจะลงมือจัดการด้วยตัวเองเป็นแน่ เมื่อดูจากความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว เกรงว่าคงมีแต่ต้องให้ท่านอ๋องลงมือข่มขู่อีกฝ่ายด้วยตัวเองเท่านั้น
แต่สิ่งที่เธอคิดเอาไว้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเธอไม่รู้ว่าสภาวะของหลินยวนในตอนนี้ได้เสียหายไปเกือบครึ่ง เขาจึงไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับเซียนเทพได้
หลินยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ พลันเอ่ยถามว่า “ไปสืบเบอร์โทรศัพท์ของจิ้นเซียวมาหน่อย”
ลู่หงเยียนกล่าว “สืบมาแล้ว แล้วก็ได้มาแล้วเพคะ แล้วก็ยังมีเบอร์ของจูลี่กับพนักงานทุกคนในปู๋เชวี่ยวิดีโอด้วยเพคะ”
……
ระหว่างเข้างานในช่วงเช้า หลินยวนที่เพิ่งจอดรถในลานจอดรถของหอการค้าตระกูลฉินก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ เขาหันหน้าไป มองเห็นขบวนรถจำนวนหนึ่งแล่นเขามาในลานจอดรถ
เขาลงมาจากรถ หัวหน้าของขบวนรถขบวนนั้นก็ลงมาจากรถเช่นกัน เป็นหลัวคังอันกับจูเก่อม่าน
เมื่อเห็นเขา จูเก่อม่านยิ้มพร้อมโบกมือทักทาย ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินไปทำงานก่อน มิได้เดินเข้ามา
เธอเองก็ไม่ได้อยากเดินเข้ามา เพราะความจริงภายในใจเธอรู้สึกอคติกับหลินยวน ภายในใจเธอมองว่าหลินยวนคือผู้ชายขยะคนหนึ่ง!
แต่ก็ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายแอบมีอะไรอย่างลับๆ กับประธานฉินอยู่ มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันอยู่ เพื่อเห็นแก่หน้าฉินอี๋ สุดท้ายเธอจึงฝืนฉีกยิ้มออกมา เพราะเธอมีประสบการณ์ในการทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เรื่องบางเรื่องเธอยังคงปล่อยผ่านไปได้
จะเห็นได้ว่าระหว่างที่เธอเดินไปเข้างานมีคนเข้ามาทักทายเธออย่างเกรงอกเกรงใจจำนวนไม่น้อย การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน เกิดขึ้นหลังจากที่หลัวคังอันกลายเป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน นี่คือความรู้สึกอบอุ่นที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
นี่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เดินยิ้มแย้มให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสุขใจ
อาชีพการงานราบรื่น เงินทองเองก็ไม่ติดขัด ได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คน แล้วจะไม่ให้เธออารมณ์ดีได้อย่างไร
ส่วนเรื่องที่คนอื่นๆ จะแอบนินทาอะไรลับหลัง เธอไม่สามารถไปทำอะไรได้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามาพูดอะไรต่อหน้าเธอ อย่างน้อยทุกคนก็ต้องแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ เธอเองก็ค่อยๆ ปล่อยวางความรู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้สิ่งที่เธอหวาดกลัวที่สุดกลับเป็นเรื่องที่เธอกลัวจะสูญเสียทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ไป เพราะเธอยังเป็นเพียงแฟนของหลัวคังอัน มนุษย์ก็คือสัตว์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้แหละ
เมื่อเห็นหลินยวนยังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ หลัวคังอันกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย คนที่มีความสามารถตัวจริงทำตัวเหมือนคนจน ตัวเขาที่เป็นตัวปลอมกลับใช้ชีวิตหรูหรา เมื่อทั้งสองมาเจอกัน จะมากจะน้อยก็ต้องรู้สึกเก้อกระดากกันบ้าง เขาโบกมือบอกผู้คุ้มกันว่าไม่ต้องตามมาแล้ว ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหลินยวน เดินไปยังห้องทำงานด้วยกัน ระหว่างเดินก็พูดไปว่า “เปลี่ยนรถเถอะ เดี๋ยวฉันซื้อให้นายคันนึง”
หลินยวนกล่าว “ไม่ต้องเปลืองเงิน”
หลัวคังอันกล่าว “อย่างนั้นเดี๋ยวฉันเอารถที่ฉันเคยใช้ก่อนหน้านี้ให้นาย ยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ใช้แล้ว”
หลินยวนกล่าว “ไม่ต้อง”
หลัวคังอันเบะปาก พบว่าเวลาคุยกับคนผู้นี้ อีกฝ่ายยังคงไม่เปิดช่องให้ได้ต่อรองอะไรเลย
ระหว่างทางมีพนักงานของหอการค้าตระกูลฉินเข้ามาทักทายหลัวคังอันอย่างเคารพนอบน้อมไม่ขาดสาย หลัวคังอันเองก็ยิ้มพลางพยักหน้าไปตลอดทาง พบว่าความรู้สึกที่ได้รับความเคารพยกย่องจากคนอื่นมันช่างดีจริงๆ!
หลังทั้งสองคนเข้าไปในลิฟต์ หลัวคังอันก็กระแอมขึ้นมาเล็กน้อย “ลืมบอกนายไป เมื่อวานตอนบ่าย หอการค้าเปลี่ยนห้องทำงานให้ฉันแล้ว จะไปดูหน่อยไหม?”
นี่เป็นเรื่องที่คาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว หลินยวนส่งเสียงอืม ไปดูๆ ห้องทำงานของอีกฝ่ายหน่อยนับว่ายังคงเป็นเรื่องจำเป็นอยู่
เมื่อเดินออกมาจากลิฟต์ ทั้งสองคนก็มองเห็นหัวหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการปรับย้ายห้องทำงานกำลังยืนรออยู่ตรงประตูห้องทำงานของหลัวคังอัน
หลังทำการสอบถามเล็กน้อย เขาถึงได้รู้ว่าหลินยวนเป็นผู้ช่วยของหลัวคังอัน การที่ห้องทำงานของทั้งสองคนอยู่ห่างกันดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร หัวหน้าคนนั้นจึงถามหลัวคังอันว่าจะให้ย้ายห้องทำงานของหลินยวนมาอยู่ใกล้ๆ ไหม
เรื่องนี้หลัวคังอันไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เหลือบมองดูท่าทีของหลินยวนเล็กน้อย เห็นว่าหลินยวนพยักหน้าอนุญาตอย่างเงียบๆ เขาถึงตอบตกลงหัวหน้าคนนั้นไป
ที่หลินยวนตอบตกลงย้ายห้องทำงานก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของหัวหน้าและลูกน้องของตัวเองกับหลัวคังอัน การที่ห้องทำงานของทั้งคู่อยู่ห่างกันเกินไปดูไม่ค่อยเหมาะจริงๆ
เมื่อเข้าไปในห้องทำงานของหลัวคังอัน เขาก็พบว่าสภาพภายในห้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ไม่ใช่แค่ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องเท่านั้น แต่ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างก็ดีเป็นอย่างมากเช่นกัน
หลินยวนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งแรกที่เขาทำทันทีที่เข้ามาคือตรวจสอบภายในห้องทำงานอย่างละเอียด หลังมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว เขาถึงจะเอ่ยกับหลัวคังอันเสียงเบาๆ ว่า “ต่อไปเรื่องแรกที่ต้องทำเวลามาทำงาน คือแกต้องตรวจห้องทำงานให้ละเอียด”
หลัวคังอันตอบโอ้ๆ แต่ภายในใจกลับไม่ได้สนใจอะไรนัก
แต่ใครจะไปรู้ว่าหลินยวนกลับเอ่ยเตือนว่า “และนี่ก็เป็นหนึ่งในบทเรียนที่แกจำเป็นต้องเริ่มเรียนรู้ในตอนนี้ ว่างๆ ฉันจะเอากล้องวงจรปิดหรือไม่ก็เครื่องดักฟังมาติดไว้ในห้องทำงานของแก ถ้าแกหาไม่เจอ แกต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา ฉันไม่มีทางเกรงใจแน่นอน”
“…..” หลัวคังอันตกตะลึงตาค้าง
หลินยวนหันหน้ามาเอ่ยว่า “แกต้องไปประชุมตอนเช้ากับหอการค้าไม่ใช่เหรอ? ไปสิ จำไว้ด้วยว่าประชุมอะไรกัน แล้วเดี๋ยวกลับมารายงานให้ฉันฟัง”
หลัวคังอันกล่าว “ประชุมเช้าของวันนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว”
หลินยวนไม่เข้าใจ “ยกเลิก? ทำไม?”
หลัวคังอันว่า “ท่านประธานต้องไปนอกเมืองกับคนของสภาเซียน คนของแคว้นเซียนคุนกว่างแล้วก็คนของเมืองปู๋เชวี่ย ไปดูสถานที่สำหรับสร้างเทพมหาวิญญาณ เรื่องนี้ต้องรีบดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย คิดว่าวันนี้ท่านประธานคงไม่ได้เข้ามาที่หอการค้าแล้ว”
อย่างนี้นี่เอง หลินยวนมองดูเขา พบว่าพอกลายเป็นรองประธานหอการค้าแล้วก็แตกต่างไปจากเดิมทีเดียว ได้ข่าวสารมาง่ายกว่าเดิมไม่น้อย จึงเอ่ยถามว่า “เรื่องลานบำเพ็ญเพียรพูดไปหรือยัง?”
หลัวคังอันกระอักกระอ่วนขึ้นมา “เดี๋ยวเอาไว้ท่านประธานกลับมาแล้ว ฉันจะไปพูดเรื่องนี้”
ภายในใจบ่นพึมพำขึ้นมา นายกับฉินอี๋ก็มีอะไรกันอยู่นี่นา นายไปพูดเองไม่สะดวกกว่าเหรอ ทำไมถึงต้องให้ฉันไปพูดด้วย?
“พรุ่งนี้เช้าฉันต้องการคำตอบที่แน่ชัด” หลินยวนกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
หลัวคังอันถอนใจเบาๆ
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะย้ายห้องทำงานเสร็จเรียบร้อย หลินยวนกลับมายังห้องทำงานเดิมของตัวเองก่อน
หลังทำการตรวจสอบภายในห้องตามปกติเสร็จเรียบร้อย หลินยวนก็เดินไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงาน หยิบเอาโทรศัพท์มือถือสำรองขึ้นมา กดโทรไปยังเบอร์เบอร์หนึ่งแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
หลังโทรติด ภายในโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังลอดออกมา “นั่นใคร?”
หลินยวนเปลี่ยนเสียงตัวเอง “จิ้นเซียว?”
คนที่รับโทรศัพท์ก็คือจิ้นเซียว เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “พูดอยู่ นั่นใคร?”
หลินยวนกล่าว “ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันอย่างสงบสุข!”
………………………………………………………….