ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 166 พาหมาป่าเข้าบ้าน
ตอนที่ 166 พาหมาป่าเข้าบ้าน
สำหรับเรื่องนี้ ลู่หงเยียนไม่อาจอยู่เฉยได้ เธอลุกขึ้นมานั่งตัวตรง เอ่ยเรียกเสียงเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องเพคะ”
เสียงแผ่วเบาเป็นอย่างมาก แต่เธอเชื่อว่าหลินยวนได้ยิน
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด แสงสีทองและสีดำที่หมุนวนอยู่รอบกายหลินยวนหดหายไปอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังที่เบาบางภายในห้องสลายหายไป ส่วนหลินยวนหลังจากดึงพลังกลับไปก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หันหน้ามาทางเธอ
ลู่หงเยียนกระโดดเบาๆ ลอยตัวจากโซฟามาบนเตียง เดิมอยากจะพูดเรื่องกล้องวงจรปิด แต่สุดท้ายพอคำพูดมาถึงริมฝีปาก เธอกลับเอ่ยออกไปว่า “เหิงเทาส่งข้อมูลภายในที่เกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลฉินมาให้ดูนิดหน่อยค่ะ หม่อมฉันคิดว่าพระองค์น่าจะดูหน่อยเพคะ” ขณะกล่าวก็หยิบโทรศัพท์ออกมาปรับเล็กน้อย ก่อนจะยื่นส่งให้เขาดู
ในเมื่อควรจะดู หลินยวนเองก็รับเอาโทรศัพท์มือถือมา หลังอ่านดูอย่างละเอียดก็พบว่าล้วนเป็นข้อมูลภายในที่เกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลฉินที่คนนอกไม่น่าจะรู้
เมื่ออ่านลงไปเรื่อยๆ กระทั่งหลินยวนเองก็ยังต้องแอบพยักหน้า พบว่าการมีสายอย่างเหิงเทาอยู่นั้นทำให้หลายๆ เรื่องกระจ่างแจ้งขึ้นมาไม่น้อย
กระทั่งอ่านไปถึงบันทึกการสอบปากคำในตอนที่คนของหอการค้าตระกูลฉินถูกจับไปเมื่อครั้งที่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นคำให้การของฉินอี๋ สายตาของหลินยวนพลันคร่ำเคร่งขึ้นมา มุมปากเม้มแน่นขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากได้เห็นคำให้การนี้ ความสงสัยต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็เรียกว่าได้รับความกระจ่างทั้งหมด ที่แท้ฉินอี๋พยายามอย่างหนักเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ เพื่อที่เขาจะได้เรียนจบจากหลิงซานอย่างราบรื่น
ภายในใจของหลินยวนเวลานี้มีความรู้สึกนับร้อยพัวพันกันเต็มไปหมด!
ในชีวิตที่ผ่านมา แม้นเขาจะเคยไปมาหาสู่กับผู้หญิงที่สวยกว่าฉินอี๋ แต่เกรงว่าเขาคงจะไม่มีทางเจอผู้หญิงที่ทำให้เขามีความรู้สึกเช่นนี้ได้เป็นคนที่สองแล้ว มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่เขาไม่มีวันหาได้จากผู้หญิงคนอื่น
เดิมคิดว่ามันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ทว่าสุดท้ายก็มักจะมีเศษเสี้ยวความทรงจำผุดขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นเป็นรักแรกของเด็กหนุ่มหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักความรักที่ยากจะลืมได้ บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยเปลี่ยน
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ลู่หงเยียนที่คอยสังเกตดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ อยากจะเห็น เรือนร่างอ้อนแอนฟุบเกาะอยู่บนไหล่ของหลินยวน สายตาเหลือบมองดูข้อมูลที่อยู่บนโทรศัพท์มือถือ จากนั้นสังเกตดูท่าทีของหลินยวนอีกครั้ง จากนั้นลองถามว่า “ท่านอ๋องเป็นรักแรกของฉินอี๋หรือเพคะ?”
หลินยวนจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
ลู่หงเยียนรีบอธิบายว่า “ท่านอ๋อง หงเยียนไม่ได้คิดจะสืบเรื่องราวในอดีตของท่านอ๋องนะเพคะ แต่ฉินอี๋คนนี้ยังมีความรู้สึกหลงเหลือให้ท่านอ๋องอยู่ ท่านอ๋องสามารถเล่นตามน้ำ ใช้ประโยชน์จากเธอแทรกซึมเข้าไปในหอการค้าตระกูลฉินได้นะเพคะ”
หลินยวนกล่าวอย่างเฉยชา “ควรจะทำอะไร ฉันตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เธอมาสอน!”
“เพคะ” ลู่หงเยียนตอบรับอย่างระมัดระวังพร้อมฉีกยิ้มแข็งขืนออกมา จากนั้นเปลี่ยนประเด็นแล้วชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ “ท่านอ๋องลองอ่านต่อสิเพคะ ในเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินที่เข้าร่วมการประมูลถูกคนที่ชื่อจูลี่ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วยเพคะ เหิงเทาบอกว่ากล้องวงจรปิดถูกทำลายไปแล้ว จริงหรือเปล่าไม่รู้ ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้ไหมเพคะ?”
สายตาของหลินยวนมองกลับไปบนโทรศัพท์มือถือ อ่านลงไปเรื่อยๆ อยู่ครู่หนึ่ง เห็นข้อมูลเรื่องที่จูลี่ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ในเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉิน หลังได้อ่านก็พยักหน้าออกมาเล็กน้อย “เรื่องนี้ฉันรู้ ตอนที่จูลี่เพิ่งจะติดกล้องได้ไม่นานฉันก็รู้แล้ว เหิงเทาพูดถูก กล้องถูกทำลายไปแล้ว ตอนที่ถูกบีบให้ต้องลงมือตอนอยู่ในแดนแมงมุมสวรรค์ฉันได้ทำลายกล้องวงจรปิดไปก่อน ความสงสัยใคร่รู้ของจูลี่คนนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก ต่อไปเธอต้องระวัง…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ จู่ๆ เขาก็ชะงักไป เพราะเขาได้เห็นข้อมูลหลังจากนั้น ดวงตาหรี่เล็กลงทันที เอ่ยพึมพำว่า “จูลี่เอากล้องวงจรปิดที่เสียหายกลับไป? ของที่เสียไปแล้ว เธอจะเอาไปทำไม? เอากลับไปเบิกค่าใช้จ่ายจริงเหรอ?”
ลู่หงเยียนกล่าว “ข้อมูลที่เหิงเทาส่งมาว่าไว้แบบนี้เพคะ”
แต่ภายในใจหลินยวนกลับมีความรู้สึกไม่สบายใจปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยนิสัยที่เกิดจากการหลบซ่อนตัวอย่างยากลำบากมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสัยต่อความผิดปกติๆ ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ โดยเฉพาะความอยากรู้อยากเห็นของจูลี่ที่ทำให้เขารู้สึกระแวงมาโดยตลอด
ความน่าสงสัยนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดี ความประมาทใดๆ ก็ตามล้วนแต่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงจนยากจะแก้ไขได้
หลังอ่านลงไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจอีก เขาโยนโทรศัพท์มือถือคืนให้ลู่หงเยียน เอ่ยเสียงคร่ำเคร่งว่า “เรื่องกล้องวงจรปิดยังไม่ละเอียดพอ เธอรีบติดต่อเหิงเทา ฉันอยากรู้ว่าหลังจูลี่เอากล้องวงจรปิดกลับไปแล้วมีท่าทีผิดปกติใดๆ หรือไม่”
“เพคะ” ลู่หงเยียนรับคำ “หม่อมฉันจะติดต่อเขาเดี๋ยวนี้เพคะ”
ขณะที่เธอเพิ่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาเหิงเทา จู่ๆ หลินยวนพลันยื่นมือออกมาอีกครั้ง กดมือของเธอเอาไว้ “ช่างเถอะ ไม่ปลอดภัย”
ลู่หงเยียนอธิบาย “ท่านอ๋องวางใจได้เพคะ นี่เป็นเครื่องสำรอง เหิงเทาสืบไม่ได้เพคะ”
หลินยวนส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องนี้ ฉันหมายความว่าถ้าให้เหิงเทาสืบเรื่องกล้องวงจรปิด แบบนั้นเป้าหมายมันดูชัดเจนเกินไป เหิงเทาจะสงสัยเรื่องข้อมูลที่อยู่ในกล้องวงจรปิดได้”
ลู่หงเยียนเข้าใจในทันที ถ้าเกิดเหิงเทาสงสัยว่ากล้องวงจรปิดมีปัญหา เช่นนั้นก็มีโอกาสที่เขาจะสงสัยเรื่องข้อมูลที่อยู่ในกล้องวงจรปิดที่ถูกทำลายไป และท่านอ๋องก็คือหนึ่งในข้อมูลที่อยู่ในกล้องวงจรปิด แบบนั้นจะทำให้เหิงเทาสงสัยในตัวท่านอ๋องได้ง่าย
ในตอนที่ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าเหิงเทาสามารถเชื่อใจได้หรือไม่ จะทำให้ใครเกิดความสงสัยในตัวท่านอ๋องไม่ได้เด็ดขาด เพราะผลกระทบที่ตามมามันรุนแรงเกินไป
เธอพยักหน้าทันที “เรื่องนี้เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการเองเพคะ หม่อมฉันจะหาคนที่วางใจได้ที่ไม่รู้เรื่องนี้มาสืบให้เพคะ”
หลินยวนกล่าว “จูลี่เอากล้องวงจรปิดไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ต้องเร็วหน่อย แล้วก็ต้องระวังด้วย จูลี่คนนั้นใกล้ชิดกับลั่วเทียนเหอ เบื้องหลังลั่วเทียนเหอค่อนข้างน่ากลัว ระวังจะมีคนวางหลุมพรางดักเราได้”
ลู่หงเยียนกล่าว “รับทราบเพคะ”
ขณะที่เพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือเธอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอหยิบขึ้นมาดู จากนั้นเอ่ยกับหลินยวนทันทีว่า “เหิงเทาส่งข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวกับหอการค้าตระกูลฉินมาอีกแล้วเพคะ” กล่าวจบก็เอนซบลงไปบนหน้าอกของหลินยวน ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อมูลพร้อมกับหลินยวน
ไม่ใช่เรื่องอะไร เป็นเรื่องที่ฉินอี๋เกลี้ยกล่อมลั่วเทียนเหอให้ปล่อยตัวโจวหม่านเชากับพานชิ่ง ตอนนี้ทั้งสองคนได้ถูกเหิงเทาแอบส่งตัวกลับไปยังเมืองเทียนกู่กับเมืองฝูปออย่างลับๆ แล้ว ทุกอย่างจัดการได้อย่างเงียบเชียบและราบรื่น
หลินยวนนิ่งเงียบไปเพราะเรื่องนี้
แต่ลู่หงเยียนกลับอดจุ๊ปากอุทานออกมาไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นผู้หญิงที่ท่านอ๋องเคยชอบ ฉินอี๋คนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาจริงๆ เพคะ แผนการพลิกกลับไปกลับมายากคาดเดา หม่อมฉันล่ะอยากเจอเธอจริงๆ เพคะ” กล่าวจบก็สังเกตดูปฏิกิริยาของหลินยวนเล็กน้อย
หลินยวนยังคงนิ่งเงียบ แต่ภายในใจกลับรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก ผู้หญิงที่ไม่ทันทำอะไรก็เขินอายคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากจริงๆ เกรงว่าคงจะไม่ได้ไร้เดียงดาหลอกง่ายเหมือนอย่างแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
……
ภายในคุกใหญ่ของผู้พิทักษ์เมืองปู๋เชวี่ย เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนจากเมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่เดินทางมาถึงพร้อมกันเพื่อเข้าเยี่ยมพานชิ่งและโจวหม่านเชาตามปกติ แต่ผลปรากฏว่าทั้งสองคนไม่อยู่แล้ว เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่ทั้งตกใจและโมโห ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที ร้องเรียกหาคนมาอธิบายในเรื่องนี้
แต่เมื่อทั้งสี่คนหันไปมองรอบๆ กลับไม่พบผู้คุมแม้แต่คนเดียว ทว่ากลับมีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาจากปลายทางเดินอย่างเงียบๆ
ผู้ที่เดินเข้ามาคือเหิงเทา “ไม่ต้องเสียงดังไปครับ ทั้งสี่ท่านวางใจได้ พวกเขาสองคนปลอดภัยดี ท่านเจ้าเมืองมีเมตตา ตอนนี้ปล่อยพวกเขาสองคนกลับไปแล้ว”
เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งกล่าวเสียงเข้ม “หัวหน้าเหิง อย่ามาใช้ลูกไม้นี้เลย ถ้าพวกเขาถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว พวกเขาจะต้องติดต่อพวกเรามาทันทีแน่”
เหิงเทาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งสี่ “พวกเขาไม่อยากติดต่อพวกคุณ ผมเองก็ไม่สามารถบังคับพวกเขาได้” ทันทีที่กล่าวจบ มือที่ไพล่เอาไว้ด้านหลังข้างหนึ่งก็ชูเครื่องฉายฉากแสงขนาดเล็กขึ้นมาเครื่องหนึ่ง ฉากแสงปรากฏขึ้นมา ภาพที่ปรากฏอยู่ในฉากแสงคือภาพของพานชิ่งและโจวหม่านเชา ทั้งสองคนสวมชุดเครื่องแบบผู้พิทักษ์เมือง ส่วนภาพพื้นหลังของแต่ละคนก็เป็นภาพเมืองเทียนกู่และเมืองฝูปอ “พวกคุณมาช้าไป เมื่อคืนพวกผมได้ส่งพวกเขากลับไปแล้ว”
เจ้าหน้าที่เซียนอีกคนหนึ่งเอ่ย “เป็นไปไม่ได้!”
เหิงเทากล่าว “ผมอธิบายให้พวกคุณฟังแล้ว ถ้าพวกคุณยังสงสัยว่าไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าหากว่ายังไม่เชื่อ พวกผมเองก็จนปัญญา เอาเป็นว่าทางพวกผมได้อธิบายกับท่านเจ้าเมืองมู่และท่านเจ้าเมืองซางไปแล้ว เรื่องอื่นๆ หลังจากนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกผมอีก ถ้าทั้งสี่ท่านอยากอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็เชิญตามสบายครับ” กล่าวจบก็ปิดฉากแสงแล้วก้าวอาดๆ ออกไป
ทั้งสี่คนทั้งตกใจและสงสัย จึงทำการหารือกันเล็กน้อย จากนั้นรีบติดต่อไปรายงานกับทางเมืองเทียนกู่และเมืองฝูปอทันที แต่ผลที่ได้รับรายงานกลับมาก็ทำให้ทั้งสี่คนต้องประหลาดใจอย่างมาก
“เบื้องบนบอกว่าทราบเรื่องนี้แล้ว ยืนยันว่าทางเมืองปู๋เชวี่ยได้ส่งคนกลับไปแล้ว แต่ที่แปลกคือเบื้องบนบอกให้พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้ออกไป ห้ามเปิดเผยเรื่องที่สองคนนั้นกลับไปแล้วให้ใครฟัง แล้วก็ทำทุกอย่างเหมือนปกติต่อไป หวังซยง ทางเมืองฝูปอของพวกคุณว่ายังไงบ้าง?”
“คล้ายๆ กัน ทำไมถึงรู้สึกว่าเบื้องบนไม่อยากเปิดเผยเรื่องที่โจวหม่านเชากับพานชิ่งกลับไปแล้วเลย รู้สึกเหมือนกำลังช่วยทั้งสองคนปกปิดร่องรอยอยู่”
ทั้งสี่คนพูดคุยพึมพำกันอยู่พักหนึ่ง จากท่าทีที่ดูแปลกๆ ของเบื้องบนทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เกรงว่าทางหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นกับทางหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพาน ทั้งสี่คนก็พอจะรู้เรื่องมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรกับพานชิ่งและโจวหม่านเชา นึกว่าเดี๋ยวเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ช้าเร็วทั้งสองคนก็จะกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งอยู่ดี อีกทั้งพวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดชด้วย กลัวว่าทั้งสองคนจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น พูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดบางอย่างออกไป
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวมันจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว ทั้งสองคนแอบกลับไปอย่างเงียบๆ เบื้องบนของเมืองทั้งสองให้ความร่วมมือในทันที แม้นจะเสียตำแหน่งประธานหอการค้าไปแล้ว แต่ยังสามารถใช้เส้นสายได้อยู่ ดูเหมือนอิทธิพลของทั้งสองคนจะไม่ธรรมดาทีเดียว
…..
ณ พื้นที่รกร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง พานชิ่งอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่ง ด้านหลังมีคนจำนวนมากคอยยืนระแวดระวังรอบด้าน
ข้างกองดินกองหนึ่ง คนผู้หนึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล กำลังคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น
แล้วก็ยังมีคนอีกสองคนกำลังขุดดินอยู่ ไม่นานก็ขุดเจอห่อผ้าสองห่อ มีคนกระโดดลงไปในหลุมทันที ยกเอาห่อผ้าทั้งสองห่อขึ้นมา
เมื่อแกะห่อผ้าออกดู ด้านในก็เผยให้เห็นศพผู้หญิงสองศพ เป็นพานหลิงเวยและพานหลิงเยวี่ยที่เพิ่งจะถูกนำมาฝังไว้ที่นี่อย่างเงียบๆ เมื่อไม่นานมานี้
จะไม่ฝังเงียบๆ ก็ไม่ได้ สำหรับคนบางคนแล้ว ไหนเลยจะกล้าทำอะไรเอิกเกริกได้ กระทั่งของที่ใช้สำหรับพิธีศพบางอย่างก็ยังไม่กล้าวางเลย กลัวจะเป็นที่ผิดสังเกต
แล้วก็ไม่กล้าเอาศพเก็บไว้ในบ้านเป็นเวลานาน เพราะถ้าทางการพบเข้า เมื่อถึงตอนนั้นเกิดพูดไม่ตรงกันจะอธิบายได้ลำบาก
ดังนั้นศพของทั้งสองพี่น้องจึงต้องนำมาฝังอยู่ในที่รกร้างแห่งนี้
แต่เรื่องที่พานชิ่งทำหลังจากกลับมาถึงก็คือเรื่องนี้ จากที่เขาสามารถหาสถานที่ฝังศพของสองพี่น้องเจออย่างรวดเร็ว จะเห็นได้เลยว่าการที่เขาบริหารหอการค้าตระกูลพานมาเป็นเวลาหลายปีนั้นก็มีอิทธิพลและอำนาจไม่ธรรมดาเช่นกัน
เมื่อเห็นศพของสองพี่น้อง ใบหน้าพานชิ่งพลันขาวซีดไปทันที ความหวังสุดท้ายพังทลายลงไป ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา กระอักเลือดออกมาดัง ‘พรืด!’
“ท่านประธาน” ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังสองคนรีบเข้ามาช่วยประคองแขนเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
พานชิ่งที่ยันกายเอาไว้จนมั่นคงดันทั้งสองคนออกไป เดินส่ายโงนเงนเข้าไปข้างศพของบุตรสาวทั้งสอง ทิ้งตัวคุกเข่าลงไปกับพื้น สองมือที่สั่นเทาค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสใบหน้าบุตรสาวทั้งสองคน
“อ๊ากกก….” เขาพลันแหงนหน้าตะโกนส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า ความเจ็บปวดภายในใจไม่มีใครเข้าใจได้ ทุบกำปั้นทั้งสองข้างทุบไปที่หน้าอกของตนเองไม่หยุด “พ่อผิดเอง เป็นพ่อที่ทำร้ายพวกลูกเอง! พ่อพาหมาป่าเข้าบ้าน พ่อเป็นคนพาหมาป่าเข้าบ้านเองลูก! พ่อผิดเอง พ่อทำร้านพวกลูก…พรืด!” กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ก่อนจะเป็นลมล้มลงไป
………………………………………………………..