ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 165 ปล่อยเสือคืนป่า
ตอนที่ 165 ปล่อยเสือคืนป่า
ลั่วเทียนเหอยังคงนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมา แล้วก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ
แต่ฉินอี๋ที่คอยสังเกตดูอากัปกิริยาอีกฝ่ายกลับแอบโล่งใจ อีกฝ่ายไม่พูดอะไร นั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายรับฟังคำพูดของเธอ
ในเมื่อเธอกล้ามาที่นี่ เธอย่อมต้องรู้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับอะไร หากมิเป็นเพราะเธอทราบดี เธอก็คงไม่มีความมั่นใจที่จะมาพูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงรอคอยอย่างเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลอะไร
หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สายตาที่ทอดมองออกไปไกลของลั่วเทียนเหอก็ถูกดึงกลับมา จ้องมองไปทางฉินอี๋ “เผิงอะไรนั่น ฆ่าผู้หญิงกับผู้ช่วยของโจวหม่านเชา แล้วผู้ช่วยของพานชิ่งอะไรนั่นก็ยังฆ่าลูกสาวของคนของพานชิ่งอีก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เธอกลับรู้ละเอียดถึงขนาดนี้?”
เรื่องนี้ฉินอี๋ย่อมต้องรู้ดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เพราะเธอเป็นคนปลุกปั่นให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
การที่คนนอกจะไม่รู้เรื่องนี้มันก็ไม่แปลก เพราะไม่ว่าจะเป็นเผิงซีกับสวีเฉียน หรือว่าตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่ พวกเขาก็คงไม่อยากแพร่งพรายเรื่องแบบนี้ออกไปให้คนนอกรับรู้ ต่างพยายามปิดข่าวเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณได้ ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานของเผิงซีและสวีเฉียน
อีกอย่าง ถ้าทุกคนพากันรู้เรื่องที่เผิงซีและสวีเฉียนฆ่าคนล่ะก็ กฎหมายดินแดนเซียนคงไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่ เรื่องบางเรื่องแอบทำลับหลังก็ว่าไปอย่าง ถ้าไม่มีหลักฐานทุกคนก็สามารถทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งได้ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ไม่มีทางที่จะไปแพร่งพรายให้คนนอกรับรู้
ความจริงสายสืบที่ฉินอี๋ส่งไปแฝงตัวเอาไว้ทางนั้นมีระดับไม่สูงพอ จึงไม่ได้เห็นกับตาว่าเผิงซีกับสวีเฉียนฆ่าคนหรือไม่ แต่ฉินอี๋สามารถทำการวิเคราะห์จากร่องรอยบางอย่างได้ เผิงซีกับสวีเฉียนไม่มีทางให้ถอยแล้ว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลคุมตัวคนที่สามารถมาแทนที่พวกเขาได้ทุกเมื่ออย่างพวกพานหลิงเวยเอาไว้ได้ ขอเพียงสบโอกาสพวกเขาก็จะต้องลงมือฆ่าคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน
จากร่องรอยความเคลื่อนไหวบางอย่างของทั้งสองคนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะลงมือสำเร็จ
ยามนี้เมื่อลั่วเทียนเหอเอ่ยถามขึ้นมา ฉินอี๋จึงได้แต่ต้องตอบปัดแบบขอไปที “หอการค้าตระกูลฉินกับหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานเป็นคู่แข่งกัน หอการค้าตระกูลฉินส่งสายสืบไปแฝงตัวอยู่ในหอการค้าทั้งสองแห่งนั้น ถึงได้สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างค่ะ”
แม้นลั่วเทียนเหอจะเป็นคนหัวโบราณ แต่เขามิใช่คนโง่ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เรื่องนี้ เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือ?”
ฉินอี๋ใจเต้นขึ้นมา เรื่องบางเรื่องสามารถปิดได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถปิดไปได้ตลอด อีกฝ่ายไม่ถามก็ว่าไปอย่าง แต่หากถามขึ้นมาแล้วยังปิดอีก นั่นเท่ากับเป็นการโกหกหลอกลวง
แต่เธอเองก็ไม่มีทางสารภาพไปจนหมดเช่นกัน จึงทำได้เพียงตอบไปอย่างคลุมเครือว่า “ในเมื่อเป็นศัตรูกัน ย่อมไม่มีทางนั่งมองดูเฉยๆ หอการค้าตระกูลฉินได้แอบปลุกปั่นอย่างเงียบๆ! แต่ฉินอี๋ขอรับรองว่าในเรื่องนี้ หอการค้าตระกูลฉินไม่ได้ทำผิดกฎหมายดินแดนเซียนแม้แต่น้อยแน่นอนค่ะ”
ลั่วเทียนเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฉันเชื่อเธอ คนอย่างพวกเธอมักจะทำแต่เรื่องฆ่าคนไม่เห็นเลือดอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว และเรื่องแบบนี้ เธอเองก็ยิ่งทำยิ่งเก่งขึ้นทุกวัน”
ฉินอี๋ถูกเขาว่าจนรู้สึกผวาขึ้นมาในใจเล็กน้อย สิ่งที่เธอทำมันก็คือการฆ่าคนไม่เห็นเลือดไม่ใช่เหรอ หากไม่เป็นเพราะเธอแอบปลุกปั่นอย่างลับๆ พวกพานหลิงเวยจะถูกฆ่าได้อย่างไร
เรื่องบางเรื่องมันสามารถคาดการณ์ได้ ทันทีที่ปล่อยโจวหม่านเชากับพานชิ่งกลับไป ทางหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานจะต้องมีคนตายอีกไม่น้อยอย่างแน่นอน
“เฮ้อ!” ลั่วเทียนเหอถอนใจออกมาอีกครั้ง “นังหนูเอ๋ย ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เล็ก จำได้ว่าตอนเธอยังเล็ก พ่อเธอพาเธอมาเจอฉันครั้งแรก เธอดูคล้ายตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น น่ารักน่าชังมาก แล้วดูตอนนี้สิ? ไม่น่ารักแม้แต่นิดเดียว เป็นผู้หญิงดีๆ ไม่ชอบ ชอบไปเรียนรู้วิธีใช้แผนชั่วร้าย ทั้งวันคิดแต่เรื่องจะเอาชนะคนอื่น เธอไม่เหนื่อยเหรอ?”
ในเมื่ออีกฝ่ายลากประเด็นมาถึงเรื่องครอบครัว ฉินอี๋เองก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ในตระกูลฉินไม่มีพี่น้องคนอื่นค่ะ”
ความหมายในวาจานี้คือภาระบางอย่าง ฉันจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ ฉันไม่มีทางเลือกค่ะ
ลั่วเทียนเหอเม้มปาก แล้วก็รู้สึกจนปัญญา รู้ว่าเรื่องบางเรื่องตนเองพูดไปพูดมาก็ไม่มีประโยชน์ จุดยืนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตัวเลือกที่ต้องเผชิญก็แตกต่างกันเช่นกัน หากนังหนูนี่ไม่ออกมานำหอการค้าตระกูลฉิน หอการค้าตระกูลฉินก็คงเดินมาถึงวันนี้ไม่ได้เช่นกัน แล้วก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานด้วย ก็เหมือนเรือที่แล่นทวนกระแสน้ำ หากไม่เดินหน้าก็ต้องถอยหลัง แล้วก็จะต้องถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากซัดใส่จนแหลกละเอียด
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าฉินอี๋ทำผิด เขาเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน จึงได้แต่ถอนใจออกมา
…..
ประตูห้องสืบสวนเปิดออก โจวหม่านเชาและพานชิ่งที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งถูกคุมตัวเข้ามา
ถึงแม้สภาพจะดูสกปรกเหมือนขอทาน แต่บาดแผลจากการทรมานบนร่างกายของทั้งสองคนก็แทบจะหายเป็นปกติแล้ว เมื่อมีเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนที่เมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ส่งมาคอยดูแล ย่อมต้องมียาเซียนยาวิเศษมาคอยช่วยรักษา
ด้านหลังโต๊ะสอบสวน ภายใต้แสงจากโคมไฟ เหิงเทานั่งนิ่งๆ อยู่ตามลำพัง
ถูกลากมาที่ห้องสอบสวนดึกๆ ดื่นๆ โจวหม่านเชากับพานชิ่งต่างรู้สึกวิตกกังวล ยิ่งเมื่อเห็นเหิงเทาที่เป็นคนจับพวกเขามาในตอนแรก ทั้งสองคนยิ่งรู้สึกตกใจ เรียกได้ว่าหวาดกลัว
ทั้งสองคนมองไปรอบๆ ไม่เห็นเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คน พานชิ่งเอ่ยออกมาทันที “เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลการสอบสวนทั้งสี่คนไปไหน?”
โจวหม่านเชาเองก็วิตกกังวลเช่นกัน เอ่ยว่า “เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนเคยบอกไว้ว่าถ้าจะสอบสวนพวกเราก็ต้องให้พวกเขาอยู่ด้วย”
ความหมายคือถ้าเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนไม่อยู่ พวกเราก็ไม่มีทางให้ความร่วมมือ
เมื่อมีเจ้าแคว้นหนานหรูคอยจับตาดูอยู่ เมืองฝูปอกับเมืองเทียนกู่ก็ไม่สามารถพาตัวคนไปจากลั่วเทียนเหอได้ แต่เจ้าเมืองของเมืองทั้งสองก็ไม่มีทางมองดูคนที่อยู่ในความคุ้มครองของตัวเองถูกบังคับให้สารภาพโดยไม่ทำอะไรได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ไม่มีทางปล่อยให้ประธานหอการค้าทั้งสองคนเที่ยวพูดอะไรส่งเดชได้ ทั้งสองคนทำการค้าอยู่ในเมืองทั้งสองมานานหลายปี พวกข้อตกลงลับๆ ไม่รู้ว่าทำมาแล้วมากน้อยเท่าไร ถ้าพวกเขาเที่ยวพูดอะไรส่งเดชออกไป มันอาจจะทำให้เมืองฝูปอกับเมืองเทียนกู่เกิดความวุ่นวายได้
ดังนั้นเจ้าเมืองทั้งสองคนไม่มีทางปล่อยให้ใครมาแอบทำอะไรกับสองคนนี้ได้ ยืนกรานที่จะยัดคนให้มาคอยดูการสอบสวน แต่ก็เพียงแค่คอยดูเท่านั้น ไม่ได้ไปแทรกแซงการทำคดีของพวกเขา
เรื่องนี้ ลั่วเทียนเหอจะไม่รับปากก็ไม่ได้ เพราะทุกคนต่างเป็นขุนนางระดับเดียวกัน กุมอำนาจในระดับเดียวกัน หากคุณกล้าทำ ผมก็กล้าทำเช่นกัน ผมเองก็สามารถจับคนของเมืองปู๋เชวี่ยด้วยข้อหาที่เหลวไหลได้เหมือนกัน
กติกาซ่อนเร้นบางอย่าง ต่อให้เป็นลั่วเทียนเหอก็จำเป็นต้องเคารพเช่นเดียวกัน นอกเสียจากไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ยอมแตกหักกับคนอื่นๆ
บางสิ่งบางอย่างนั้นสามารถรักษาสมดุลซึ่งกันและกันได้ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ด้วยเช่นกัน เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกคนเคารพกฎกติกา
เหิงเทาโบกมือ ผู้พิทักษ์เมืองที่คุมตัวคนเข้ามารีบถอยออกไปทันที
ภายในห้องสอบสวนเงียบสงัด ไม่มีใครอื่น ดูแล้วก็ไม่คล้ายว่าจะทำการสอบสวนด้วย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร โจวหม่านเชากับพานชิ่งอดมองหน้ากันไม่ได้ ตามหลักแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีทางฆ่าคนปิดปาก เพราะทางเมืองปู๋เชวี่ยไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องฆ่าพวกเขาปิดปาก
ภายใต้แสงไฟสลัว เหิงเทาลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าทั้งสองคน กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสอบสวนร่วม เพราะผมไม่ได้คิดจะสอบสวนพวกคุณ อย่างไรเสียพวกคุณก็ไม่มีทางเปิดปาก จับพวกคุณขังไปแบบนี้เรื่อยๆ ดีจะตาย จนถึงตอนนี้แล้ว ทั้งเมืองฝูปอกับเมืองเทียนกู่ ทั้งตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่ต่างก็ไม่สามารถพาตัวพวกคุณออกไปได้ พวกคุณยังไม่รู้จุดจบของตัวเองอีกเหรอ? เมืองปู๋เชวี่ยขังพวกคุณเอาไว้ได้ทั้งชีวิต ขังพวกคุณเอาไว้จนตายได้!”
พานชิ่งกล่าว “หัวหน้าเหิง อย่ามาขู่พวกเราเลยครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ย พวกเราไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ต่อให้คุณจะพยายามยังไงก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้หรอกครับ”
โจวหม่านเชาพยักหน้าเงียบๆ ถ้าไม่พูดก็ยังมีโอกาสรอด แต่ถ้าพูดไปแล้ว นั่นต่างหากถึงจะเป็นอันตรายต่อชีวิตจริงๆ ต่อให้ตีพวกเขาจนตาย พวกเขาก็ไม่มีทางรับสารภาพ
ถูกต้อง ที่เหิงเทาพูดเช่นนี้เพราะต้องการขู่อีกฝ่าย ภายในใจยังหวังว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ทั้งสองคนสารภาพออกมาได้ เพราะถ้าทั้งสองสารภาพออกมาจริงๆ ล่ะก็ หลายๆ เรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอะไรอีก แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ต่อให้พูดแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งสองคนนี้เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
เหิงเทาจึงเปลี่ยนท่าทีทันที “เดิมทีก็คิดจะขังพวกคุณเอาไว้จนตายนั่นแหละ แต่ที่บ้านพวกคุณเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ท่านเจ้าเมืองมีเมตตา ก็เลยเตรียมจะปล่อยพวกคุณ”
ทั้งสองคนทั้งตกใจทั้งสงสัย โจวหม่านเชาลองถามหยั่งเชิงว่า “ที่บ้านพวกเราเกิดเรื่อง?”
เหิงเทาทำสีหน้าประหลาดใจ “อะไรกัน หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เจ้าหน้าที่เซียนสี่คนที่มาเยี่ยมพวกคุณบ่อยๆ ไม่ได้บอกอะไรพวกคุณเลยเหรอ?”
ทั้งสองคนสบตากัน พานชิ่งเอ่ยว่า “เรื่องอะไร?”
เหิงเทาถอนใจ “ดูเหมือนพวกคุณจะไม่รู้จริงๆ ประธานของหอการค้าตระกูลโจวในตอนนี้คือเผิงซี ประธานของหอการค้าตระกูลพานในตอนนี้คือสวีเฉียน ตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวสนับสนุนพวกเขาขึ้นมาเป็นประธานแล้ว”
พานชิ่งกับโจวหม่านเชาต่างดวงตาเบิกโพลง สองตระกูลใหญ่สนับสนุนคนอื่นขึ้นมาเป็นประธาน นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าจะเขี่ยพวกเขาทิ้งอย่างนั้นเหรอ!”
เหิงเทากล่าวต่อว่า “เพื่อที่จะขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานหอการค้าแล้ว เผิงซีถึงกับฆ่าหานชิงเอ๋อร์และเมิ่งซู่ ส่วนสวีเฉียนก็ฆ่าภรรยาตัวเอง หรือก็คือลูกสาวของคุณประธานพาน แต่ไม่ใช่แค่คนเดียวนะ สวีเฉียนฆ่าลูกสาวทั้งสองคนของคุณหมดเลย นี่นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าหดหู่จริงๆ ท่านเจ้าเมืองทนไม่ไหว ก็เลยจะให้โอกาสพวกคุณกลับไปจัดการเรื่องวุ่นวาย”
พานชิ่งกับโจวหม่านเชาหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา สีหน้าท่าทางคล้ายไม่อยากจะเชื่อ
พานชิ่งเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “หัวหน้าเหิง อย่าใช้แผนนี้มาหลอกพวกเราเลย”
เหิงเทากล่าว “ผมบอกแล้วว่าจะปล่อยพวกคุณก็ย่อมต้องปล่อยพวกคุณ ส่วนจะจริงหรือไม่นั้น เดี๋ยวพวกคุณกลับไปดูก็รู้เอง ที่ผมมาหาพวกคุณก็เพราะหวังดีกับพวกคุณ เห็นสภาพทางด้านนั้นของพวกคุณแล้ว กลัวว่าคงจะมีหลายคนที่ไม่อยากให้พวกคุณรอดชีวิตกลับไป ผมไม่อยากให้พวกคุณต้องมาตายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย ก็เลยจะปล่อยพวกคุณกลับไป แล้วก็กลัวว่าพวกคุณจะถูกคนลอบฆ่าที่นี่ด้วย เดี๋ยวถึงตอนนั้นพวกเราจะอธิบายได้ลำบากอีก พวกคุณสองคนรอเดี๋ยว อีกเดี๋ยวผมจะให้คนมาปลอมตัวให้พวกคุณ ให้พวกคุณแต่งตัวเป็นผู้พิทักษ์เมือง แล้วแอบส่งพวกคุณกลับไปเงียบๆ หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานในตอนนี้ไม่ใช่ของพวกคุณสองคนอีกแล้ว จะทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป ไม่เหลียวหน้ากลับมาอีก
จะปล่อยพวกเขากลับไปจริงๆ เหรอ? ถ้าเป็นความจริง อย่างนั้นที่อีกฝ่ายพูดมา….
พานชิ่งและโจวหม่านเชาไม่กล้าจินตนาการถึงโศกนาฏกรรมที่กำลังจะต้องเผชิญ สองมือที่กำแน่นสั่นเทาขึ้นมา
…..
หลินยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนอน ข้างกายมีแสงสีทองและสีดำหมุนวนขึ้นมาลางๆ
ลู่หงเยียนที่เฝ้าอยู่ข้างๆ นอนหงายด้วยใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง ผมยาวประบ่า กระโปรงยาวเบาบาง เท้าที่เปลือยเปล่าขดอยู่ตรงมุมหนึ่งของโซฟา ในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ กำลังอ่านอะไรบางอย่าง นั่นคือข้อมูลที่เหิงเทาส่งมา
ในตอนที่อ่านเจอข้อมูลที่น่าสนใจบางอย่าง ลู่หงเยียนพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับไปมองดูหลินยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
เธอได้เห็นคำให้การบางอย่างที่ทางผู้พิทักษ์เมืองทำการสอบสวนตระกูลฉินเอาไว้ ในนั้นได้เผยให้เห็นว่าหลินยวนกับฉินอี๋เคยมีความสัมพันธ์กันเมื่อในอดีต แล้วก็เป็นสาเหตุว่าทำไมฉินอี๋ที่ยังไม่หมดรักถึงเอาหลินยวนเข้าไปทำงานในหอการค้าตระกูลฉิน
ตอนอยู่ที่เมืองหลวง เธอเคยจับตาดูหอการค้าตระกูลฉินอยู่ ยิ่งเมื่อมีเรื่องการประมูลที่เกิดขึ้นในภายหลัง เธอก็ยิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพียงแต่เธอไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าท่านอ๋องกับฉินอี๋จะเคยเป็นคนรักกัน
เมื่อเห็นหลินยวนกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียร เธอจึงไม่ได้รบกวน แต่หลังจากได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นไปเรื่อยๆ มันก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ลู่หงเยียนรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างมาก เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินที่เข้าร่วมการประมูลถูกคนติดกล้องวงจรปิดเอาไว้!
……………………………………………………