ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 16 กฎที่เข้มงวด
ตอนที่ 16 กฎที่เข้มงวด
ไป๋หลิงหลงงุนงง ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาที่ประธานผู้นี้ขอบัตรพนักงานของหลินยวนมาแล้ว ที่แท้ที่สั่งให้เพิ่มอาหารมาอีกสองอย่างก็เพื่อการนี้นี่เอง
เธอรู้จักฉินอี๋ดี รู้ว่าฉินอี๋ฝึกฝนตัวเองจนตอนนี้กลายเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวไม่โลเล พูดแล้วต้องทำ เธอจึงได้แต่ต้องรีบก้าวเดินออกไป
ห้องทำงานของไป๋หลิงหลงอยู่ตรงปากทางเข้าของห้องทำงานห้องนี้
หลังออกไปครู่หนึ่ง ไป๋หลิงหลงก็สืบเท้ากลับเข้ามาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอเดินไปตรงหน้าต่างพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ให้คนไปตรวจดูมาแล้วค่ะ พวกเขาไปที่โรงอาหารชั้นมนุษย์อย่างที่ท่านประธานเดาไว้จริงๆ ค่ะ”
ฉินอี๋รีบหมุนตัวไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงาน เท้าทั้งสองข้างสวมกลับเข้าไปในรองเท้าส้นสูง ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ปะ ไปดูกันหน่อย”
ไป๋หลิงหลงงุนงง “จู่ๆ ท่านประธานลงไปแบบนี้ มันจะเหมาะหรือคะ?”
“ไปตรวจดูคุณภาพอาหารของพนักงานระดับล่างหน่อยจะมีปัญหาอะไร?” ฉินอี๋กล่าวทิ้งท้ายพลางก้าวอาดๆ ออกไป รวดเร็วปานสายลม
เหตุผลนี้ทำเอาไป๋หลิงหลงหมดคำพูดไปเลยทีเดียว เธอได้แต่ต้องรีบก้าวตามไป จะเสียดายก็แต่อาหารเลิศรสที่เตรียมเอาไว้
ฉินอี๋มาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงอาหารชั้นมนุษย์ ไป๋หลิงหลงได้ไปทำการตรวจสอบมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เข้าไปในโรงอาหาร เธอจึงมองเห็นตำแหน่งที่หลัวคังอันและหลินยวนนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว
หลัวคังอันพูดคุยยิ้มแย้มอย่างสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาวสวยนั้นไม่แปลกอะไร ทางนี้พอจะคาดเดาได้ว่าหลัวคังอันต้องมาที่นี่ ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
แต่ปัญหาสำคัญคือหลินยวน คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคุยกับสาวสวยคนหนึ่งอย่างสนิทสนม ทั้งสองคนศีรษะแนบชิด พูดคุยกระซิบกระซาบกันจนใบหน้ากับปากแทบจะติดกันอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น บนใบหน้าของหลินยวนยังมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันถึงได้มีความสุขขนาดนั้น
นับตั้งแต่ที่ได้พบกันอีกครั้งหลังกลับมา ไป๋หลิงหลงก็ไม่เคยเห็นหลินยวนยิ้มมาก่อน เทียบกับเด็กที่ดื้อซนเมื่อในอดีตคนนั้นแล้วมีความเงียบขรึมขึ้นมาก ทว่าตอนนี้บนใบหน้าเขากลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากใจ
นี่มัน? ไป๋หลิงหลงแอบเหลือบมองสีหน้าของฉินอี๋ในทันที ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว ตัวฉินอี๋มีความคิดอย่างไรก็ได้บอกกับเธอจนหมดแล้ว เป้าหมายชัดเจนเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนประเภทที่เสียอะไรไปก็ต้องเอากลับมาด้วยตัวเองให้ได้ กล้าแย่งผู้ชายของเธอหรือ?
แต่เธอก็รู้ว่าไม่อาจโทษหญิงสาวผู้นั้นได้ ความจริงแล้วทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยจะมีอยู่สักกี่คนที่ทราบถึงความสัมพันธ์ของฉินอี๋กับหลินยวน? ผู้หญิงทั่วไปมีใครบ้างไม่อยากได้ผู้ชายที่ตัวเองพึงพอใจ มีใครบ้างไม่อยากได้คนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ผู้หญิงคนนั้นไม่ทราบเรื่องนี้ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกัน
ฉินอี๋จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแค่สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก้าวอาดๆ ออกไปข้างหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “กินข้าว!”
ไป๋หลิงหลงแอบยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ข้าวมื้อนี้ยังจะกินอร่อยอยู่ไหมเนี่ย?
“ท่านประธาน….” คนที่นั่งกินข้าวอยู่พากันตกใจอย่างมาก รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
ฉินอี๋เดินไปพลาง ทำมือกดมือลงไปพลาง บอกให้คนที่จะลุกขึ้นยืนนั่งกลับลงไป ไม่ให้พวกเขาทำอะไรเอิกเกริกวุ่นวาย
ไป๋หลิงหลงเหลียวหน้ากลับไปมองอีกด้านหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยกับสาวสวยจนลืมตัวจะไม่สังเกตเห็นฉินอี๋ที่เดินเข้ามา
แต่ก็แน่นอนล่ะ นั่นเป็นเพราะโรงอาหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่อย่างมาก
ตรงช่องสั่งอาหาร ฉินอี๋ทำเหมือนว่ากำลังตรวจดูอาหาร ทำเอาเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องรีบวิ่งเข้ามา คอยเดินตามต้อยๆ อย่างกระวนกระวาย ด้วยกลัวว่าถ้าทำให้ฉินอี๋ไม่พอใจ ตนจะต้องตกงาน
ทั่วทั้งตระกูลฉินมีใครไม่รู้บ้างว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยใจอ่อนเวลาที่เตะคนออกไปจากตระกูลฉิน พูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือมีความเด็ดขาด ถ้าพูดให้ฟังดูแย่ก็คือเธอวางอำนาจบาตรใหญ่เสียยิ่งกว่าฉินเต้าเปียนที่เป็นพ่อของเธอเสียอีก!
โชคดีที่ฉินอี๋ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรออกมา ทั้งยังเอ่ยชมด้วยว่าไม่เลว หลังจากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกว่าเธอจะกินข้าว ไป๋หลิงหลงจึงรีบจัดการในทันที
หลังยกอาหารออกมา เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบบอกว่าจะช่วยเหลือ แต่ฉินอี๋กลับบอกว่าไม่ต้อง ให้เขาไปทำงานของตัวเอง ส่วนตัวเธอเดินตรงไปทางหลัวคังอันกับหลินยวนโดยไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ทั้งสองคนไม่ได้รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หลินยวนยังคงพูดคุยกระซิบกระซาบอยู่กับกวนเสี่ยวชิง “คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายเธอทำอะไร?”
กวนเสี่ยวชิงกล่าวว่า “เปิดร้านรับซื้อของเก่าอยู่ใกล้ๆ บ้านค่ะ ก็ถือว่าอิสระดี”
หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วอยู่ในตระกูลฉินเธอทำอะไร?”
กวนเสี่ยวชิงตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในที่สุดเขาก็ถามถึงเธอแล้ว ภายในใจคาดหวังว่าชายคนนี้จะสามารถช่วยเหลือเธอได้ “วิเคราะห์ข้อมูลอยู่ที่แผนกสถิติค่ะ เทียบกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ…น่าเบื่อมาก” ประโยคสุดท้ายแสดงถึงความไม่พอใจนิดๆ ภายในใจคาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจหน่อย
ทว่าหลินยวนไม่ได้กล่าวอะไรในสิ่งที่เธออยากได้ยินออกมา ตอนนี้เขาก็ยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะไปพูดอะไรได้? เพียงแค่พยักหน้าเงียบๆ เท่านั้น
กวนเสี่ยวชิงไม่ยอมแพ้ ถามหยั่งเชิงออกไปอีกว่า “แล้วคุณทำตำแหน่งอะไรในหอการค้าหรือคะ?”
หลินยวนเอียงศีรษะไปทางคนที่อยู่ข้างๆ เล็กน้อย กล่าวว่า “ผู้ช่วยเขา”
“ผู้ช่วย?” กวนเสี่ยวชิงไม่เข้าใจ ชะโงกหน้ามองดูหลัวคังอันเล็กน้อย ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลัวคังอันทำงานอะไร
ในเวลานี้เอง หลินยวนกับหลัวคังอันก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ พวกเขาพบว่าจู่ๆ เหล่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีท่าทางดูหวาดกลัวขึ้นมา ทยอยพากันลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไร
พวกเขาสองคนรวมไปถึงคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกันเหลียวหน้ากลับไปมอง ก่อนจะมองเห็นฉินอี๋กับไป๋หลิงหลงที่เดินถือถาดอาหารเข้ามา
พรึบ! ทุกคนที่นั่งอยู่ในเก้าอี้แถวนี้ต่างกระเด้งตัวขึ้นยืนราวกับก้นถูกติดสปริงเอาไว้อย่างนั้น
หลัวคังอันเองก็เช่นเดียวกัน เขารีบลุกขึ้นยืน หมุนตัวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม กล่าวว่า “ท่านประธาน มาได้ยังไงครับเนี่ย?”
ฉินอี๋หยุดฝีเท้า ไม่ได้บอกให้คนที่โต๊ะนี้นั่งลง เพียงแต่ก้มลงมองดูคนที่ยังนั่งอยู่คนนั้น
ภายในใจหลินยวนรู้สึกเบื่อหน่าย หันมองซ้ายมองขวา พบว่าทุกคนต่างลุกขึ้นยืน หากเขาทำอะไรผิดแผกไป มันก็คล้ายจะดูสะดุดตาเกินไป ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนเช่นกัน ภายในใจบ่นพึมพำ นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ไป๋หลิงหลงย่อมต้องให้ความร่วมมืออย่างรู้งาน เธอยิ้มพลางช่วยฉินอี๋อธิบายด้วยเหตุผลที่เหมาะสมว่า “ท่านประธานมาตรวจดูว่าอาหารการกินของทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง คิดไม่ถึงว่าคุณหลัวจะอยู่ที่นี่เช่นกัน ก็เลยเดินเข้ามา”
กวนเสี่ยวชิงที่ตื่นเต้นเล็กน้อยไม่รู้ว่าตนเองคิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกเหมือนสายตาของท่านประธานจะจับจ้องมาที่ตัวเองเป็นพิเศษ
ถูกต้อง จับจ้องเป็นพิเศษจริงๆ ฉินอี๋สังเกตดูใบหน้าของเธอเล็กน้อย แล้วก็ยังสำรวจดูเรือนร่างของเธอด้วย
ความคิดภายในใจฉินอี๋นั้นตรงไปตรงมา เธออยากรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีอะไรดี ถึงได้ดึงดูดความสนใจของหลินยวนเอาไว้ได้?
แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ อย่างน้อยสำหรับตัวเธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายมีอะไรพิเศษ จึงกล่าวกับทุกคนว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหลัวนิดหน่อย รบกวนทุกคนช่วยออกไปก่อนได้ไหม?”
ทุกคนไหนเลยจะกล้าบอกว่าไม่ได้ ต่างคนต่างรีบยกถาดอาหารแล้วลุกออกไปอย่างเงียบๆ
หลินยวนมองซ้ายมองขวา ส่งสายตาให้กวนเสี่ยวชิง ก่อนจะยกถาดอาหารขึ้นมาเช่นกัน เตรียมจะไปคุยกันต่ออีกด้านหนึ่ง
ไป๋หลิงหลงรู้สึกหมดคำพูด อยู่ต่อหน้าต่อตาฉินอี๋แท้ๆ ยังกล้าส่งสายตาให้ผู้หญิงอื่นต่ออีกอย่างนั้นหรือ?
เธอพบว่ากวนเสี่ยวชิงเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย พยักหน้าตอบรับหลินยวนอย่างรู้ใจกัน คล้ายกำลังบอกเขาให้ตามเธอไปอย่างไรอย่างนั้น
หางตาของฉินอี๋กวาดมองทันที ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “นายเองก็ต้องอยู่ด้วย เรื่องนี่เกี่ยวกับนาย”
เท้าของหลินยวนหยุดชะงัก จะไปก็ไม่ใช่ จะอยู่ก็ไม่เชิง เขาเป็นคนที่อยากอยู่อย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกต แล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะขัดคำสั่งต่อหน้าทุกคน จึงได้แต่ต้องส่งสายตาขอโทษไปทางกวนเสี่ยวชิง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป วางถาดอาหารลงไปอีกครั้ง
กวนเสี่ยวชิงเห็นเช่นนั้นจึงส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นเดินออกไป แต่ภายในใจยังคงรู้สึกดีใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคุณหลินผู้นี้ก็ใกล้ชิดกับท่านประธานเช่นกัน
เวลานี้เธอมีความคิดขึ้นมาว่าถ้าหากคุณหลินผู้นี้สนิทสนมกับพี่ชายของตนจริงๆ ล่ะก็ ไว้กลับไปแล้วจะต้องให้พี่ชายขอร้องให้เขาช่วยดูแลตนเสียแล้ว
ไป๋หลิงหลงเหลือบมองดูกวนเสี่ยวชิงอยู่หลายครั้ง หัวคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินอี๋ขยับตัว เดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก้มหน้าก้มตาทานข้าว ไป๋หลิงหลงเดินไปยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
หลัวคังอันกับหลินยวนมองหน้าสบตากัน สุดท้ายก็นั่งลงไปโดยมีหลัวคังอันเป็นผู้นำ
แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเอ่ยอะไรออกมา หลัวคังอันจึงเป็นฝ่ายลองถามออกไปว่า “ท่านประธาน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับ?”
ฉินอี๋ค่อยๆ กลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไป จากนั้นถึงจะเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูทั้งสองคน “ไม่มีอะไร แค่อยากถามพวกคุณว่าทำงานด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง?”
แค่นี้เนี่ยนะ! หลัวคังอันหัวเราะเหอะๆ ออกมาทันที กล่าวว่า “ดีครับ! ผมกับน้องหลินพบกันครั้งแรกก็คุยกันถูกคอเหมือนเพื่อนเก่า เชื่อว่าหลังจากนี้จะต้องทำงานอย่างรู้ใจกันแน่นอน พวกเราจะไม่ทำให้ท่านประธานกับหอการค้าผิดหวังแน่นอนครับ นายว่าจริงไหม น้องหลิน?” ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นมาตบไหล่หลินยวน
หลินยวนไม่ชอบนิสัยที่เอะอะก็ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของคนผู้นี้ แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับไปอย่างงุนงงเพื่อบอกว่าเห็นด้วย
ฉินอี๋เองก็ส่งเสียงอืม กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ต่อไปก็ทำงานร่วมกันให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาด”
หลัวคังอันรับปากอย่างหนักแน่น “ไม่มีครับ ไม่มี เราจะต้องทำให้ท่านประธานพอใจแน่นอนครับ”
ฉินอี๋กล่าว “เรื่องงานของพวกคุณ ตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยให้ภายในหอการค้ารับทราบอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเรื่องที่ไม่ควรพูดก็อย่าได้เที่ยวพูดออกไป” จากนั้นใช้ข้ออ้างนี้หันกลับไปพูดกับไป๋หลิงหลงว่า “เราแบ่งระดับโรงอาหารเพื่ออะไร? สวัสดิการนั่นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับทางธุรกิจเล็ดรอดออกไปจากการพูดคุยที่ไม่ระวัง อีกเดี๋ยวกลับไปแล้วให้ทางหอการค้าประกาศแจ้งให้ทุกคนทราบ ให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามกฎการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด ใครถือบัตรพนักงานระดับไหนก็ให้ไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารระดับนั้น หากไม่มีเหตุจำเป็นห้ามวิ่งวุ่นไปใช้โรงอาหารระดับชั้นอื่น”
หลัวคังอันหมดคำพูด ฟังออกว่าเธอกำลังหมายถึงพวกเขาที่วิ่งวุ่น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะเดียวกันก็รู้สึกจนปัญญาด้วยเช่นกัน ทันทีที่กฎนี้ออกมา ต่อไปเขาก็ไม่มีโอกาสมาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติของมวลหมู่ดอกไม้อีก
หลินยวนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาไม่รู้สึกอะไร ไม่มีความคิดใดๆ ต่อเรื่องนี้ เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะมาอยู่แล้ว
ไป๋หลิงหลงยิ้มเล็กน้อยพลางตอบรับ “ได้ค่ะ กลับไปจะแจ้งให้ดำเนินการค่ะ”
แต่หลัวคังอันกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ผู้ช่วยไป๋ น้องหลินยังไม่ได้บัตรพนักงานเลยนะครับ”
ไป๋หลิงหลงมองปฏิกิริยาของฉินอี๋เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่ถือบัตรอยู่ในมือไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เธอจึงตอบกลับไปทันทีว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเร่งให้พวกเขารีบจัดการให้ค่ะ”
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดต่อหน้าคนอื่นๆ ได้อีก
ฉินอี๋เองก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารอะไรเช่นกัน เธอเพียงแค่กินรองท้องนิดหน่อย จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไป ไม่มีการบอกกล่าวใดๆ กับทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแม้แต่คำเดียว เดินจากไปท่ามกลางสายตาที่หวาดกลัวของเหล่าพนักงาน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็เดินออกไปแล้ว หลัวคังอันจึงถอนใจออกมา กล่าวเหน็บแนมเสียงเบาๆ กับหลินยวนว่า “ผู้หญิงคนนี้ ถูกที่บ้านตามใจจนเสียนิสัย คงจะบ้าอำนาจจนเคยตัว ผู้ชายคนไหนจะไปทนเธอไหว? ใครแต่งไปซวยตายเลย!”
หลินยวนไม่ตอบรับ แล้วก็ไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนจะกินหรือไม่กินอาหารก็ได้ แต่ถูกฉินอี๋ทำลายบรรยากาศไปแบบนี้แล้ว หลัวคังอันเองก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าวอีก เขาถามหลินยวนว่าจะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็ไป
ก่อนไป หลัวคังอันก็ไม่ลืมไปพูดคุยกับจูเก่อม่านอีกสองสามประโยค
ส่วนกวนเสี่ยวชิงก็เป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาหลินยวน นัดหมายที่จะเลิกงานด้วยกันอีกครั้ง
…….
ไป๋หลิงหลงที่สืบทราบทำความเข้าใจสถานการณ์บางอย่างมาแล้วกลับมายังห้องทำงานของตัวเองแล้วนั่งลงไป หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็กดปุ่มที่อยู่บนโต๊ะปุ่มหนึ่ง
ไม่นาน ซูเฉี่ยวหลินที่เป็นผู้ช่วยก็รีบวิ่งเข้ามาข้างใน
ไป๋หลิงหลงกล่าวตรงๆ ว่า “ให้ผู้จัดการหวังที่แผนกสถิติมานี่หน่อย”
“ค่ะ” ซูเฉี่ยวหลินรีบไปจัดการ
ผ่านไปไม่นาน หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาดูสวยสง่าคนหนึ่งก็เคาะประตูเดินเข้ามา เธอคือผู้จัดการหวังจากแผนกสถิติ
ไป๋หลิงหลงผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่ง ผู้จัดการหวังรีบนั่งลงไปตรงหน้าเธออย่างเรียบร้อย แต่ภายในใจกลับรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าการที่เรียกเธอมาในเวลานี้มีเรื่องอะไร
เธอรีบครุ่นคิดถึงงานที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็ทำการครุ่นคิดมาแล้ว คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
……………………………………………………..