ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 150 ตอนนี้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก
ตอนที่ 150 ตอนนี้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก
ณ คฤหาสน์ตระกูลเผิง รถสองสามคันแล่นเข้ามา เผิงซีที่ใบหน้าคร่ำเคร่งและอารมณ์ภายในใจปั่นป่วนก้าวลงมาจากรถ
หลังจากเข้าไปในบ้านเขายังคงทำเหมือนเดิม ไปกล่าวทักทายแม่ของตนเองก่อน หลายวันนี้เขาต้องจัดการธุระอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลโจว แทบจะไม่ได้กลับมาเลย
ผลปรากฏว่าขณะที่เพิ่งจะได้พบหน้าผู้เป็นแม่และกล่าวทักทายไป เขาก็เห็นโจวหม่านอวี้ไล่คนอื่นออกไปอย่างมีลับลมคมใน
เผิงซีเห็นเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะเห็นว่าโจวหม่านอวี้มีท่าทีลุกลี้ลุกลน จึงเข้าไปประคองแขนผู้เป็นแม่ทันที เอ่ยถามว่า “คุณแม่เป็นอะไรครับ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
โจวหม่านอวี้สลัดแขนออกจากมือเขา เดินไปที่ประตูอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ก่อนจะเดินกลับมาแล้วกล่าวถามว่า “จู่ๆ ลูกก็กลับมา เรื่องของน้าเป็นยังไงบ้าง เขากลับมาหรือยัง?”
เผิงซีนึกว่าเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชาย จึงส่ายศีรษะพลางถอนใจ เอ่ยว่า “ถ้าเป็นฝีมือของหอการค้าทั่วๆ ไป ทางเราคงมีหลายวิธีให้จัดการ แต่นี่เป็นฝีมือของทางการ อีกทั้งท่าทียังแข็งกร้าวอย่างมากด้วย หอการค้าตระกูลโจวไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ ท่าทีของทางตระกูลกงหู่เองก็ดูคลุมเครือ เกรงว่าตอนนี้คุณน้าคงยังออกมาไม่ได้ครับ แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตามหลักแล้วทางเมืองปู๋เชวี่ยเองก็ไม่มีทางกล้าสังหารคนส่งเดชเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางอธิบายกับทางสภาเซียนได้ ตอนนี้คุณน้าน่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพียงแต่ต้องอดทนอยู่ที่นั่นไปสักระยะก่อน”
ความจริงเรื่องที่โจวหม่านอวี้เป็นกังวลไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เธอก็ฟังเขาพูดไป จากนั้นจู่ๆ พลันขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ลูกชาย กล่าวกระซิบว่า “ซีเอ๋อร์ ลูกบอกแม่มาตามตรง ถ้าเกิดน้าของลูกกลับมาไม่ได้ ลูกมีวิธีทำให้ตัวเองได้นั่งในตำแหน่งประธานหอการค้าตระกูลโจวหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้กงหู่จ้าวเพิ่งจะพูดเรื่องที่ให้เขาเป็นประธานหอการค้าไป ตอนนี้จู่ๆ แม่ของเขายังมาพูดเรื่องนี้กับเขาอีก เผิงซีพลันเกิดความระแวงขึ้นมา “คุณแม่ มีคนมาพูดอะไรกับคุณแม่หรือเปล่าครับ?”
ในเวลานี้จะไม่ให้เขาระแวงก็คงไม่ได้ แม่ของตัวเองเป็นคนอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้ เธอไม่ใช่คนที่มีความสามารถจะทำอะไรเป็นจริงเป็นจังได้ ได้แต่โหวกเหวกโวยวายเท่านั้น ถ้าเกิดเธอทำอะไรเหลวไหลขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่มีทางรอดพ้นหูตาของน้าชายไปได้
โจวหม่านอวี้ทั้งดูกระวนกระวาย แล้วก็ดูลับๆ ล่อๆ
สุนัขไม่รังเกียจบ้านจน บุตรไม่รังเกียจมารดาอัปลักษณ์ คำว่า ‘อัปลักษณ์’ ในที่นี้สามารถสื่อถึงความสามารถในด้านอื่นได้ด้วย ถึงแม้ในเรื่องบางเรื่องแม่ของตนจะไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่เผิงซีก็ยังกตัญญูต่อเธอ รู้ว่าแม่ของเธอทำอะไรมากมายเพื่อเขา หลายปีมานี้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่เคยหาผู้ชายคนอื่นมาก่อน
เขาเองก็เคยเกลี้ยกล่อมแม่ของตนแล้ว บอกว่ากฎหมายดินแดนเซียนยังมีความปราณีอยู่ ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวมากนัก ให้แม่ไปหาผู้ชายดีๆ สักคน เขาไม่มีทางว่าอะไร เขาถึงขนาดเคยหาผู้ชายที่เขาคิดว่าเหมาะสมมาแนะนำให้แม่ด้วย เพราะกลัวว่าแม่จะเขินอาย
แต่เพื่ออนาคตของเขา แล้วก็เพื่อศักดิ์ศรีของตน แม่เขายังคงยืนกรานไม่หาคู่ครองอีก อยู่เป็นโสดมานานขนาดนี้มันจะไปรู้สึกดีได้อย่างไร?
เขาไม่สะดวกที่จะบีบบังคับอะไรแม่ของตน จึงเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
“ซีเอ๋อร์!” โจวหม่านอวี้ตะโกนเรียก แต่ก็ไม่อาจรั้งเขาเอาไว้ได้
จากนั้นครู่หนึ่งเผิงซีก็กลับมา ที่เขาออกไปนั้นไม่ใช่อะไร หากแต่ออกไปถามดูว่าวันนี้มีใครมาที่บ้าน พอได้คำตอบเขาก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้ จึงกลับมาถามผู้เป็นแม่ทันทีว่า “คุณแม่ ฉวีเซียนเซียนมาพูดอะไรกับแม่หรือครับ?”
โจวหม่านอวี้อ้ำๆ อึ้งๆ “ไม่ได้พูดอะไร”
เผิงซีกล่าวเสียงคร่ำเคร่ง “คุณแม่ ในเวลานี้คนจ้องจะเล่นงานพวกเราอยู่เยอะแยะมากมาย จะปล่อยให้เขามาหลอกใช้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้พูดอะไรจริงๆ หรือครับ?”
โจวหม่านอวี้กล่าวอึกๆ อักๆ “ใช่ เธอพูด แต่แม่รู้น่า เธอจะมาคิดร้ายอะไรกับแม่ได้ล่ะ เธอก็แค่หวังดี อีกอย่าง แม่สาบานเอาไว้แล้ว แม่พูดไม่ได้”
เผิงซีกล่าว “ถ้าคำสาบานมันมีประโยชน์จริงๆ โลกนี้ไหนเลยจะยังมีผิดชอบชั่วดีอะไรนั่นอีกล่ะครับ โลกมันคงจะสงบไปนานแล้ว! คุณแม่ครับ เธอมาพูดอะไรกับคุณแม่กันแน่ครับ?”
เมื่อเห็นแม่ไม่ยอมหักหลังเพื่อน เผิงซีเองก็ไม่ได้ฝืนบีบบังคับแม่ตรงๆ หากแต่หันหน้ากลับไปตะโกนว่า “ใครก็ได้ เข้ามานี่หน่อย!”
ด้านนอกมีคนพุ่งตัวเข้ามาทันที เข้ามารับคำสั่ง
เผิงซีกล่าวเสียงเข้ม “ไปหาตัวฉวีเซียนเซียนคนนั้นมา หาเจอแล้วให้พาตัวมาหาฉัน ฉันไม่เชื่อว่าจะง้างปากเธอไม่ได้!”
ขณะที่คนที่เข้ามากำลังจะรับคำสั่ง โจวหม่านอวี้พลันตะโกนขึ้นมาว่า “หยุด!”
คนที่เข้ามามึนงง โจวหม่านอวี้โบกมือ “เธอออกไปก่อน”
คนที่เข้ามางุนงง มองไปทางนี้ที มองไปทางนั้นที ไม่รู้ว่าควรจะฟังคำสั่งของใคร
เผิงซีเอียงศีรษะให้เขาเล็กน้อย เขาถึงจะเดินออกไป
โจวหม่านอวี้เห็นลูกชายเอาจริง รู้ว่าฉวีเซียนเซียนไม่มีทางหลอกคนอย่างลูกชายเธอได้แน่ ตอนนี้ไม่พูด อีกประเดี๋ยวฉวีเซียนเซียนก็ต้องบอกลูกชายของตนอยู่ดี อย่างนั้นไม่สู้ตัวเองเป็นคนพูดดีกว่า ฉวีเซียนเซียนจะได้ไม่ต้องลำบากใจด้วย
“ซีเอ๋อร์ มีเรื่องเรื่องหนึ่งคุณน้าฉวีเขาก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เธอเองก็ฟังมาจากคนอื่นเหมือนกัน แต่เธอเห็นแก่มิตรภาพที่เธอมีกับแม่ ก็เลยมาบอกแม่ด้วยความหวังดี ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางพูดเรื่องแบบนี้กับคนอื่นหรอก”
เผิงซีถอนใจ เอ่ยว่า “คุณแม่ครับ เธอบอกอะไรคุณแม่กันแน่ครับ?”
โจวหม่านอวี้ดึงบุตรชายเข้าไปใกล้ๆ เผิงซีก้มหน้าลง ให้ปากของเธอกระซิบกระซาบอยู่ใกล้ๆ หูของตน
กระทั่งมารดาเล่าเรื่องที่โจวหม่านเชามีลูกอย่างลับๆ จนจบแล้ว สีหน้าเผิงซีพลันเปลี่ยนไปทันที ดูค่อนข้างสับสน
โจวหม่านอวี้กล่าวว่า “ลูกว่าเรื่องนี้มันจะจริงหรือเปล่า?”
เผิงซีสูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณแม่ครับ เรื่องนี้เป็นฝีมือหอการค้าตระกูลฉินครับ ฝ่ายนั้นคิดจะยุให้พวกเราแตกกัน เชื่อไม่ได้เด็ดขาดครับ!”
โจวหม่านอวี้กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “แต่ความสัมพันธ์ของเมิ่งซู่คนนั้นกับน้าของลูกก็ดูคล้ายจะไม่ค่อยปกติจริงๆ นะ อายุเพียงเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมาย ทำไมถึงได้รับความไว้วางใจจากน้าของลูกขนาดนั้น?”
เผิงซีไม่รู้ว่าควรจะว่าอะไรแม่ของตนดี นับว่าได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของฉินอี๋แล้ว พอมีข่าวลือเช่นนี้ออกมา ถ้าแม่ของตนอดใจไม่ไปสืบดูได้ก็แปลกแล้ว เขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็นว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ไม่ลองคิดดูบ้างล่ะครับ ถ้าไม่หาเรื่องน่าสงสัยอะไรมายุแยง แล้วมันจะทำให้คนเกิดความสงสัยได้อย่างไรล่ะครับ นี่ก็คือความชั่วร้ายของทางหอการค้าตระกูลฉินอย่างไรล่ะครับ!”
โจวหม่านอวี้ย้อนถาม “ทำไมลูกถึงมั่นใจว่ามันไม่จริงล่ะ?”
“ผม…” เผิงซีย่อมต้องรู้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง หากแต่เป็นเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินสร้างขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะเล่าเรื่องที่ตระกูลกงหู่จะให้เขาขึ้นเป็นประธานหอการค้าตระกูลโจวให้แม่ของตนฟังหรือเปล่า แต่เรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เขากลัวว่าแม่ของตนจะทำอะไรเหลวไหลจริงๆ จึงได้แต่ต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ของตนฟังอย่างใจเย็น
โจวหม่านอวี้มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง “ตระกูลกงหู่จะให้ลูกขึ้นเป็นประธานจริงๆ เหรอลูก?”
เผิงซีกล่าว “คุณแม่ครับ ผมบอกแล้วว่าผมปฏิเสธไปแล้ว แม่เองก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยครับ เรื่องราวมันซับซ้อนกว่าที่แม่คิดเอาไว้เยอะครับ หอการค้าตระกูลฉินเจอช่องโหว่ ก็เลยฉวยโอกาสลงมือ ใช้วิธีการชั่วร้าย ฆ่าคนไม่เห็นอาวุธ ตอนนี้หอการค้าตระกูลฉินเป็นฝ่ายโจมตี พวกเราเป็นฝ่ายตั้งรับ ตระกูลกงหู่เย่อหยิ่งอวดดี คุณน้าไม่อยู่ ขวัญและกำลังใจของคนเลยสั่นคลอน ไม่มีใครควบคุมสถานการณ์ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากครับ แม่อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มเลยนะครับ จำเอาไว้นะครับแม่ อดทนอยู่แต่ในบ้านสักระยะ อย่าออกไปข้างนอก แล้วก็อย่าเจอใคร” กล่าวจบก็จะเดินออกไป เพราะยังมีเรื่องราวให้ต้องจัดการ
ทว่าโจวหม่านอวี้กลับรั้งแขนเขาเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ซีเอ๋อร์ แม่รู้ว่าลูกกังวลอะไร ดังนั้นมีเรื่องบางเรื่องที่แม่ต้องพูดกับลูกตรงๆ ถูกต้อง เขาเป็นน้าของลูก แล้วก็เป็นพี่ชายของแม่ แต่การที่หอการค้าตระกูลโจวสามารถมีวันนี้ได้มันไม่ใช่เพราะน้าของลูกเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเจ้า หรือว่าตระกูลเผิงของเราก็ล้วนแต่มีส่วนช่วยไม่น้อย โดยเฉพาะพ่อของลูก หากไม่มีพ่อของลูกคอยช่วยให้หอการค้าตระกูลโจวรอดพ้นจากอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า หอการค้าตระกูลโจวก็คงไม่เติบโตจนมาถึงวันนี้ได้”
“ทั้งพ่อของลูก ลุงเขยของลูก หรือกระทั่งพี่หยวนเฉินของลูกก็ล้วนแต่สละชีวิตเพื่อหอการค้าตระกูลโจว เรียกได้ว่าหอการค้าตระกูลโจวแห่งนี้ไม่ใช่ของน้าชายของลูกเพียงคนเดียว ถ้าน้าชายของลูกกลับมาไม่ได้ ตามหลักแล้วหอการค้าตระกูลโจวแห่งนี้ก็ต้องตกเป็นของลูก ต่อให้เขากลับมา ต่อไปหอการค้าตระกูลโจวก็ควรจะเป็นของลูกเช่นกัน ต่อให้ลูกรับสืบทอดตำแหน่งประธานหอการค้าตระกูลโจวในตอนนี้ แล้วหลังจากนั้นเขากลับมา แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ? เขาเองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ส่งมอบหอการค้าตระกูลโจวให้ลูกเร็วหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย หรือว่าลูกจะอกตัญญูไม่ดูแลเขาได้? ถ้าลูกทำอย่างนั้นจริงๆ น้องสาวอย่างแม่เนี่ยแหละที่จะเป็นคนแรกที่ขัดขวางลูก!”
“แม่ไม่สนใจว่าข่าวลือนั่นจะเป็นความจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่สนใจว่าจะมีใครคอยยุแยงอะไรอยู่หรือเปล่า ไม่ว่ายังไงหอการค้าตระกูลโจวก็ไม่อาจตกอยู่ในมือคนนอกได้เด็ดขาด!”
“ซีเอ๋อร์ ลูกเข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า? ตอนที่ควรลงมือก็ต้องลงมือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่ก็จะสนับสนุนลูก ลูกเข้าใจใช่ไหม?”
เผิงซีย่อมต้องเข้าใจ แม่ของเขาแค่ไม่ได้พูดออกมาว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะชิงเอาตำแหน่งประธานหอการค้าตระกูลโจวมา แม่แค่ไม่ได้พูดออกมาว่าไม่อยากให้พี่ชายของตนกลับมาก็เท่านั้น
แต่เรื่องราวไหนเลยมันจะง่ายดายเหมือนอย่างที่แม่ของตนคิด คุณน้าบริหารหอการค้าตระกูลโจวมายาวนานหลายปี หอการค้าตระกูลโจวไม่ใช่กับข้าวที่ใครนึกจะหยิบกินก็กินได้ง่ายๆ
หากโลกนี้แย่งชิงตำแหน่งกันง่ายๆ อย่างนั้นจริง อย่างนั้นโลกไม่วุ่นวายแย่หรือ?
นี่ก็คือเหตุผลที่เมื่อครู่เขาลังเลว่าจะบอกแม่เรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินจะสนับสนุนตนเองขึ้นเป็นประธานหอการค้าตระกูลโจวดีหรือไม่ เขารู้ว่าทันทีที่ตัวเองพูดออกไป แม่ของตนจะต้องคิดมากแน่นอน แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิด
นี่ถ้าให้โอกาสแม่ของตนสักครั้งล่ะก็ เขาคิดว่าแม่ของตนคงจะแทงน้าชายจนตายได้เลย
เขาค่อนข้างกลัว กลัวว่าแม่จะทำอะไรเหลวไหล กลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นเรื่องราวมันจะวุ่นวายจนแก้ไขอะไรไม่ได้ จึงกล่าวปลอบใจแม่ของตนทันทีว่า “ที่แม่พูดมาผมเข้าใจครับ แม่วางใจได้ครับ ผมมีแผนของผมอยู่!”
โจวหม่านอวี้พยักหน้าหงึกๆ ตบมือลูกชายเบาๆ “แม่เชื่อในความสามารถของลูก!”
ในที่สุดเผิงซีก็ปลีกตัวออกมาจากแม่ได้ เขารีบเดินออกมาจากบ้าน เมื่อมาถึงลานหน้าบ้านก็เรียกคนมาคนหนึ่ง แอบสั่งการว่าให้ไปหาตัวฉวีเซียนเซียนคนนั้นมา จากนั้นง้างปากของเธอดูว่าพอจะไล่ตามเบาะแสอะไรได้ไหม
ถึงแม้จะรู้ว่ามีหวังไม่มาก แต่เขาก็ไม่อาจนั่งดูอยู่เฉยๆ ได้ เพราะถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ฉวีเซียนเซียนคนนี้ก็จะเป็นคำอธิบายที่เขาจะมอบให้น้าของเขา
……
ฟ้าสว่างแล้ว หลังจากที่รับโทรศัพท์สายหนึ่งเสร็จเรียบร้อย ไป๋หลิงหลงก็เดินมาที่ประตูห้องอาบน้ำ จากนั้นเปิดประตูห้องอาบน้ำออก ไอน้ำฟุ้งกระจายออกมาทันที
เมื่อเห็นประตูเปิดออก ฉินอี๋ก็เอื้อมมือไปปิดน้ำ ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบ
ไป๋หลิงหลงกล่าวรายงานทันทีว่า “ทางตระกูลเผิงกำลังหาตัวฉวีเซียนเซียนกันอยู่”
เรื่องราวเหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย จู่ๆ เผิงซีที่ไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาหลายวันก็กลับไปที่บ้าน
ฉินอี๋ก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า รับเอาผ้าเช็ดตัวมาจากมือไป๋หลิงหลง ก่อนจะเอ่ยว่า “โทรหาเผิงซี”
จากนั้นเดินไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงอ่างล้างหน้า หยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาเช็ดผมที่เปียกชุ่มของตน
โทรหาเผิงซี? ไป๋หลิงหลงงุนงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ทำตามคำสั่ง หลังโทรติดแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้ฉินอี๋
ฉินอี๋ยื่นมือออกไปเช็ดกระจกที่มีไอน้ำเกาะตัวเล็กน้อย รับเอาโทรศัพท์มา มองดูตัวเองในกระจกพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฉินอี๋พูด”
เสียงของเผิงซีดังลอดออกมาจากในโทรศัพท์ แค่นหัวเราะเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ฟังออกครับ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าประธานฉินจะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมได้”
ฉินอี๋ไม่ได้เอ่ยอ้อมค้อมใดๆ “เมิ่งซู่เป็นลูกของโจวหม่านเชาจริงๆ!”
มุมปากของไป๋หลิงหลงยกขึ้นเล็กน้อย เธอย่อมต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ฉินอี๋แต่งขึ้นมา เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าฉินอี๋จะโทรหาเผิงซีแล้วพูดเรื่องนี้ออกไป
น้ำเสียงของเผิงซีฟังดูโมโหขึ้นมา “คุณเลิกใช้ลูกไม้นี้เถอะ คุณเองก็รู้ว่าตัวคุณคิดอะไรอยู่”
ฉินอี๋กล่าว “ฉันเพียงแค่มาเตือน จะเชื่อไม่เชื่อมันก็เรื่องของคุณ แค่คุณไม่เสียใจภายหลังก็พอ” กล่าวจบก็ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตอบอะไรกลับมา กดวางสายไป
โทรศัพท์ที่เพิ่งกลับมาอยู่ในมือไป๋หลิงหลงดังขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋หลิงหลงมองดูแล้วเอ่ยว่า “เผิงซีโทรกลับมา”
ฉินอี๋ที่เช็ดผมของตนเองต่อจ้องมองดูตัวเองในกระจก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องสนใจ!”
…………………………………………………………………………