ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 146 ฉันไม่อายเหรอ?
ตอนที่ 146 ฉันไม่อายเหรอ?
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา จูเก่อม่านเรียกได้ว่ารู้สึกตกใจจริงๆ หลินยวนกับท่านประธานมีความสัมพันธ์แบบชายหญิงกันอย่างนั้นเหรอ?
ทั้งตกใจและสงสัย แม้นน้ำตาจะยังไหลออกมา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนร้องตะโกนโวยวายแล้ว
หลัวคังอันกล่าว “เรื่องนี้ เดิมทีฉันก็ไม่คิดที่จะบอกใครคนอื่น แต่เธอเอาแต่โวยวายเหมือนหมาบ้า เธอเองก็ไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ คนที่เรียนมาสามร้อยปียังเรียนไม่จบ มีสิทธิ์อะไรมาเป็นผู้ช่วยฉัน? เธอยังไม่เคยไปที่ห้องทำงานของหลินยวนใช่ไหม?”
“เขาเป็นผู้ช่วยฉันน่ะใช่ แต่เดี๋ยวเธอลองไปดูห้องทำงานเขาแล้วเธอจะรู้เอง เธอเคยเห็นห้องทำงานของผู้ช่วยคนไหนดีกว่าห้องทำงานของหัวหน้าตัวเองบ้าง? แม่ง ทั้งห้องด้านหน้า ห้องด้านหลัง มีชั้นบนมีชั้นล่าง แล้วก็ยังมีห้องพักผ่อนกับห้องอาบน้ำส่วนตัวอีก ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกอิจฉาเลย แล้วก็นะ เธอคิดว่าเธอได้เลื่อนตำแหน่งสามขั้นเพราะอะไร? ถ้าฉันไม่ยอมแบกรับความผิดนี้ไว้ เธอคิดว่าเธอจะได้เลื่อนตำแหน่งแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?”
จูเก่อม่านพลันนิ่งเงียบไปทันที ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมา พยายามบิดศีรษะมองดูเขา หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็กล่าวเสียงอ่อยออกมาว่า “ปล่อยฉัน!”
เธออารมณ์เย็นลงแล้ว หลัวคังอันมั่นใจขึ้นมาทันที “ปล่อยอะไร คนบ้าที่หาเรื่องไปทั่วแบบเธอ จะปล่อยให้เธอมากัดฉันเหรอ?”
จูเก่อม่านสะอื้นเล็กน้อย “ขอเพียงที่คุณพูดมาเป็นความจริง ฉันก็จะไม่โวยวายอีก”
“แล้วอะไรคือไม่จริง? ฉันทำอะไรเปิดเผย มีอะไรให้ต้องกลัว?” หลัวคังอันกล่าวพลางปล่อยมือจากตัวเธอ นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางโมโห “ฉันต้องกลัวเธอด้วยเหรอ? อย่างมากก็แค่เลิกกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเลิกจากเธอไปแล้วจะหาผู้หญิงคนอื่นไม่ได้ เรื่องเสวี่ยหลานนั่น ถ้าฉันทำฉันก็บอกว่าฉันทำ เธอจะทำอะไรฉันได้ ฉันต้องมานั่งกล่อมเธอแบบนี้ด้วยเหรอ? เธอเห็นว่าฉันชอบเธอ ก็เลยมาโหวกเหวกโวยวายไม่มีเหตุผลแบบนี้ ฉันไม่หลงกลหรอกนะ!”
จูเก่อม่านลุกขึ้นมานั่ง สองมือจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงอยู่บนใบหน้า เก็บผ้าเช็ดหน้าที่หลัวคังอันเอามาให้ขึ้นมาซับน้ำตา สั่งน้ำมูก คล้ายใจเย็นลงแล้ว กล่าวพึมพำว่า “ทำไมท่านประธานถึงไปชอบคนอย่างหลินยวนได้ล่ะ?”
หลัวคังอันกล่าว “เรื่องนี้ปิดบังคนเอาไว้ตั้งเท่าไร เรื่องที่คนตั้งมากมายขนาดนั้นยังสืบไม่ได้ เธอถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใคร? ท่านประธานกับหลินยวนจะบอกฉันเหรอ?”
จูเก่อม่านกล่าวพึมพำต่อ “ในเมื่อพวกเขารักกัน ทำไมถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงเปิดเผยไม่ได้?”
หลัวคังอันตบหลังมือตัวเองดังฉาด “เธอโง่หรือเปล่า? คนอย่างหลินยวนคบกันท่านประธาน เธอคิดว่าฉินเต้าเปียนจะยอมรับได้เหรอ? เรื่องแบบนี้จะให้ฉินเต้าเปียนรู้ได้เหรอ? ถ้าให้ฉินเต้าเปียนรู้ พวกเขายังจะแอบคบกันได้อีกเหรอ? เธอไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร กระดาษห่อไฟไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ช้าเร็วเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผยออกมา เดี๋ยวถึงตอนนั้นเธอก็รู้เองว่าที่ฉันพูดมาเป็นความจริงหรือเปล่า”
จูเก่อม่านครุ่นคิด คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง คนที่กระทั่งตัวเองยังไม่มอง มีหรือที่ฉินเต้าเปียนจะยอมรับได้? จึงลองถามไปอีกครั้งว่า “ที่ฉันได้เลื่อนตำแหน่งสามขั้นไม่ได้เป็นเพราะคุณยอมทิ้งเงินพันล้านมุกนั่นเหรอ?”
ความจริงเธอคาดเดาถูกแล้ว แต่คนบางคนดึงดันที่จะบิดเบือนความจริงให้ได้
หลัวคังอันถอนใจออกมา “ฉันรับความผิดนี้เอาไว้แล้ว ทำผิดร้ายแรงขนาดนี้ ฉันยังมีหน้าไปเอาเงินพันล้านมุกนั่นอีกเหรอ? เธอวางใจได้ ถึงไม่มีเงินพันล้านมุกนั่น แต่ยังมีอย่างอื่นชดเชยให้อยู่ ท่านประธานแอบมาคุยกับฉันเอาไว้แล้ว เดี๋ยวเธอจะให้ฉันเป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน อืม ถือว่าเป็นการปิดปากฉัน แล้วก็ถือเป็นการชดเชยที่ให้ฉันแบกรับความผิดนี้เอาไว้ล่ะมั้ง”
นี่ก็เป็นเรื่องเหลวไหลเช่นกัน ตัวเขาน่ะอยากได้เงินพันล้านมุกนั่น เขาอยากจะเอาเงินที่อยู่ตรงหน้ามาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องในอนาคตใครจะบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร เอาประโยชน์มาไว้กับตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่หลินยวนกลับไม่คิดอย่างนั้น เพราะเรื่องของเสวี่ยหลาน หลินยวนเหมือนจะอยากให้หลัวคังอันวางมือจากเรื่องเงินไปซะ เพื่อที่ฉินอี๋จะได้บิดพลิ้วเรื่องที่สัญญาเอาไว้อีกเรื่องหนึ่งได้ลำบากขึ้น คล้ายว่าเขาอยากให้หลัวคังอันอาศัยโอกาสนี้เข้าไปเป็นผู้บริหารระดับสูงในหอการค้าตระกูลฉิน
รองประธานหอการค้าตระกูลฉินเหรอ? พระเจ้า! จูเก่อม่านมึนงง ภายในดวงตาที่ร้องไห้จนแดงเรื่อมีความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้นมา แล้วก็มีความรู้สึกยินดีด้วย แต่เธอยังคงกล่าวพึมพำว่า “แต่ที่ห้องของคุณก่อนหน้านี้แขวนรูปเสวี่ยหลานเอาไว้ นั่นมันหมายความว่ายังไงคะ? ทำไมถึงไม่แขวนรูปคนอื่น ทำไมถึงต้องแขวนรูปเสวี่ยหลานเอาไว้ด้วย?”
หลัวคังอันกล่าว “ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่ปิดเธอก็แล้วกัน เสวี่ยหลานกับฉันรู้จักกันมานานแล้ว รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ฉันเป็นนักเรียนอยู่หลิงซานแล้ว ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เป็นเทพธิดาอะไรเลย เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องรายละเอียดฉันไม่พูดก็แล้วกัน”
จูเก่อม่านแสดงความสงสัย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วเธอไปมีความสัมพันธ์กับหลินยวนได้ยังไง?”
หลัวคังอันถอนใจ “ตอนที่มีการจัดแสดงขึ้นที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพครั้งที่แล้ว ฉันบังเอิญอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพพอดี คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเสวี่ยหลานอีกครั้งในค่ายผู้พิทักษ์เทพ เรื่องมันดันมาซวยตรงนี้แหละ ถ้าฉันไม่รู้จักเสวี่ยหลาน ก็คงจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น คนรู้จักได้มาเจอกัน ฉันพูดคุยกับเสวี่ยหลานนิดหน่อย เจ้าหลินยวนเลยฉวยโอกาสนี้เข้ามาตีสนิทกับเสวี่ยหลานด้วย…” เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เขาก็เปลี่ยนเอาหลินยวนมาอยู่ในเรื่องราวที่ตัวเองทำแทน
หลังเล่าจบก็ถอนใจพลางกล่าวว่า “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหลินยวนมันจะใจกล้าขนาดนี้ กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ ฉันก็เลยยอมประนีประนอม รับเอาความผิดที่หลินยวนมันก่อมาไว้ที่ตัวเอง แบกรับความผิดนี้เอาไว้”
จูเก่อม่านมีสีหน้าเป็นห่วง “แบกรับความผิดนี้เอาไว้ แล้วต่อไปคุณจะออกไปเจอผู้คนได้ยังไงล่ะคะ? เรื่องเลื่อนตำแหน่งกับขึ้นเงินเดือนฉันไม่เอาแล้ว ความผิดนี้พวกเราอย่ารับดีไหมคะ?”
หลัวคังอันเหลียวหน้ามาจ้องมองเธอ “เธอนี่ซื่อบื้อจริงๆ เลย! เธอคิดว่าฉันอยากจะรับเอาไว้เหรอ? ฉันตัวคนเดียว หอการค้าตระกูลฉินมีอำนาจอิทธิพลแค่ไหน ถ้าฉันไม่ตอบตกลงจะรอดกลับมาได้เหรอ? ฉันรับสารภาพที่เมืองคุนกว่างไปแล้ว ถ้าขืนไปบอกว่าคำสารภาพนั้นเป็นเรื่องโกหก เธออยากให้ฉันตายเหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ เรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เธอคิดหรอกนะ เรื่องราวที่พันพันอยู่เบื้องหลังมันซับซ้อนเป็นอย่างมาก อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่รู้ว่าเสวี่ยหลานตายแล้ว?”
จูเก่อม่านมึนงง “เสวี่ยหลานตายแล้ว?”
เธอไม่ได้สนใจเรื่องราวพวกนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้เธอเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของหลัวคังอันที่กำลังประมูลอยู่ พอหลัวคังอันกลับมาก็เอาแต่เฝ้าอยู่ข้างกายหลัวคังอัน ตอนนี้เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งก็เลยยุ่งอย่างมาก ไม่มีอารมณ์ไปนั่งสนใจพวกข่าวซุบซิบดาราอะไรพวกนั้นจริงๆ
หลัวคังอันรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ค้นหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับเสวี่ยหลานต่อหน้าจูเก่อม่าน จากนั้นส่งโทรศัพท์ให้เธอ “เธอลองดูเอง”
จูเก่อม่านรับเอาโทรศัพท์ไปดูอย่างละเอียดทันที หลังดูเสร็จก็กล่าวพึมพำขึ้นมาว่า “อยู่ดีๆ ก็ตายไปแบบนี้เลยเนี่ยนะ?”
หลัวคังอันหยิบโทรศัพท์กลับมา แค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “เธอคิดว่านี่เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เหรอ? เทพธิดาคนหนึ่ง ไไปที่ไหนก็มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง จู่ๆ จะเข้าไปในภูเขาคนเดียวแล้วลื่นตกลงมาตายเนี่ยนะ มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ? ไม่ใช่แค่เสวี่ยหลานเท่านั้นนะ ตอนนี้กระทั่งงานตระเวนแสดงที่ฮือฮาไปทั่วทั้งดินแดนเซียนก็เหมือนจะหยุดแสดงไปอย่างเงียบๆ ด้วย เบื้องหลังเรื่องพวกนี้มันซับซ้อนเป็นอย่างมาก ต่อให้เธอซื่อบื้อแค่ไหนก็น่าจะเข้าใจ ต่อให้ตัวฉันจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะไปสู้กับพวกคนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นได้ยังไง? ฉันรับสารภาพว่าตัวเองมีความสัมพันธ์อยู่กับเสวี่ยหลานไปแล้ว ยังจำเป็นต้องทำให้เสวี่ยหลานตายด้วยเหรอ? แต่สุดท้ายเสวี่ยหลานก็ยังตาย! เธอคิดว่าความผิดนี้ บอกไม่รับก็ไม่รับได้เหรอ?”
เขากำลังหลอกจูเก่อม่านที่ไม่รู้ข้อมูลบางอย่าง พูดจาเหลวไหลไปเรื่อย ขอแค่เรื่องที่อยู่ตรงหน้าผ่านไปก็พอ เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากัน
แต่เรื่องเหล่านี้กลับทำให้จูเก่อม่านรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่แผ่นหลัง ครั้งนี้เธอเชื่อคำพูดเหลวไหลของหลัวคังอันจริงๆ แล้ว
หลัวคังอันกล่าวกำชับว่า “เรื่องบางเรื่องฉันไม่อยากบอกเธอ กลัวว่าเธอจะตกใจกลัว แต่เธอกลับเอาแต่โวยวายเหมือนผู้หญิงไร้เหตุผลเพราะคิดว่าฉันชอบเธอ บีบจนฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันจะบอกเธอให้นะ เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปยุ่งได้ แค่ฟังผ่านๆ ก็พอ ฟังแล้วก็ลืมไปซะ ให้มันเน่าไปในท้องเลยยิ่งดี เพราะถ้าเรื่องนั้นมันหลุดออกไป เธอกับฉันซวยแน่”
จูเก่อม่านพยักหน้าด้วยความรู้สึกตกใจ กล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “อื้อ ฉันรู้แล้ว ฉันไม่พูดหรอก” จากนั้นคิ้วพลันขมวดขึ้นมาอีกครั้ง นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา “คุณรับความผิดนี้เอาไว้ แล้วจะให้คนอื่นมองฉันยังไง? จะให้ฉันไปเจอหน้าคนอื่นยังไง?”
หลัวคังอันแค่นเสียงเหอะออกมา “ในใจรู้ว่าไม่ผิด ทำไมต้องกลัวด้วย มีอะไรต้องอาย? อีกอย่างนะ คนที่รับความผิดเอาไว้คือฉัน เป็นฉันที่หน้าไม่อายทำเรื่องที่ผิดต่อเธอ ตัวฉันยังไม่อายเลย ทำไมเธอต้องอายด้วย? ควรทำอะไรก็ทำไป พวกปากหอยปากปูพวกนั้นก็ทำได้แค่นินทาลับหลังเท่านั้น ใครจะกล้าออกมาพูดต่อหน้าล่ะ? นอกเสียจากไม่อยากทำงานอยู่ในหอการค้าตระกูลฉินแล้วนั่นแหละ! แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ”
จูเก่อม่านก้มหน้า กล่าวพึมพำขึ้นมาอีกว่า “มันทำได้ง่ายๆ อย่างที่คุณพูดที่ไหนล่ะ คนเราต้องทำงานต้องมีสังคม แล้วจะไม่ให้สนใจหน้าตาได้ยังไง”
หลัวคังอันตบเข่าตัวเอง “จูเก่อม่าน ถ้าเธอพูดอย่างนี้ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตอนประมูลฉันถูกศัตรูรุมโจมตี ฉันเสี่ยงชีวิตเข้าไปสู้ก็เพื่อใคร? เพื่อตัวฉันคนเดียวเหรอ? ไม่ใช่เพราะอยากให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นหรอกเหรอ? เพื่อเธอแล้ว ฉันต้องหิ้วหัวออกไปเสี่ยงชีวิตข้างนอก กลับมาแล้วยังต้องเป็นแพะรับบาปในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ ลำบากลำบนเพื่อให้เธอมีอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อที่จะได้ฉีกยิ้มเวลาอยู่ต่อหน้าเธอได้ แต่สุดท้ายเธอยังจะให้ฉันเดินไปตายเนี่ยนะ”
“เธอคิดว่าฉันรู้สึกดีนักเหรอที่ต้องแบกความผิดนี้เอาไว้? เธอคิดว่าฉันไม่อายเหรอ? หรือว่าฉันชอบให้คนข้างนอกมาชี้หน้าด่า ชอบให้คนอื่นมานินทาลับหลัง? อยู่ข้างนอกต้องไปเสี่ยงชีวิต ต้องเจอกับคำนินทาว่าร้ายต่างๆ นานา พอกลับมาบ้านก็ยังต้องมานั่งทะเลาะกับเธออีก จูเก่อม่าน ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันว่าพอเถอะ ความสัมพันธ์ของเราจบลงแค่นี้แล้วกัน ต่อไปก็ต่างคนต่างเดิน ไม่ต้องมีใครมาทำให้ใครลำบากใจอีก ฉันเองก็ไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากอีกแล้ว พวกเราเลิกกันเถอะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เรื่องราวก็นับว่ายุติลงชั่วคราวแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีการเติมเชื้อไฟให้ปะทุขึ้นมาอีก เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้เลิกกับเธอจริงๆ
เรื่องที่เขาพูดเหลวไหลมีช่องโหว่เยอะแยะมากมาย ตัวเขาเองก็รู้ว่าคงจะปิดเอาไว้ได้ไม่นาน ถ้าเลิกกันตอนนี้ ต่อไประหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ต้องมีความสัมพันธ์อะไรกันอีก อีกฝ่ายก็มาทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย
จูเก่อม่านถูกเขาพูดตัดพ้อจนดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางดูออดอ้อนออเซาะเป็นอย่างมาก เขยิบเข้าไปใกล้พลางคล้องแขนของเขาเอาไว้ “ฉันผิดไปแล้ว ฉันก็ขอโทษคุณอยู่นี่ไงคะ”
หลัวคังอันออกแรงแกะแขนของเธอออกไป “ช่างเถอะ ฉันมันก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีอะไร ไม่คู่ควรกับเธอ เราเลิกกันเถอะ”
จูเก่อม่านโอบคอเขาเอาไว้อีกครั้ง กล่าวออดอ้อนว่า “อย่าโกรธเลยนะ ฉันไม่ดีเอง ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ยกโทษให้ฉันนะคะ?” ก่อนจะกล่าวกระซิบข้างหูเขาว่า “วันนี้ฉันขอลาแล้ว เย็นนี้อยากกินอะไร คนใช้ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำให้คุณกินเอง”
หลัวคังอันลุกขึ้นแล้วผลักเธอออก “จูเก่อม่าน ฉันจะบอกเธอตามตรง ฉันชอบผู้หญิงคนอื่นแล้ว” กล่าวจบก็เดินออกไป
จูเก่อม่านคิดว่าเขาพูดไปด้วยความโกรธ กระทืบเท้าเล็กน้อย
….
กระทั่งจูเก่อม่านเดินลงมา ในตอนที่เธอมาปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขกอีกครั้งหนึ่ง เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เดินเยื้องย่างมาอยู่ข้างกายหลัวคังอัน จงใจแสดงท่าทางเย้ายวน
หลังคังอันที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงโซฟาเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เขาพลันตะลึงไปทันที
จูเก่อม่านย่อตัวลงมา นั่งลงบนตักของเขาพร้อมใช้มือโอบคอของเขาเอาไว้ กระซิบกระซาบอะไรเบาๆ อยู่ข้างหูเขา
ใบหน้าของหลัวคังอันกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เขาขบกรามแน่น จู่ๆ พลันส่งเสียงคำรามออกมา “แม่งเอ้ย”
……………………………………………………………