ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 144 ผู้เชี่ยวชาญ
ตอนที่ 144 ผู้เชี่ยวชาญ
เฉาเต้าเปียนแค่นหัวเราะหึหึ ไม่พูดอะไรอีก แต่ภายในใจกลับมีความรู้สึกภูมิใจขึ้นมาไม่น้อย
ถูกต้อง ปัญหาเรื่องผู้สืบทอดนั้นเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากที่สุดสำหรับหอการค้าน้อยใหญ่ในดินแดนเซียนมาโดยตลอด หากมีผู้สืบทอดที่ไม่ดี นั่นอาจจะทำให้หอการค้าอยู่ในช่วงขาลง หรือถ้าร้ายแรงก็อาจจะทำให้หอการค้าต้องเผชิญกับหายนะต่างๆ การที่สามารถเลี้ยงดูลูกสาวที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ออกมาได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดจริงๆ
คนแต่ละรุ่นต่างก็มีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์เป็นของตัวเอง ในตอนที่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ผ่านไปแล้ว หลังจากที่อายุมากขึ้นแล้ว สิ่งที่มักจะนำมาแข่งกันก็คือลูกหลานรุ่นหลัง
หลังเอ่ยยิ้มๆ ออกมาแล้ว จู่ๆ หลิ่วจวินจวินพลันถอนใจอย่างเศร้าใจออกมา “แต่นี่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี ด้วยสายตาของลูกอี๋ในเวลานี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายแบบไหนถึงจะทำให้เธอถูกใจได้”
ภายในใจมีความรู้สึกกังวลใจอยู่หลายส่วน เป็นห่วงว่าฉินอี๋จะยังหลงหลินยวนอยู่ ร่องรอยบางอย่างมันเห็นได้ชัดเจนว่าคล้ายจะเป็นเช่นนั้น
เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้ชายไร้ค่าแบบนั้น ฉินอี๋ชอบเขาที่ตรงไหนกันแน่?
เธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่านี่เป็นปัญหาเรื่องนิสัยของฉินอี๋หรือว่าเป็นปัญหาปกติทั่วไปบางอย่าง ที่คนเรามักจะมองว่าของที่ไม่ได้อยู่ในมือนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด?
ฉินเต้าเปียนแค่นเสียงเหอะออกมา “อายุยังน้อยอยู่ ยังเร็วไปที่จะพูดเรื่องแต่งงาน”
เมื่อยืนอยู่ในมุมของคนเป็นพ่ออย่างเขา เขาย่อมไม่อยากให้ลูกสาวของตนแต่งงานเร็ว
…..
ภายในห้อง สวีเฉียนที่วางโทรศัพท์ลงเดินไปที่ริมหน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออก มองดูแสงดาวและแสงเดือนที่ระยิบระยับพร่างพราย ท่าทางดูเศร้าสร้อย ยากจะนอนหลับได้
เมื่อครู่เขาคุยโทรศัพท์กับพานหลิงเวยผู้เป็นลูกสาวคนโตของพานชิ่ง หรือก็คือภรรยาของเขา เขาสอบถามว่าทางตระกูลเซียงหลัวมีท่าทีต่อเรื่องช่วยเหลือพานชิ่งอย่างไรบ้าง
พานหลิงเวยบอกว่าเธอไปพบเซียงหลัวเซ่อและสอบถามมาแล้ว แต่ท่าทีของเซียงหลัวเซ่อดูคลุมเครือ ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดอะไร
สวีเฉียนไม่ค่อยเข้าใจ ตระกูลเซียงหลัวจะทำอะไรกันแน่ จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมให้คำตอบที่แน่ชัด นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หรือว่าตระกูลเซียงหลัวมีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวประธานหอการค้าตระกูลพานอย่างที่ฉินอี๋ว่ามาจริงๆ แต่เรื่องนี้เขาก็ไม่กล้าไปถามทางตระกูลเซียงหลัวเช่นกัน
ถ้าเกิดตระกูลเซียงหลัวถามถึงความคิดของตัวเองขึ้นมาจริงๆ ถ้าเกิดจะให้ตัวเองเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานจริงๆ อย่างนั้นตัวเองจะทำอย่างไร?
ถ้าเกิดหอการค้าตระกูลฉินยอมแบ่งผลประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าท่าทีของตระกูลเซียงหลัวคงจะเป็นเหมือนอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
เป็นประธานหอการค้าตระกูลพาน? รับปากหรือไม่รับปาก? ปฏิเสธดีไหม?
ผลของการปฏิเสธ ผลของการตอบตกลง เขาคิดเอาไว้หลายอย่าง ครุ่นคิดเอาไว้รอบด้าน ถ้าเกิดเขาตอบตกลงไปจริงๆ สิ่งแรกที่เขาต้องคำนึงถึงคือเขาจะเผชิญหน้ากับพานหลิงเยวี่ยและภรรยาของตัวเองอย่างไร
เมื่อพานชิ่งกลับมาแล้ว ต่อให้หอการค้าตระกูลพานไม่ได้เปลี่ยนตัวประธาน แต่ทันทีที่พานชิ่งรู้ว่าตระกูลเซียงหลัวมีความคิดเช่นนี้ พานชิ่งจะมองเขาอย่างไร?
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ไปหาฉินอี๋ ทั้งๆ ที่ถูกฉินอี๋ล่อลวงไปเพราะความคิดที่อยากจะช่วยพานชิ่ง ทั้งๆ ที่ไปหาฉินอี๋ด้วยความจงรักภักดีต่อพานชิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอี๋จะใช้ลูกไม้แบบนี้ออกมา นี่นับว่าอีกฝ่ายได้โยนปัญหาที่ยุ่งยากอย่างมากมาให้เขาอย่างแท้จริง
เป็นปัญหายุ่งยากที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
แต่คำพูดบางอย่างที่ฉินอี๋พูดกับเขายังคงทำให้เขาคิดเวียนวนอยู่ในหัวสมองไม่หยุด ต่อให้พานชิ่งไม่เป็นไร ต่อให้ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ แต่ช้าเร็วหลังจากที่พานชิ่งตายไปแล้ว หอการค้าตระกูลพานยังคงต้องมีนายอยู่ดี
หอการค้าตระกูลพานไม่อาจขาดผู้นำได้ ช้าเร็วก็ต้องทำการกำหนดลำดับความสัมพันธ์ของนายและลูกน้องขึ้นมาใหม่อยู่ดี
ต่อให้หอการค้าตระกูลพานไม่ได้ตกอยู่ในมือเขา แต่สุดท้ายแล้วพานชิ่งจะยกหอการค้าตระกูลพานให้พานหลิงเวยหรือว่าพานหลิงเยวี่ย?
ภายในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย นับตั้งแต่ที่พานชิ่งถูกจับตัวไป เขาก็แทบจะไม่ได้นอนพักเลย คำพูดของฉินอี๋ทำให้คืนนี้เขายิ่งนอนไม่หลับ
และสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นบนตัวเขาก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พานชิ่งและโจวหม่านเชาถูกจับตัวไป ประธานหอการค้าทั้งสองถูกจับไป ขวัญและกำลังใจภายในหอการค้าทั้งสองแห่งเรียกได้ว่าระส่ำระสาย ต่างกำลังกังวลว่าประธานทั้งสองคนจะกลับมาได้หรือไม่
หากประธานทั้งสองกลับมาไม่ได้และต้องเปลี่ยนทีมบริหารใหม่ นี่จะเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก เช่นนี้แล้วจะไม่ให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์วิตกกังวลได้อย่างไร
…..
รุ่งเช้าของวันใหม่ จูลี่รีบเดินทางมาที่ปู๋เชวี่ยวีดีโอ
คนที่เหล่าโม่แนะนำให้เธอเดินทางมาถึงแล้ว ไปมาเหมือนผี นึกจะมาก็มา ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า พอมาถึงแล้วถึงจะติดต่อจูลี่
ทำเอาจูลี่ต้องรีบมาที่ทำงานทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน ในตอนที่ได้เห็นอีกฝ่าย เธอพบว่าเขากำลังนั่งยองๆ รออยู่ด้านนอกปู๋เชวี่ยวีดีโอ
เมื่อเจอกันก็ทักทายกันเล็กน้อย จูลี่ค่อนข้างประหลาดใจ อดกวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ได้
อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอม ใบหน้าหล่อเหลาดูดี ผิวพรรณขาวผ่อง ดูแล้วยังผิวดีกว่าผู้หญิงเสียอีก สิ่งสำคัญคือเขาดูเหมือนวัยรุ่นที่ยังอายุน้อยอย่างมาก เป็นวัยรุ่นที่นิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจา สะพายกระเป๋าเอาไว้ใบหนึ่ง
จูลี่รู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าคนที่ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นผู้นี้คือ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่เหล่าโม่พูดถึงจริงๆ หรือ?
หลังจากสอบถามจนแน่ชัดแล้ว ไม่ผิดแน่ นี่คือผู้เชี่ยวชาญที่ชื่อจิ้นเซียวที่เหล่าโม่แนะนำมาคนนั้น ความจริงเขาอายุมากกว่าจูลี่หลายปี เพียงแค่หน้าตาดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างมากเท่านั้น
จิ้นเซียวเองก็คล้ายประหลาดใจเล็กน้อยเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่ยังดูอายุน้อยคนนี้จะเป็นผู้คุมหางเสือของปู๋เชวี่ยวีดีโอ สายตาเหลือบมองดูใบหน้าของจูลี่เป็นระยะ
จูลี่ถูกสายตาของเขามองดูจนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถึงขนาดนึกสงสัยว่าตัวเองรีบออกมาจากบ้านจนจัดการใบหน้าไม่ดีหรือเปล่า
ทั้งสองคนพูดคุยกันตามมารยาท จูลี่ยิ้มแย้มแจ่มใส จิ้นเซียวเออออไปตามอีกฝ่าย
หลังพาอีกฝ่ายมาที่ห้องทำงานของตนแล้ว จูลี่ก็หยิบเอาของที่ถูกทำแตกเสียหายชิ้นนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ เอ่ยว่า “อันนี้ค่ะ คุณลองดูก่อนค่ะ”
จิ้นเซียวนั่งลงตรงหน้าโต๊ะ หยิบจับเศษผลึกที่ถูกทำลายจนแตกเสียหายเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง จู่ๆ พลันเอ่ยถามว่า “ไม่มีชิ้นส่วนหายไปใช่ไหม?”
จูลี่กล่าว “น่าจะไม่มีค่ะ”
จิ้นเซียวว่า “เสียหายหนักมาก รอยแตกเสียหายจากแรงกระแทกปกติจะไม่เป็นระเบียบ” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าแตกละเอียดจนเป็นผุยผง
จูลี่ไม่สนใจว่าอะไรคือแรงกระแทกปกติไม่ปกติ เอ่ยถามว่า “ยังซ่อมได้ไหมคะ?”
จิ้นเซียวกล่าวว่า “หากไม่มีชิ้นส่วนหายไป มันก็พอจะลองดูได้ แต่เสียหายหนักขนาดนี้ ต่อให้ซ่อมได้ แต่คุณภาพของภาพอาจจะเกิดความเสียหายได้ ผมไม่กล้ารับรองว่าจะซ่อมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ การจะซ่อมให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่น่าจะเป็นไปได้ ยังจะซ่อมหรือไม่ คุณตัดสินใจเอาเอง”
จูลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันพร้อมเอ่ยว่า “ซ่อมค่ะ! ค่าใช้จ่ายให้คุณตามปกติ คุณพยายามซ่อมให้ดีที่สุดแล้วกันค่ะ อ้อ ต้องใช้เวลากี่วันถึงจะซ่อมเสร็จคะ?”
จิ้นเซียวสำรวจดูเศษผลึกอย่างละเอียดอีกครั้ง “อย่างน้อยสิบวัน”
จูลี่ประหลาดใจ ชี้ไปที่เศษผลึกพร้อมเอ่ยถามว่า “ของเล็กๆ แค่นี้ต้องใช้เวลาซ่อมอย่างน้อยสิบวันเลยเหรอ?”
จิ้นเซียวเงยหน้าขึ้นมา มองดูเธออย่างงุนงง หลังถูกสายตาของเธอจ้องมองก็เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย จึงก้มหน้าลงไปพร้อมเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ผมจะรีบซ่อมให้เร็วที่สุดแล้วกัน”
จูลี่พบว่าคนผู้นี้คล้ายจะไม่กล้าสบตากับตัวเอง เธอนับว่ามองออกแล้ว ตอไม้ผู้นี้คงจะทำได้ดีที่สุดเท่านี้ จึงถอนใจพลางกล่าวว่า “ตกลง คุณรีบหน่อยแล้วกัน เออใช่ เหล่าโม่บอกว่าคุณต้องเห็นของก่อนว่าเสียหายแค่ไหนถึงจะบอกราคาได้ ตอนนี้คุณก็เห็นแล้ว สรุปค่าซ่อมเท่าไรคะ?”
จิ้นเซียวเอ่ยเสียงเบา “ซ่อมก่อน”
เสียงเบาเกินไป จูลี่ฟังไม่ชัด เอ่ยถามว่า “อะไรนะคะ?”
จิ้นเซียวถึงจะเอ่ยเสียงดังขึ้น “ซ่อมก่อนค่อยว่ากัน”
จูลี่สงสัย “บอกราคาก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน ดีไหมคะ?”
จิ้นเซียวรีบมองไปทางเธอทันที “ไม่แพง ถ้าแพงคุณไม่ต้องจ่ายก็ได้” สายตาสบเข้ากับเธอเล็กน้อย ก่อนจะรีบหลบสายตาไปอีกครั้ง
อะไรคือถ้าแพงไม่ต้องจ่ายก็ได้? จูลี่เกือบหลุดหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของเขา เธอมองไปรอบๆ ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาทำงานแล้ว กลัวว่าถ้ามีคนมาเห็นเข้าจะดูไม่ดี อีกทั้งอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยเธอก็ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลอกเรียกราคาสูงๆ จึงกล่าวทันทีว่า “ได้ อย่างนั้นเอาตามนี้แล้วกันค่ะ เดี๋ยวเก็บของแล้วตามฉันมาค่ะ”
จิ้นเซียวเอ่ยอย่างงุนงง “ไปไหน?”
จูลี่ผายมือพลางกล่าว “ที่นี่คือห้องทำงานของฉัน มีคนเข้าออกบ่อยๆ เดี๋ยวมันจะรบกวนการทำงานของคุณ อีกอย่าง ฉันต้องหาที่พักให้คุณด้วยใช่ไหมล่ะคะ”
“โอ้” จิ้นเซียวเข้าใจแล้ว รีบเก็บของที่อยู่บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ เก็บลงไปในกระเป๋าของตัวเอง
ในตอนที่ออกมา จูลี่มีรถของตัวเอง เธอพาอีกฝ่ายออกมาอย่างรวดเร็ว
รถแล่นมาถึงที่พักแห่งหนึ่ง จิ้นเซียวที่ลงจากรถมองดูเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ใช่โรงแรมเหรอ?”
จูลี่กล่าว “นี่คือบ้านของฉันค่ะ มีห้องว่าง ไม่ต้องไปพักโรงแรม ใกล้ๆ นี้ก็มีผู้พิทักษ์เมืองอยู่ด้วย ค่อนข้างปลอดภัย”
เรื่องของฉู่ผิงที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอทำให้เธอเกิดความหวาดระแวงขึ้นมา เธอจึงระมัดระวังตัวขึ้นกว่าเดิม
“บ้านของคุณ?” จิ้นเซียวคล้ายตกใจ เอ่ยอย่างลังเลว่า “บ้านคุณ…อยู่กันกี่คน?”
“ฉันคนเดียว” จูลี่กล่าวจบ จิ้นเซียวรีบส่ายศีรษะ “ไม่ดี”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขา จูลี่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ทำไมรู้สึกเหมือนกลัวว่าเธอจะกินเขาอย่างนั้นแหละ?
แต่จะว่าไปแล้ว นอกจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัย หากไม่เป็นเพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนซื่อๆ ไม่มีพิษภัย เธอก็คงไม่มีทางพาเขามาที่บ้านตัวเองเช่นกัน จึงกลั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ไม่ดียังไงคะ? กลัวฉันจะทำให้ชื่อเสียงคุณเสียหายเหรอ? ฉันเป็นผู้หญิงยังไม่กลัวเลย คุณจะกลัวอะไร?” จากนั้นกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฉันขอบอกคุณเอาไว้ก่อนนะ ที่นี่อยู่ใต้การดูแลของท่านเจ้าเมือง ผู้พิทักษ์เมืองที่อยู่ในถนนแต่ละสายล้วนแต่เป็นคนรู้จักของฉัน อยู่ในบ้านฉันห้ามทำอะไรไม่ดีเด็ดขาด”
จิ้นเซียวส่ายศีรษะ คล้ายยังอยากจะพูดอะไรออกมา “ไปค่ะ” จูลี่ดึงแขนเขาจนเขาเดินเซ บังคับให้เขาเข้าไปในบ้านตัวเอง
นี่ให้ความรู้สึกเหมือนคำกล่าวที่ว่าคนใจดีมักจะถูกรังแก ม้าเชื่องคนมักชอบขี่ เป็นเพราะจิ้นเซียวดูใสซื่อไม่มีพิษภัย จูลี่ถึงได้กล้าทำเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น เธอไหนเลยจะกล้าทำเช่นนี้ได้ นี่คือพลังของจิตใจที่สามารถส่งผลกระทบต่อคำพูดและการกระทำได้โดยไม่รู้ตัว
หลังพาจิ้นเซียวเข้าพักเรียบร้อยแล้ว จูลี่ก็ออกมาจากบ้านแล้วขึ้นรถไปอีกครั้ง ก่อนที่จะสตาร์ทรถ เธอหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเหล่าโม่ “นี่ฉันเอง จูลี่ เหล่าโม่ คนที่พี่แนะนำมานี่เชื่อถือได้เปล่า? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขาดูแปลกๆ”
เหล่าโม่กล่าว “แปลก? นอกจากเรื่องที่ดูเด็กเกินไปแล้ว มีอะไรแปลกอีกเหรอ?”
จูลี่นึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าซ่อมก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องเงินอะไรนั่นขึ้นมา เอ่ยว่า “รู้สึกเหมือนเขาพูดจาแปลกๆ ดูแล้วไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญอย่างที่พี่ว่ามาเลย”
เหล่าโม่กล่าว “พูดจาแปลกๆ? ไม่มั้ง เธอคิดมากไปเองหรือเปล่า เขาก็แค่ไม่ค่อยชอบพูดเท่านั้น เรื่องความสามารถไม่มีปัญหา ฉันเคยเห็นฝีมือของเขามาแล้ว!”
ตัวเองคิดมากไปเองเหรอ? จูลี่กล่าวพึมพำ “ดูเหมือนคนไม่มีแรงเลย”
เหล่าโม่กล่าว “เอ่อ…เธอกลายเป็นคนดูคนแต่ภายนอกตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย? เอ้อ ฉันนึกขึ้นมาได้แล้ว เขาเหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรด้วยนะ”
จูลี่ตกใจ “อะไรนะ? เป็นผู้บำเพ็ญเพียร?”
เธอหันกลับไปมองดูบ้านของตัวเองที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างรถ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะเห็นอีกฝ่ายดูซื่อๆ ไม่มีพิษภัย อีกทั้งตัวเองยังฝึกวิชาป้องกันตัวมานิดหน่อย ถึงได้กล้าพาอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านตัวเอง นี่ถ้าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ ล่ะก็ หากเขาทำมิดีมิร้ายตัวเองขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง?
เหล่าโม่กล่าว “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรแล้วทำไม ไม่เคยเห็นเหรอ?”
จูลี่กล่าว “ไม่มีอะไร” เธอไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องที่ตัวเองลากอีกฝ่ายเข้าไปพักอยู่ในบ้านตัวเอง จึงเพียงแค่ถามว่า “พี่แน่ใจนะว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร?”
เหล่าโม่กล่าว “อันนี้ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นเพราะต้องถ่ายรายการ สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ ฉันเลยให้เขาไปในภูเขาที่อยู่ด้านนอกเมืองหลวง แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีผู้คุ้มกันแม้แต่คนเดียว ไปที่นั่นตัวคนเดียว สภาพแวดล้อมในภูเขาด้านนอกเมืองหลวงเป็นอย่างไรเธอเองก็รู้ ตอนนั้นฉันถามเขาว่าไม่กลัวเหรอ? เขาเหมือนจะบอกว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่กลัว ตอนนั้นฉันค่อนข้างยุ่ง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้แสดงความสามารถในด้านการบำเพ็ญเพียรออกมา แล้วก็ยังมีเรื่องนิสัยส่วนตัวของเขาอีก ฉันก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ลืมถามไปว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจริงหรือเปล่า เดี๋ยวเธอก็ลองถามเขาเองสิ บางทีฉันอาจจะจำผิดก็ได้”
“เฮ้อ ตกลง ก็เอาตามนี้แล้วกัน” จูลี่กล่าวอะไรอีกเล็กน้อยแล้ววางสายไป มองดูบ้านของตัวเองอย่างมึนงง บังคับเขาเข้าไปแล้วบังคับให้เขาออกมาอีกอย่างนั้นเหรอ?
รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร จึงครุ่นคิดอีกเล็กน้อย ที่นี่คือเมืองปู๋เชวี่ย อีกประเดี๋ยวกลับมาแล้วค่อยทำให้อีกฝ่ายรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเส้นสายของตัวเองแล้วกัน เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไรเหลวไหล
หลังสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็สตาร์ทรถ ขับรถออกไปทำงาน
………………………………………………………..