ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 131 ฉินอี๋ชอบผู้หญิง
ตอนที่ 131 ฉินอี๋ชอบผู้หญิง
เป็นเพราะคำพูดนี้ ลั่วเทียนเหอจึงเงียบไป แต่จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ยังคงอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “การจะไปจับคนโดยไม่มีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าสองตระกูลนั้นทำผิด แบบนั้นมันผิดกฎ ฉันยึดมั่นใจกฎเกณฑ์จนถูกลดขั้นมาอยู่ที่นี่ ถ้าตอนนี้ฉันไม่รักษากฎเสียเอง ฉันมิต้องกลายเป็นตัวตลกไปเสียเองหรอกหรือ?”
หนานหรูรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย สุดท้ายจึงถอนใจพลางกล่าว “อาจารย์ครับ ขออภัยที่ผมพูดตรงๆ นะครับ แต่ท่านเถรตรงเกินไปครับ ท่านคิดว่าท่านรักษากฎแล้วคนอื่นจะรักษากฎเหมือนท่านหรือครับ? หากต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่รักษากฎ เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษากฎครับ เราต้องรู้จักพลิกแพลง เมื่อครู่อาจารย์เพิ่งจะบอกเองว่าเบื้องหลังสองตระกูลนั้นมีคนหนุนหลังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลพานหรือว่าหอการค้าตระกูลโจว พวกเขาก็ล้วนแต่ไม่สามารถนั่งมองหอการค้าตระกูลฉินผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่โดยไม่ทำอะไรได้ พวกเขาจะต้องสู้เหมือนหมาจนตรอกอย่างแน่นอน ซึ่งอิทธิพลของคนเหล่านั้นเป็นอย่างไรท่านก็รู้ดี พวกเขาเห็นว่าท่านคอยขัดแข้งขัดขาพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาคิดจะหาวิธีย้ายท่านออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ย เพื่อที่พวกเขาจะได้ลงมือกับหอการค้าตระกูลฉินได้สะดวก”
ลั่วเทียนเหอโมโห “ลำพังหอการค้าสองแห่ง มีสิทธิ์อะไรสอดมือเข้ามาใช้งานเจ้าหน้าที่ของสภาเซียน?”
หนานหรูกล่าว “นี่ไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีสิทธิ์หรือว่าไม่มีสิทธิ์ แต่กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้ครับ ผมไม่ปิดบังอาจารย์ก็แล้วกัน เมื่อครู่ผมเพิ่งได้รับแจ้งมา ทางเหนียงเหนียงทรงได้รับข้อมูลลับมา บอกว่าทางตระกูลกงหู่ที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลพานและตระกูลเซียงหลัวที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลโจวได้พยายามปลุกปั่นหาเรื่องท่านในสภาสูงแล้ว โดยอ้างเหตุผลเรื่องที่ในเมืองปู๋เชวี่ยมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ยังมีเรื่องหนอนบ่อนไส้ในค่ายผู้พิทักษ์เทพคราวนี้ด้วย พวกเขาคิดจะกล่าวโทษว่าท่านไร้ความสามารถ คิดจะย้ายท่านออกไปจากตำแหน่งเจ้าเมืองปู๋เชวี่ยครับ”
ลั่วเทียนเหอโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ใบหน้าคร่ำเคร่งเป็นอย่างมาก หากคิดจะใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหล่านั้นมากล่าวโทษเขาจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ว่าตัวเองไม่มีความรับผิดชอบในเรื่องนี้
หนานหรูกล่าวต่อว่า “ความจริงแล้วเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินสู้กับพวกเขา ใครจะแพ้ใครจะชนะ ใครจะตายใครจะอยู่ ผมไม่ได้สนใจเลย แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งสนใจด้วย แต่ผมต้องพิจารณาถึงเรื่องอื่นด้วย คนมีปัญญาต่างมองออกว่าท่านกับผมเป็นคนของเหนียงเหนียง ท่านถูกย้ายมาที่นี่ ถูกย้ายมาอยู่ในการดูแลของผม นั่นเป็นเพราะเหนียงเหนียงดูแลท่าน หากท่านเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ หากผมปล่อยให้ท่านถูกสองตระกูลนั้นจัดการได้ง่ายๆ แล้วจะให้คนอื่นมองเหนียงเหนียงยังไงล่ะครับ? แล้วผมจะไปอธิบายกับเหนียงเหนียงอย่างไร? อาจารย์ครับ หากปล่อยให้สองตระกูลนั้นเขี่ยท่านออกไปได้ แล้วท่านจะให้เหนียงเหนียงเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะครับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าลั่วเทียนเหอก็ค่อยๆ หายไป เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หนานหรูโค้งกายให้เขา “อาจารย์ครับ ในเมื่อผมทราบเรื่องนี้แล้ว ผมก็จำเป็นต้องคิดแล้วว่าจะปกป้องท่านอย่างไร ผมไม่อาจนั่งมองพวกเขาเล่นงานอาจารย์สำเร็จโดยไม่ทำอะไรได้ แล้วก็ยิ่งไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้ ลงมือก่อนได้เปรียบครับอาจารย์!”
ลั่วเทียนเหอค่อยๆ ถอนใจออกมา “จับพวกเขาไปแล้วจะแก้ไขปัญหาได้เหรอ?”
หนานหรูกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่นอนครับ? อาจารย์ลองคิดดูสิครับ ท่านชิงลงมือจับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะเล่นงานท่าน ถ้าตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวยังสร้างปัญหาให้ท่านอีกล่ะก็ อย่างนั้นจุดประสงค์ที่ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวสร้างปัญหาให้ท่านก็จะเปลี่ยนไป แล้วพวกเขายังจะกล่าวโทษท่านได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกหรือครับ?”
แววตาของลั่วเทียนเหอวูบไหว คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
หนานหรูกล่าวต่อว่า “คดีนี้ ขอเพียงเป็นคนมีปัญญาย่อมต้องมองออกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว แต่กลับไม่มีหลักฐานที่จะจัดการพวกเขา หอการค้าสองแห่งกล้าสอดมือเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพเพราะเรื่องการประมูล ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการประมูลที่ทางสภาเซียนจัดขึ้นมาด้วย นี่ถือว่าได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรไปแล้ว หากคนอื่นๆ พากันอาศัยกลุ่มอำนาจที่ตนมีอยู่แล้วเอาอย่างพวกเขา แบบนั้นมันใช้ได้หรือครับ?”
“ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่อาจารย์จะลงมือ! หากการสั่งสอนตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ มันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาระเบียบและอำนาจของสภาเซียน เช่นนั้นเสียงต่อว่าจากทางสภาสูงที่มีต่ออาจารย์คงจะไม่รุนแรงนัก อย่างน้อยฝ่าบาทคงจะไม่ทรงว่าอะไร ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวก็จะต้องครุ่นคิดดูแล้วว่าอะไรควรไม่ควร….อาจารย์ครับ นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างลงมือก่อนกับลงมือทีหลังอย่างไรล่ะครับ!”
เข้าใจแล้ว! ลั่วเทียนเหอเองก็ฟังเข้าใจแล้ว แต่บนใบหน้ากลับมีสีหน้าเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย มองดูลูกศิษย์ที่ตนเองภาคภูมิใจคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ถือว่าได้เรียนรู้อีกครั้งแล้ว นักเรียนของตนคนนี้ดูคล้ายบัณฑิตอ่อนแอ บุคลิกท่าทางดูสง่างาม ทว่าความจริงกลับอ่อนนอกแข็งใน เต็มไปด้วยความแน่วแน่และเด็ดขาด เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว!
สุดท้ายเขาก็ยอมอ่อนข้อ ถอนใจพลางกล่าวว่า “เธอนี่พูดเก่งจริงๆ ฉันไม่เคยเถียงชนะเธอได้สักครั้งเลย ดูเหมือนฉันจะแก่แล้วจริงๆ”
หนานหรูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เขาอยากจะพูดจริงๆ ว่านี่มันใช่เรื่องเถียงชนะหรือเถียงไม่ชนะที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นความจริง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของท่าน มีหรือที่ท่านจะฟังผม?
เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก หนานหรูประสานมือ โค้งตัวคำนับ
……
เรื่องที่เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินถูกคนเล่นสกปรกนั้นพอจะมีข้อสรุปแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้อง
ในที่สุดก็ออกมาจากห้องสอบสวน ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง หลัวคังอันถอนใจออกมายาวๆ ทีหนึ่ง แล้วก็มองเห็นหลินยวนที่ออกมาก่อนหน้าและกำลังรออยู่ด้านนอก พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเหมือนผู้ติดตามและผู้ช่วยของตนเองจริงๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถสะกดอารมณ์ไม่ให้ต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจได้
เขารีบเดินเข้าไปหาหลินยวน ทั้งสองคนพบหน้ากันแล้วเดินออกไป ระหว่างทางหลินยวนสอบถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ในตอนที่กลับมาถึงประตูทางเข้าโรงเก็บเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉิน พวกเขามองเห็นฉินอี๋และไป๋หลิงหลงที่กำลังยืนรออยู่อีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันตรงประตูทางเข้า ฉินอี๋มองหลัวคังอันด้วยสายตาคร่ำเคร่งเป็นอย่างมาก คล้ายมีดที่จะแล่เนื้อเถือหนังเขาออกเป็นชิ้นๆ
ในสายตาของไป๋หลิงหลงมีความรู้สึกดูแคลนปรากฏขึ้นมารางๆ
หลัวคังอันกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก ภายในใจลอบด่าหลินยวนไม่หยุด หลายๆ เรื่องในตอนที่ทำนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้เผชิญกับผลลัพธ์แล้วถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ความกระอักกระอ่วนแบบธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหลบหลีกมันได้ ได้แต่ต้องแสร้งทำเป็นเกรงใจด้วยท่าทีที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านประธานครับ”
ฉินอี๋จ้องมองเขา “เรื่องของเสวี่ยหลาน ฉันหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองนะคะ ฉันไม่ได้ล้อเล่น!”
พูดแบบนี้ก็แสดงว่าไม่มีเรื่องแล้ว หลัวคังอันลอบถอนใจ กล่าวสำนึกผิดด้วยท่าทีอับอาย “ผิดพลาดน่ะครับ เสียท่าผู้หญิง!”
หลินยวนหลุบตาทันที คล้ายไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“….” ฉินอี๋รู้สึกหมดคำพูด สุดท้ายตอนนี้เธอก็ยังทำอะไรหลัวคังอันไม่ได้ จึงไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้ต่ออีก หากแต่เปลี่ยนประเด็นไปว่า “เดี๋ยวไปเก็บข้าวของ ตอนบ่ายเราจะกลับไปเมืองปู๋เชวี่ยด้วยกันค่ะ”
หลัวคังอันรับคำ กระทั่งหญิงสาวทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว เขารีบหันไปถามหลินยวนทันทีว่า “ผลการประมูลออกมาหรือยัง?”
หลินยวนกล่าว “ยัง หอการค้าอื่นๆ จะเลือกวันเพื่อทำการทดสอบด่านที่สองต่อ ตอนนี้หอการค้าตระกูลฉินยังไม่ต้องทำอะไร”
หลัวคังอันมองเห็นเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงที่กำลังทำงานอยู่ภายในโรงเก็บ จากนั้นกวาดตามองไปรอบๆ กล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องของฉันกับเสวี่ยหลาน ถูกเปิดเผยหรือยัง?”
หลินยวนกล่าว “จะปิดได้เหรอ? ตอนที่ถูกสอบปากคำคงจะถูกถามกันหมดแล้ว”
หลัวคังอันถอนใจ “เรื่องดีเรื่องร้ายก็ให้ฉันรับเอาไว้หมดเลย น้องหลิน ครั้งนี้ฉันจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเลยนะ!” ไม่รู้เช่นกันว่าเขากำลังเรียกร้องผลประโยชน์อะไร
“หาเรื่องเอง” หลินยวนเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เดินเข้าไปด้านในโรงเก็บเทพมหาวิญญาณ
คนที่อยู่ด้านในมองเห็นหลัวคังอัน สีหน้าของแต่ละคนดูแปลกๆ
หลัวคังอันพยายามฉีกยิ้มออกมา เดินเข้าไปพร้อมโบกมือทักทายทุกคน
หลินยวนที่นั่งอยู่อีกด้านมองดู พบว่าคนผู้นี้หน้าด้านจริงๆ
……
ริมทะเลสาบ หอกุยโหลว เวลานี้กลายเป็นที่พักของหนานชีหรูอัน
รถสองสามคันเคลื่อนที่เข้ามา หยุดอยู่ริมทะเลสาบ ฉินอี๋ลงจากรถ หนานชีหรูอันที่มารอต้อนรับอยู่ตรงปลายสะพานริมฝั่งพยักหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย
ที่ฉินอี๋มาครั้งนี้ หนึ่งคือเพื่อบอกลา สองคือเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว เธอเองก็จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนให้กับทางตระกูลหนานชี เรื่องบางเรื่องต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่เธอจะจากไป หนานชีหรูอันเองก็ต้องจัดการเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อยเพื่อมอบคำอธิบายให้แก่ทางตระกูล และมอบคำอธิบายให้แก่ฉินอี๋
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ทั้งสองคนทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นหนานชีหรูอันผายมือเชิญให้ฉินอี๋เข้าไปด้านใน
ในตอนที่ทั้งสองเดินเคียงคู่กันอยู่บนสะพาน หนานชีหรูอันหยิบร่มออกมาคันหนึ่ง ฉินอี๋เหลือบมอง พบว่าคนผู้นี้ช่างพิถีพิถันจริงๆ
แต่ใครจะไปรู้ว่าหนานชีหรูอันกลับกางร่มออกแล้วยื่นร่มมาที่ศีรษะของเธอ บังแดดเอาไว้ให้เธอ
คนที่อยู่ด้านนอกหอกุยโหลวเมื่อได้เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไป๋หลิงหลงที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
หนานชีหรูอันเป็นใคร การที่คนอย่างเขามากางร่มให้ฉินอี๋อย่างนี้มันดูค่อนข้างคลุมเครือ เกรงว่าจะไม่ให้คนอื่นคิดมากคงจะเป็นไปได้ยาก
ฉินอี๋เองก็รู้สึกได้เช่นกันว่าการทำแบบนี้มันดูไม่เหมาะสักเท่าไร แบบนี้มันจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ เธอจึงขยับตัวไปด้านข้าง ทว่าพื้นที่สะพานมีจำกัด อีกทั้งยังมีราวกั้นขวางเอาไว้ เธอหลบไปไหนไม่ได้ จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็ล้วนแต่ไม่ค่อยเหมาะ จึงต้องจำใจเดินอยู่ใต้ร่มของหนานชีหรูอัน
ฉินอี๋รีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ทำไมไม่เห็นเทพธิดาฉิงชุ่ยล่ะคะ?”
ความจริงคือเธอกำลังกล่าวเตือนหนานชีหรูอันว่าคุณมีผู้หญิงของคุณแล้ว ระวังจะเกิดความเข้าใจผิดได้
แต่หนานชีหรูอันกลับไม่สนใจ ยิ้มเล็กน้อยพลาวกล่าวว่า “เธอเป็นคนที่อยู่เฉยไม่ได้ ถ้าให้เธออยู่ในหอกุยโหลวทั้งวัน เธออยู่ไม่ได้หรอกครับ ผมให้คนไปเที่ยวในเมืองเป็นเพื่อนเธอแล้ว เรื่องงานบางเรื่อง จะให้เธอมาฟังก็ไม่ค่อยเหมาะเหมือนกัน”
ฉินอี๋กล่าว “แต่เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าเทพธิดาฉิงชุ่ยจริงใจกับคุณชาย” เธอยังคงกล่าวเตือน
หนานชีหรูอันหัวเราะฮ่าๆ “จริงใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ความจริงคือคนเราต่างฉกฉวยสิ่งที่ตนเองต้องการ ผมไม่เชื่อหรอกนะครับว่าด้วยสายตาของประธานฉินแล้วจะมองไม่ออก ความจริงแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าผมกับประธานฉินนั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเราเดินไปด้วยกันดูเหมาะสมกันมาก คุณว่าไหมครับ?” เขาเองก็กำลังแอบบอกอะไรบางอย่างเป็นนัยเช่นกัน
ฉินอี๋กล่าว “คุณชายล้อเล่นแล้วค่ะ ดูเหมือนคุณชายจะยังไม่รู้จักฉัน ฉันจะไม่ปิดบังคุณชายแล้วกัน ฉันไม่สนใจผู้ชายค่ะ ฉันชอบผู้หญิง!”
“…..” หนานชีหรูอันผงะไปทันที รีบเหลียวหน้ากลับไปมองไป๋หลิงหลง สีหน้าเรียกได้ว่าตื่นตะลึง รู้สึกตกใจเล็กน้อย
ภายในใจบ่นพึมพำขึ้นมา มิน่าล่ะ จากข่าวที่รวบรวมมาได้ ประธานฉินคนนี้ไม่เคยคบหากับผู้ชายเลย ที่แท้ก็ชอบอะไรแบบนั้นนี่เอง
เฮ้อ! ภายในใจไป๋หลิงหลงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธออยากจะบอกฉินอี๋จริงๆ ว่าจะปฏิเสธเขาไปก็ช่าง แต่อย่าทำชื่อเสียงฉันป่นปี้ไปด้วยสิ!
แต่ภายนอกเธอยังคงยิ้มให้หนานชีหรูอันที่มองมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วเนี่ย เธอมองดูแผ่นหลังของฉินอี๋กับหนานชีหรูอันจากทางด้านหลัง คนหนึ่งก็เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่สวมชุดโบราณสีขาว อีกคนก็เป็นหญิงงามที่สวมชุดสมัยใหม่ สองคนสองรูปแบบเดินเคียงกันไป แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกขัดแย้งใดๆ ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกว่าเหมาะสมกันมากเสียด้วยซ้ำ
ประกอบกับภูมิหลังชาติตระกูลของหนานชีหรูอัน หากทั้งสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ ล่ะก็ นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อหอการค้าตระกูลฉินขนาดไหน เพียงแค่คิดดูก็พอจะรู้ได้
อย่างน้อยเธอก็มองว่าดีกว่าจะให้ฉินอี๋ไปอยู่กับคนไร้ค่าอย่างหลินยวนคนนั้นมากนัก
แต่แน่นอน เธอรู้หน้าที่และฐานะของตัวเองดี แล้วก็เคยได้รับการสั่งกำชับจากปู่ของเธอเอาไว้แล้วว่าจะไม่ข้ามเส้น จะไม่ช่วยฉินอี๋ทำการตัดสินใจใดๆ อย่างมากก็เพียงแค่เตือนเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งสามเดินเข้าไปในหอกุยโหลว หนานชีหรูอันเองก็เก็บร่ม เชิญแขกผู้มาเยือนขึ้นไปชั้นบน
ยามที่ขึ้นไปนั่งยังชั้นบนแล้วทอดตามองออกไป ทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบและภูเขาล้วนแต่ปรากฏขึ้นแก่สายตา
หนานชีหรูอันเทชาให้ด้วยตัวเอง ยิ้มพลางกล่าวถามว่า “บ่ายนี้จะไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงรีบกลับล่ะครับ?”
ฉินอี๋กล่าว “ต้องกลับไปเตรียมตัวป้องกัน เผื่อจะมีหอการค้าอื่นผ่านด่านทดสอบได้น่ะค่ะ เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินเสียหายถึงขนาดนี้ ต้องกลับไปทำการซ่อมแซมเพื่อเตรียมตัว อีกทั้งฉันจากหอการค้ามานานแล้ว มีธุระหลายเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการค่ะ”
หนานชีหรูอันเลื่อนจอกชาคริสตัลให้เธอ “รากฐานของหอการค้าเหล่านั้นเป็นอย่างไร ทางตระกูลหนานชีล้วนทราบดี หากจะอาศัยเพียงอิทธิพลและอำนาจล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครผ่านด่านที่สองเหมือนอย่างหอการค้าตระกูลฉินได้ ขอเพียงผมจับตาดูการทดสอบในด่านที่สองเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มีใครเล่นลูกไม้สกปรกอะไร สุดท้ายผลการประมูลก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน ไม่ต้องกังวลไปเลยครับ”
…………………………………………………….