ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 126 ผู้หญิงคนนี้มีพิษ
ตอนที่ 126 ผู้หญิงคนนี้มีพิษ
สําหรับหลัวคังอันแล้ว เรียกได้ว่ากลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ
แต่เขาชื่นชอบความรู้สึกที่ได้รับความเคารพจากคนอื่นอย่างมาก โดยเฉพาะความรู้สึกของการได้รับความเคารพจากประธานของหอการค้าตระกูลฉิน ความรู้สึกนั้นทำให้เขารู้สึกโล่งสบายไปทั้งตัว
พูดอีกอย่างคือขาดอะไรก็ต้องการอย่างนั้น
ตอนที่เขาเป็นผู้พิทักษ์เทพอยู่ที่เมืองหลวง ถึงแม้เขาจะมีเพื่อนเยอะแค่ไหน แต่เขาต้องแลกมาด้วยอะไร ภายในใจเขาย่อมทราบดี ทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นขยะไร้ประโยชน์ ภายนอกเขาดูมีความสุขและไม่สนใจอะไร แต่เป็นไปได้หรือที่ภายในใจเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ
ที่เขาเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าตัวเองช่วยท่านสองเอาชนะป้าหวังได้ ดูคล้ายว่าเขาคิดจะใช้มันในการจีบผู้หญิง แต่ลึกๆ แล้วยังคงเป็นเพราะเขาอยากได้รับความเคารพจากผู้อื่น
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาได้เข้าถึงบทบาทแล้ว ในเวลานี้ภายนอกกำลังแสร้งทำเป็นยอดฝีมืออยู่ แต่ภายในใจกลับกำลังรู้สึกวิตกกังวล บนใบหน้าเองก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมามากนัก เพียงหันกลับไปมองหลินยวนเล็กน้อยเท่านั้น
ฉินอี๋กล่าวต่อว่า “ดังนั้นฉันจึงอยากถามคุณหลัวว่า จากประสบการณ์ของคุณแล้ว ในตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับแขนของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินกันแน่ ลองบอกสาเหตุมาหน่อยสิคะ ทางเราจะได้เตรียมรับมือถูก”
การตัดสินใจบางอย่างมันยากที่จะทำออกมาได้ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ หลัวคังอันรู้สึกไม่สบายใจ จึงนิ่งเงียบอยู่นาน
หลินยวนชำเลืองมองพลางเอ่ยกระตุ้นว่า “เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงกำลังตรวจสอบกันอยู่ อีกไม่นานก็น่าจะรู้ผลแล้ว”
ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา หลัวคังอันก็รู้ว่าไม่สามารถปกปิดต่อไปได้อีกแล้ว จึงพูดออกมาว่า “จากประสบการณ์ของผม น่าจะมีคนมาเล่นสกปรกอะไรเอาไว้ ผมคิดว่ามีใครบางคนตั้งใจจะทำลายเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินครับ”
“เล่นสกปรก?” ฉินอี๋ตกใจไม่น้อย จึงรีบเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “คุณหลัว คุณแน่ใจนะคะ?”
ไป๋หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินที่ถูกดูแลอย่างเข้มงวดขนาดนั้น ทำไมถึงมีคนมาเล่นสกปรกได้? เว้นเสียแต่ว่าจะมีหนอนบ่อนไส้!
หลัวคังอันพยักหน้า “ถ้าผมคิดไม่ผิดล่ะก็ มันน่าจะเป็นแบบนั้นครับ”
ฉินอี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก รีบก้าวเดินออกไปทันที รีบเดินไปที่โรงเก็บเทพมหาวิญญาณเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง ไป๋หลิงหลงเองก็รีบเดินตามเธอไป
เมื่อไม่มีคนอยู่ข้างๆ หลัวคังอันจึงถอนใจออกมา “น้องหลิน คนของเจ้าแคว้นหนานหรูกําลังจะมาถึงแล้ว”
หลินยวน “นายกลัวเหรอ?”
หลัวคังอัน “ไม่กลัวได้ไง? น้องหลิน นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลินยวน “หวังดีกับนายไง”
หลัวคังอันยิ้มเจื่อน “หวังดีกับฉัน? เจ้าแคว้นหนานหรูเป็นตัวแทนของสภาเซียนในการจัดงานประมูลครั้งนี้เลยนะ เดี๋ยวพอฉันไปตำหนักคุนกว่าง ทันทีที่ฉันโกหกเจ้าแคว้นหนานหรู นั่นมันจะหมายความว่ายังไง? นั่นเท่ากับว่าฉันลงไปในเรือโจรของนาย ถอนตัวออกมาไม่ได้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้โง่ เรื่องบางเรื่องยังคงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
หลินยวน “หากเกิดเรื่องขึ้น ฉันก็ต้องร่วมรับผิดชอบกับนายเหมือนกัน นายจะกลัวอะไร?”
หลัวคังอัน “นี่มันรับผิดชอบร่วมกันตรงไหน ฉันไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของนายเลย หรือนายจะยอมเสี่ยงอันตรายง่ายๆ กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ นายจะหนีไปน่ะสิ ถึงตอนนั้นก็เหลือแค่ฉันที่ซวยคนเดียว ”
หลินยวน “นายจะไม่ไปก็ได้ หรือนายจะไปแล้วพูดความจริงก็ได้เหมือนกัน ฉันไม่บังคับนาย แต่นายต้องคิดถึงผลที่ตามมาให้ดี”
“ถ้านายไม่ทำแล้วพูดความจริงออกไป นายก็จะถูกตรึงไว้กับเสาแห่งความอัปยศไปตลอดชีวิต อยู่ในหอการค้าตระกูลฉินต่อไปไม่ได้ แล้วก็ไม่มีทางที่จะมีหอการค้าตระกูลฉินแห่งที่สองมาให้นายหลอกได้อีก ในอนาคตแม้แต่ความต้องการขั้นพื้นฐานก็ยากที่จะได้รับในดินแดนเซียน ถูกผู้คนเยาะเย้ย ไม่มีเงิน ไม่มีผู้หญิง นายจะสูญเสียทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า”
“แต่ถ้านายทำ นายจะได้รับชื่อเสียง เงินทอง แม้กระทั่งอำนาจ แล้วก็ยังมีความเลื่อมใสชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วน ไม่ว่านายจะไปที่ไหน ผู้คนก็จะพากันเคารพนายในฐานะหลัวคังอัน สาวงามทั้งหลายจะพากันเทิดทูนนาย”
“และนี่คือข้อแตกต่างระหว่างการสู้และไม่สู้ ทางหนึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์จนผู้คนต้องแหงนหน้ามอง อีกทางหนึ่งเป็นผู้ต่ำต้อยที่ถูกผู้คนเหยียบย่ำเหมือนโคลนตม”
“สู้สักครั้ง นายก็จะได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้าไม่สู้ นายก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่นายมีอยู่ตอนนี้!”
“ฉันบอกแล้ว นายจะต้องเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตใหม่”
“การเปลี่ยนแปลงอยู่ใกล้แค่เอื้อม นายจะสู้เพื่อเปลี่ยนชีวิตหรือไม่ นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับนาย!”
หลัวคังอันกล่าว “ดูนายพูดเข้า ทำเอาฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีทางเลือกเลย”
หลินยวน “ฉันแค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง”
หลัวคังอันมองไปที่เขา “แต่ฉันรู้สึกเหมือนนายเป็นปีศาจที่ค่อยๆ ล่อลวงฉันให้ตกลงไปในนรก”
หลินยวนเบนสายตาไปยังผู้พิทักษ์เทพที่จ้องมองมาทางนี้จากอีกด้านหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นพวกที่เลื่อมใสในตัวหลัวคังอัน เอ่ยอย่างเนิบๆว่า “ถ้านายอยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง มีชื่ออยู่ในบันทึกรายชื่อเซียน แล้วนายจะเป็นเซียนที่สูงส่งได้เลยเหรอ? นายจะใช้ชีวิตโดยไร้กังวลได้เหรอ? หากไม่ได้ใช้ชีวิตดั่งใจ มีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่นรก? มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะพูดอะไร สิ่งที่ล่อลวงนายจะดีหรือไม่ดี ตัวนายย่อมคิดเองได้ หากไม่เคยลงไปในนรก แล้วจะรู้ได้ยังไงว่านรกไม่ดี? ”
หลัวคังอันยิ้มเจื่อน นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันถามขึ้นมาว่า “ฉันเห็นนะว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกับประธานฉินไม่ปกติ ตกลงพวกนายมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?”
ตัวหลินยวนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับฉินอี๋มันคืออะไรกันแน่ เขาค่อนข้างเกลียดสถานการณ์ระหว่างตัวเองกับฉินอี๋ในเวลานี้ สถานการณ์แบบนี้มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองถูกรบกวน ทำให้ตัวเองไม่สามารถคิดไตร่ตรองอย่างใจเย็นได้ แล้วก็ทำให้การลงมือและการวิเคราะห์ของตัวเองไม่มีความแม่นยำมากพอ
จากประสบการณ์ของตัวเขาเอง เขารู้ดี นี่เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมาก!
และท่าทีของฉินอี๋ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้เขารู้สึกว่าฉินอี๋เป็นผู้หญิงมีพิษ เป็นพิษที่น่ากลัวอย่างมาก อันตรายต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่ในตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับฉินอี๋ เขากลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับฉินอี๋ดี
ก่อนที่ฉินอี๋จะเปิดเผยความในใจ หากฉินอี๋มาบีบคั้นจนเขาร้อนใจล่ะก็ บางทีเขาอาจจะจัดการกับฉินอี๋อย่างเด็ดขาดได้!
แต่ว่าในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับฉินอี๋ คิดไม่ถึงว่าประสบการณ์นองเลือดในช่วงเวลาหลายปีมานี้จะไม่สามารถทำให้เขาหักใจทำอะไรได้
ผู้หญิงที่สวยกว่าฉินอี๋เขาเคยเจอมาแล้ว ผู้หญิงที่เซ็กซี่กว่าฉินอี๋เขาเคยเจอมาแล้ว ผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่ายกว่าฉินอี๋เขาก็เคยเจอมาแล้ว แน่นอนว่าผู้หญิงที่ไร้เหตุผลกว่าฉินอี๋เขาก็เจอมาแล้ว
บอกตามตรง จากสายตาของเขาในปัจจุบัน เขาไม่เห็นว่าฉินอี๋จะมีอะไรดี แล้วก็ไม่คิดว่าฉินอี๋จะมีอะไรที่ดึงดูดเขาได้
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าฉินอี๋เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ฉินอี๋คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปดู ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วฉินอี๋ก็ยังเป็นฉินอี๋คนเดิมคนนั้น ยังคงเป็นฉินอี๋ที่รู้สึกกับเขาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
แท้จริงแล้วระหว่างเขากับฉินอี๋ คนที่เปลี่ยนไปจริงๆ แล้วคือตัวเขา
ฉินอี๋ที่อยู่กับเขาในตอนที่เขายังเป็นเพียงคนธรรมดาที่สุดคนนั้นยังคงอยู่ ฉินอี๋ได้บอกเขาผ่านการกระทำไปแล้วว่าสามร้อยปีที่ผ่านมาเธอยังคงรอเขาอยู่!
นี่ทำให้เขารู้สึกสับสนขึ้นมาทันที ยิ่งต้องผ่านความซับซ้อนมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองต้องการอะไร
เขาถามใจตัวเองว่าถ้าหากมีความจำเป็น เขายังจะลงมือจัดการฉินอี๋ได้หรือไม่?
ตั้งแต่วันที่เขากลับมาที่โรงอีหลิว จู่ๆ ฉินอี๋ก็มาหาเขา ซึ่งเขาก็รู้สึกถึงความอันตรายของฉินอี๋ได้รางๆ แล้ว ที่เขาพยายามหลบหลีกและรักษาระยะห่างก็เป็นแค่เพราะเขาไม่ยินดีจะเผชิญหน้า และตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าฉินอี๋นั้นอันตรายกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
เขาเพิ่งรู้ว่านี่มิใช่เรื่องที่จะจัดการได้ด้วยการใช้กําลังและการฆ่า แล้วก็เป็นเรื่องที่เขาแก้ไขได้ไม่เก่งเช่นกัน
การแทรกแซงของผู้อาวุโสรุ่นก่อนทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายซับซ้อนขึ้น กระทั่งไม่สามารถอาศัยความเยือกเย็นและสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาได้
เขาเกลียดความรู้สึกนี้มาก!
เขาไม่รู้จะอธิบายกับหลัวคังอันยังไง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วย ดังนั้นเขาจึงแค่เตือนอย่างเย็นชาว่า “เมื่อถึงเวลานายก็จะรู้เอง ในตอนที่ยังไม่ควรรู้ ก็ทำเป็นไม่เห็นอะไร ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นนายจะไม่มีโอกาสได้ทำการเลือกใดๆ อีก”
ทำไมจะต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วยวะ? หลัวคังอันเหลือบมองเขาเล็กน้อย ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน “ตกลง เอาเป็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งจากทางตำหนักคุนกว่างเดินทางมาถึงแล้ว ซุนฉีซั่งเพียงแค่แจ้งข่าวให้ทางนี้ทราบก่อนเท่านั้น เขาเองก็ไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้เช่นกัน
เจ้าหน้าที่กล่าวทักทายฉินอี๋ ก่อนจะเชิญหลัวคังอันออกไปด้วยกัน
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อหลัวคังอันอย่างสุภาพ ความแข็งแกร่งคือพื้นฐานที่ทำให้คนเคารพ
ฉินอี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงเก็บเทพมหาวิญญาณมองดูพวกเขาจากไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงได้ให้คำตอบบางอย่างกับเธอแล้ว ตอนนี้เมื่อดูคร่าวๆ แล้ว เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินเหมือนจะถูกคนทำให้เสียหายจริงๆ
อันที่จริงฉินอี๋เชื่อในคำพูดของหลัวคังอันตั้งแต่ก่อนจะได้รับคำตอบแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินที่ก่อนหน้านี้ทำงานได้ปกติมาโดยตลอดถึงไม่เคยเกิดปัญหา แล้วเกิดปัญหาตอนไหนไม่เกิด ทำไมต้องมาเกิดปัญหาขึ้นหลังจากเริ่มการประมูลด้วย?
เธออยากจะไปตำหนักคุนกว่างกับหลัวคังอัน แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธ บอกว่าหากไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง
ฉินอี๋หันกลับไปมองหลินยวนที่ยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล แต่เธอเองก็ไม่มีเวลามาสนใจหลินยวนเช่นกัน เธอให้คนไปตามคนของค่ายผู้พิทักษ์เทพมาทำการตรวจสอบด้วยกันทันที แล้วก็ถือว่าให้มาเป็นพยานด้วย อีกประเดี๋ยวจะได้ไม่มีใครมาบอกว่าทางนี้สร้างเรื่องขึ้นมา
…..
“เป็นเพราะพวกนายนั่นแหละ ทั้งๆ ที่มีโอกาสลงมือแล้ว แต่กลับทำให้เสียแขนไปแค่ข้างเดียว แทนที่จะจัดการให้มันเด็ดขาดไปซะ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหรอ?”
ทันทีที่มีข่าวออกมาจากทางตำหนักคุนกว่าง พานชิ่งกับโจวหม่านเชาก็รีบมาเจอกันทันที โจวหม่านเชาต่อว่าด้วยความโมโห
ปั้ง! พานชิ่งตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “จะให้จัดการให้เด็ดขาดก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่นึกอยากจะทำแล้วก็ทำได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนายบอกว่าหลัวคังอันเป็นตัวไร้ประโยชน์ จะใช้แผนซ้อนแผน มันจะกลายเป็นแบบนี้ได้เรอะ?” ขณะกล่าวก็ชี้ไปที่เผิงซี
เผิงซีที่อยู่ข้างๆ มีใบหน้าคร่ำเคร่ง ไม่ได้ทำการตอบโต้ใดๆ เขาไม่สามารถปัดความรับผิดชอบในความผิดพลาดครั้งใหญ่ครั้งนี้ไปได้ เขาวิเคราะห์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง!
ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย เพราะพวกเขารู้ว่าทางตำหนักคุนกว่างมีคนจ้องจะเล่นงานเรื่องที่แขนของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินเกิดปัญหา คิดจะใช้ปัญหาในเรื่องนี้มากล่าวโทษว่าข่ายพลังของหอการค้าตระกูลไม่สมบูรณ์ กล่าวโทษว่ามีปัญหาที่ร้ายแรงอยู่ และพยายามใช้สิ่งนี้มาทำลายโอกาสที่จะชนะการประมูลของหอการค้าตระกูลฉิน
ซึ่งอันที่จริงแล้วทั้งสองตระกูลไม่ต้องการให้ใครใช้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นกล่าวโทษหอการค้าตระกูลฉิน แต่ ณ จุดนี้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังของหอการค้าอื่น ๆ ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทันทีที่มีการตรวจสอบปัญหานี้ สุดท้ายก็จะต้องตรวจพบอย่างแน่นอนว่าเทพวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินถูกคนเล่นสกปรก
พวกเขาไม่ได้กลัวว่าเรื่องราวจะสืบสาวมาถึงตระกูลของตัวเอง เพราะพวกเขาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ซึ่งมันแทบจะไม่มีโอกาสสืบสาวมาถึงพวกเขาได้เลย
ทว่าขอเพียงสืบทราบถึงสาเหตุของปัญหา ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่มันก็เดาได้ว่าใครเป็นคนทำ
เมื่อไม่มีหลักฐานก็แค่ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แต่การที่สอดมือเข้าไปก่อปัญหาขึ้นในค่ายผู้พิทักษ์เทพนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง และลั่วเทียนเหอจะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน สำหรับพวกเขาทั้งสองแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้นั้นเป็นอุปสรรคต่อการจัดการขั้นต่อไป ในแง่หนึ่งแล้วมันเท่ากับเป็นการช่วยหอการค้าตระกูลฉิน
ถ้าจะโกรธก็โกรธตรงที่จู่ๆ ทางฝั่งหอการค้าตระกูลฉินก็มีหลัวคังอันมาช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงไม่เป็นอย่างนี้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเขาเพิ่งจะได้รับข่าวด่วนมาจากตระกูลที่อยู่เบื้องหลัง บอกว่าเมื่อสักครู่นี้คนของตระกูลหนานชีที่อยู่ในสภาสูงของสภาเซียนได้ก้าวออกมาเป็นคนแรก ทำให้ภายในสภาสูงเกิดการถกเถียงกันเรื่องการประมูล ซึ่งประสิทธิภาพที่เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินแสดงออกมาทำให้คำพูดของตระกูลหนานชีมีน้ำหนักอย่างมาก สามารถระงับข้อพิพาทได้ด้วยข้อเท็จจริง
ภายใต้การสนับสนุนอย่างเป็นเหตุเป็นผลของตระกูลหนานชี ในสภาสูงของสภาเซียนแทบจะเห็นพ้องต้องกันว่าถ้าหากหอการค้าอื่นๆ ไม่พอใจในผลการประมูล ก็สามารถไปรับการกระแทกหนึ่งหมื่นครั้งในด่าน ‘หล่อหลอมกายา’ ที่เป็นด่านที่สองเหมือนอย่างหอการค้าตระกูลฉินดูได้ ถ้าผ่านด่านนี้ได้แล้วค่อยมาว่ากัน
มีรายงานว่าการแสดงความสามารถของเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินในการประมูลครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทางกองทัพของดินแดนเซียนเป็นอย่างมาก หยางเจินที่เป็นผู้บังคับบัญชาของวังพิฆาตมารเองก็ได้แสดงความเห็นออกมาในสภาสูงด้วยเช่นกัน ครั้งนี้หยางเจินที่มีความยุติธรรมเสมอมาได้แสดงท่าทีเอนเอียงมาทางฝั่งตระกูลหนานชี
…………………………………………………………