ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 11 ไม่ได้เรื่อง
ตอนที่ 11 ไม่ได้เรื่อง
หลิ่วจวินจวินเองก็ไม่ได้มาเพื่อคุยเล่น เธอจึงไม่พูดอ้อมค้อมใดๆ อีก “ได้ยินว่าฉินอี๋รับนายเข้าตระกูลฉิน ฉันอยากรู้ว่านายคิดยังไง”
หลินยวนถึงเอ่ยปากอธิบายทันที “ผมไม่ได้อยากไป”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “อย่างนั้นก็ดี ฉันรู้ว่าฉินอี๋เป็นฝ่ายมาหานายเอง แต่พ่อของเธอไม่ต้องการให้ระหว่างพวกเธอมีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ต่อไปต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก แบบนี้จะดีต่อทุกคนมากกว่า นายคิดว่ายังไง?”
หลินยวนกล่าว “ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ก่อนอื่นเลยคือคุณนายหลิ่วคงต้องให้ฉินอี๋ปล่อยผมไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าผมไม่ไปตระกูลฉิน เธอก็จะส่งผมเข้าคุกแทน”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “นายเพิ่งจะรู้จักกับฉินอี๋ได้ไม่นาน ก็เลยยังไม่รู้จักเธอ ฉันเลี้ยงยายหนูนี่มาตั้งแต่เล็กจนโต ฉันรู้จักนิสัยของเธอดีกว่าใคร รู้ว่าเธอมีนิสัยดื้อดึงมากขนาดไหน ฉันจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน ยายหนูน่ะโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ขอเพียงเธอไม่ได้ทำเรื่องที่เกินขอบเขต พ่อของเธอก็ไม่อยากจะทะเลาะกับลูกสาว ดังนั้นหวังว่านายจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
หลินยวนกล่าว “ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณนาย”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “พูดง่ายๆ ก็คือนายสามารถไปทำงานที่ตระกูลฉินตามที่เธอต้องการได้ แต่นายต้องรับรองกับพ่อของเธอเรื่องหนึ่ง นั่นคือจะไม่มีเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงเกิดขึ้น ตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากนายไม่ล้ำเส้นก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นคนที่ผิดก็คือนาย นายทำได้หรือเปล่า?”
หลินยวนกล่าว “คุณคิดมากไปแล้วครับ”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “ฉันคิดมากไปหรือไม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือตอนนี้พ่อของเธอกำลังรอให้ฉันเอาคำสัญญาจากนายกลับไป”
หลินยวนกล่าว “ผมไม่อยาก แล้วก็ไม่ชอบสัญญาอะไรกับใคร แต่ว่าตอนนี้ผมสามารถสัญญากับคุณได้ว่าเรื่องที่พวกคุณกังวลจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
“ดี ตรงไปตรงมาดี” หลิ่วจวินจวินลุกขึ้นอย่างมีความสุข เดินออกไปสองก้าวแล้วหยุดตรงหน้าเขา ไม่รู้ไปเอากระดาษบันทึกแผ่นหนึ่งมาจากที่ไหนมามอบให้เขา “นายเป็นคนตรงไปตรงมา เต้าเปียนเองก็ไม่ใช่คนใจแคบ ฉันคิดว่าพวกนี้คงเพียงพอที่จะเป็นค่าชดเชยให้นายแล้ว”
ชดเชยอย่างนั้นเหรอ หลินยวนในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นต้องการการชดเชยเหล่านี้ เขาจึงเอ่ยปฏิเสธออกไป “เรื่องชดเชยช่างมันเถอะครับ ในเมื่อผมตอบตกลงแล้ว คงสามารถทำให้ฉินเต้าเปียนวางใจได้แล้ว”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “ฉันคิดว่านายดูเนื้อหาข้างในนั้นก่อนจะดีกว่า บางทีมันอาจจะสามารถไขข้อสงสัยบางอย่างที่รบกวนใจนายอยู่ก็เป็นได้”
ของอะไรกัน? ตอนนี้หลินยวนงุนงงสงสัยอย่างมาก เขาลุกขึ้นยืนแล้วรับกระดาษบันทึกมาไว้ในมือ เปิดอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านใน หลังจากอ่านแล้ว ม่านตาพลันหดเล็กลงทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “พวกคุณเองงั้นเหรอ?”
หลิ่วจวินจวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เป็นยังไง? นายรังแกลูกสาวเขา เขายังช่วยนายอีก เต้าเปียนเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อนายอย่างดีที่สุดแล้ว หากนายยังทำผิดต่อเขาอีกก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว เกิดเป็นมนุษย์อย่างน้อยก็ต้องมีมโนธรรมบ้าง ดังนั้นฉันหวังว่านายจะรักษาคำพูดของนาย หากนายกล้าผิดสัญญา พ่อของเธอจะไม่ใช่แค่ตักเตือนนายอย่างครั้งที่แล้วอีก หากนายยังรังแกกันเกินไป ตระกูลฉินเองก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้นายมารังแกกันได้ง่ายๆ ผลที่ตามมาคงไม่ง่ายที่นายจะรับมือ นายคงจะเข้าใจความหมายของฉันนะ” เอ่ยจบก็ยื่นมือออกไปหาเขา
หลินยวนใจลอยไปเล็กน้อย คิดว่าเธอต้องการกระดาษจดบันทึกคืนจึงได้ส่งคืนไปให้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ หลิ่วจวินจวินจะลงมือ เธอคว้ามือของเขาอย่างรวดเร็วราวประกายไฟแลบแล้วร่ายพลังใส่ทันที
หลินยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในใจต้องการจะขัดขืน แต่จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังที่อีกฝ่ายส่งมาไม่ใช่พลังโจมตี จึงหยุดชะงักไป
ไม่นานก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่ากำลังตรวจสอบว่าสภาวะของเขาว่าเป็นอย่างไร
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว หลิ่วจวินจวินก็สลายพลังพร้อมชักมือกลับ โค้งตัวลงเล็กน้อย กล่าวลาพร้อมรอยยิ้มว่า “วันนี้รบกวนแล้ว ไม่ต้องส่ง”
จากนั้นก็หมุนตัวจากไป ท่าทางสง่าผ่าเผยและเยือกเย็น ทุกความเคลื่อนไหวล้วนเป็นกิริยาท่าทางของนายหญิงตระกูลใหญ่
หลังจากมองดูผู้มาเยือนจากไป หลินยวนก็ค่อยๆ ก้มศีรษะลง มองดูเนื้อหาบนกระดาษจดบันทึกอีกครั้ง
สิ่งที่เขียนบนนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด เพียงแค่บันทึกเรื่องหนึ่งเอาไว้ ในวันเวลาเดียวกันตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีหนึ่งจะมีเงินก้อนหนึ่งถูกโอนไปให้คนบางคนที่หลิงซานอย่างเงียบๆ ด้วยวิธีการบางอย่าง เป็นระยะเวลาทั้งหมดหนึ่งร้อยปีเต็มพอดี
ตอนนั้นเขาอยู่เมืองหลวง ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและวิถีชีวิต ขณะที่กำลังขัดสนเงินทองจู่ๆ ก็ได้รับเงินทุนนิรนาม เขาเองก็สงสัยว่าเป็นใคร แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คงจะเป็นอาจารย์ลึกลับของเขาคนนั้น
ตลอดระยะเวลาหลายปี เขาคิดว่าเป็นอาจารย์ผู้นั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นฉินเต้าเปียนที่สนับสนุนเขา ทั้งยังสนับสนุนเขามาถึงหนึ่งร้อยปี!
เวลานี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไร ทันใดนั้นพลันรู้สึกผิดกับฉินเต้าเปียนขึ้นมาทันที
ด้านนอกประตู จางเลี่ยเฉินที่ส่งแขกเรียบร้อยก็รีบเข้ามาทันที เดิมคิดจะถามว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่เมื่อเห็นหลินยวนที่กำลังใจลอยถือบางอย่างอยู่ในมือ เขาจึงรีบแย่งกระดาษบันทึกมาไว้ในมือทันที ด้านหนึ่งก็อ่านไปพลาง อีกด้านก็ยกมือขึ้นมาขวางหลินยวนที่เริ่มโมโหขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่ายังไง?”
เขาเห็นบัญชีแล้ว แต่ก็ยังดูไม่เข้าใจ ในนั้นไม่ได้บอกว่าฉินเต้าเปียนสนับสนุนเงินให้กับหลินยวนอย่างไร มีเพียงตัวผู้ที่เกี่ยวข้องที่อ่านแล้วถึงจะเข้าใจ
หลินยวนซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา “ตอนผมเรียนที่หลิงซานค่อนข้างขัดสนเงินทอง ต่อมามีคนสนับสนุนเงินก้อนหนึ่งให้ผมโดยไม่ประสงค์ออกนาม นับแต่นั้นมาเวลานั้นของทุกปีก็จะมีเงินเข้ามาตรงเวลาต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ก่อนหน้านี้ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่า…”
“เป็นฉินเต้าเปียนอย่างนั้นเหรอ?” จางเลี่ยเฉินเข้าใจขึ้นมาในทันที และรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก เขามองสีหน้าสับสนของหลินยวน ดวงตาพลันเปล่งประกายเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเหอะๆ ออกมา “ฉินเต้าเปียนนี่น่าสนใจจริงๆ ตอนแรกเขาจัดการกับแกก่อน จากนั้นคงจะคิดไม่ถึงว่าแกจะสอบเข้าหลิงซานได้ กลัวว่าภายหน้าหากแกเจริญก้าวหน้าแล้วจะมาแก้แค้นเขา ก็เลยมาแอบให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ เพื่อเอาไว้รับมือกับแกในอนาคต ไม่น่าล่ะถึงสามารถกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองปู๋เชวี่ยได้ ช่างวางแผนเก่งจริงๆ”
หลินยวนขมวดคิ้ว “ลุงคิดแบบนั้นเหรอ?”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “แกก็ลองคิดดูสิ แกทำร้ายลูกสาวเขา อีกฝ่ายคงอยากจะฆ่าแกด้วยซ้ำ แล้วเขาจะส่งเงินให้แกทำไม? ทั้งยังส่งให้เป็นร้อยปีด้วย? แกคิดว่าไงล่ะ? มันมีเรื่องดีๆ แบบนี้ที่ไหนกัน? คิดว่าเขารับสมัครลูกเขยอยู่เหรอ? หรือเขาหวังว่าแกกับฉินอี๋ยังมีเยื่อใยต่อกันอยู่? ถ้าครั้งนี้หลิ่วจวินจวินมาเพื่อเป็นแม่สื่อให้แกกับฉินอี๋ ฉันก็คงจะเชื่อแบบนั้น แต่ถ้าหากว่ายังมีอคติกับแกอยู่ ต้องการให้แกอยู่ห่างจากฉินอี๋ล่ะก็ แกคิดว่าเขาจะใจดีส่งเงินให้แกมั้ย”
ประโยคเดียวปลุกคนที่กำลังสับสนให้มีสติขึ้นมาทันที หน้าของหลินยวนคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าฉินเต้าเปียนรู้สึกละอายใจที่ตีขาของเขาจนหัก ทั้งยังขับไล่เขาออกจากเมืองปู๋เชวี่ย ก็เลยอยากจะชดเชยให้เขา เมื่อถูกจางเลี่ยเฉินเตือนสติจึงได้รู้ว่าตัวเองคิดมากไปเอง
แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่เข้าใจ “อาศัยอำนาจของฉินเต้าเปียน หากเขากังวลว่าผมจะแก้แค้นเขา จำเป็นต้องใช้วิธีนุ่มนวลแบบนี้ด้วยเหรอ? ผู้ที่สามารถก่อตั้งหอการค้าตระกูลฉินได้ด้วยตัวคนเดียวและกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองปู๋เชวี่ย การจะบดขยี้คนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักอย่างผมตั้งแต่แรกคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่นา”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้แล้ว” จางเลี่ยเฉินเอากระดาษบันทึกตบลงไปบนหน้าอกของเขา จากนั้นเดินก้าวอาดๆ ออกไป ก่อนจะโบกมือทั้งๆ ที่หันหลังอยู่ “แกรีบพักผ่อนเถอะ แม้ว่าสภาวะของแกจะสูญหายไปกว่าครึ่ง แต่ว่ารากฐานที่บำเพ็ญเพียรมายังอยู่ จงฟันฝ่าอุปสรรคไปซะ เพราะถนนถูกปูเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถลงวิ่งได้เลย ในการฟื้นฟูจะใช้แรงเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ดังนั้นถ้าแกยังมีเวลามานั่งคิดเรื่องนี้ ไม่สู้ไปรีบฟื้นฟูสภาวะของตัวเองจะดีกว่า หลังครบกำหนดพักเรียนแล้วกลับไปแล้ว จะเอาแต่ขี้เกียจอยู่ที่หลิงซานจนไม่จบการศึกษาก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ถ้าถึงเส้นตายห้าร้อยปีแล้วก็อย่าไปโทษที่หลิงซานลบชื่อแกออกก็แล้วกัน”
หลินยวนกลุ้มใจ เดินไปปิดประตูอย่างเงียบๆ ยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่
……
ณ คฤหาสน์ตระกูลฉิน หลิ่วจวินจวินกลับมาแล้ว
ฉินเต้าเปียนเดินวนเวียนไปมาในห้องโถง กำลังเฝ้ารออยู่ เรื่องบางเรื่องถ้ายังไม่รู้ผล เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปพักผ่อน
เมื่อเห็นร่างที่เดินกลับมา ฉินเต้าเปียนหมุนตัวกลับมาทันที กระทั่งหลิ่วจวินจวินเดินเข้ามาใกล้ เขาก็รีบถามไปทันทีว่า “เจ้าเศษสวะนั่นว่ายังไงบ้าง”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “ตกลงแล้ว ให้คำมั่นสัญญาแล้ว เขาเติบโตมาในเมืองปู๋เชวี่ย รู้ถึงความแข็งแกร่งของคุณในเมืองปู๋เชวี่ยดี คงจะรู้ดีว่าถ้าผิดสัญญาจะเป็นอย่างไร”
ฉินเต้าเปียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเพราะมีที่พึ่งพา หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนของหลิงซาน
หลิ่วจวินจวินเองก็ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ฉันรู้แล้วว่าทำไมสามร้อยปีแล้วเขาก็ยังไม่สามารถจบจากหลิงซานได้”
ฉินเต้าเปียนรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมเหรอ?”
“ตอนที่เจอหน้ากัน ฉันลองตรวจสอบสภาวะของเขาดู” หลิ่วจวินจวินเอ่ยจบก็ส่ายหน้าไปมา
ฉินเต้าเปียนจึงเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ได้เรื่องเหรอ?”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “เมื่อคิดถึงท่าทีของลูกอี๋แล้ว เดิมฉันคิดว่าหากสภาวะของเขาไม่ธรรมดา หากในอีกมุมหนึ่งเขาสามารถกลายเป็นคนมีความสามารถได้ พวกเราก็น่าจะเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง อย่าทำอะไรให้มันเด็ดขาดเกินไป แต่ใครจะไปรู้ว่า…สามร้อยปี เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ในหลิงซานที่สร้างบุคคลากรที่มีคุณภาพให้สภาเซียนมาสามร้อยปีเต็มๆ แต่สภาวะกลับเพิ่งอยู่แค่ระดับปัญญากระจ่างเท่านั้น คุณว่าหลิงซานจะกล้าปล่อยให้เขาเรียนจบได้ยังไง ถ้าปล่อยเขาออกมาไม่เท่ากับทำให้หลิงซานเสียหน้าหรอกเหรอ?”
ในแดนเซียน สภาวะการบำเพ็ญเพียรโดยทั่วไปแบ่งเป็นสามประเภทใหญ่ๆ : สูงสุดคือเซียนเทพ รองลงมาคือเซียนสวรรค์ ต่ำที่สุดคือเซียนปฐพี
เซียนเทพก็แบ่งเป็นสามระดับ จากสูงไปต่ำ : เหนือคณา เอกะวิถี โอบสวรรค์
เซียนสวรรค์จากสูงไปต่ำ ก็แบ่งเป็นสามระดับ : เซียนทอง เซียนนภา เซียนแท้จริง
เซียนปฐพีเองก็แบ่งเป็นสามระดับจากสูงไปต่ำ : ปัญญากระจ่าง ท่องมรรคา ตื่นรู้
ในบรรดาสภาวะทั้งสามระดับใหญ่ๆ นี้ มีเพียงผู้ที่ก้าวเข้าสู่สภาวะขั้นเซียนเทพได้โดยที่ยังมีชีวิตรอดถึงจะสามารถกลายเป็นอมตะ หรือก็คือที่เรียกกันว่าเทพนั่นเอง!
การแบ่งแยกของแดนเซียนรวมทั้งดินแดนต่างๆ เกิดขึ้นโดยทวยเทพ
ฉินเต้าเปียนอยู่แดนเซียน ย่อมรู้เรื่องการแบ่งระดับสภาวะเหล่านี้ของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินสภาวะของหลินยวนในตอนนี้ เขาก็เพียงแค่แค่นหัวเราะออกมา
เขาเองก็รู้การจะก้าวข้ามสภาวะในแต่ละระดับขั้นนั้นยากเย็นเพียงใด
แต่ว่าใช้เวลาสามร้อยปียังวนเวียนอยู่ระดับเซียนปฐพี แม้นเขาจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ แต่ก็ยังมีความดูแคลนอย่างชัดเจน และยิ่งไม่มีทางยอมให้ฉินอี๋และหลินยวนอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน กระทั่งคิดก็ยังไม่ได้!
หลิ่วจวินจวินที่คิดถึงท่าทีอันแน่วแน่ของฉินอี๋ เดิมทีก็มีความรู้สึกลำบากใจอยู่แล้ว
เป็นแม่เลี้ยงนี่ยากจริงๆ เลย! ต้องคอยโอนอ่อนผ่อนตาม
หากเป็นลูกสาวแท้ๆ จะสั่งสอนยังไงก็ได้ทั้งนั้น เมื่อต้องเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถว่าเธอได้ทั้งนั้น ต่อให้เธอจะต่อว่าหรือทุบตีก็ตาม
แต่หลังจากที่ลองหยั่งเชิงดูความสามารถของหลินยวนในครั้งนี้แล้ว เธอก็นับว่าหมดหวังจากตัวหลินยวนอย่างเด็ดขาด ไม่คิดถึงท่าทีแน่วแน่ของฉินอี๋อีก แล้วก็ยืนอยู่ข้างของฉินเต้าเปียนอย่างเต็มที่
……
ต้นไม้ใหญ่ที่สูงที่สุดในเมือง หอการค้าตระกูลฉิน หลินยวนขี่ลาน้อยของจางเลี่ยเฉินโต้ลมมาทำงาน
มาทำงานวันแรก ถือว่าตรงเวลาไม่น้อย แล้วก็เป็นเพราะไม่ต้องการถูกฉินอี๋หาข้ออ้างอะไรมาต่อว่าอีก
มาทำงานตรงเวลาได้ แต่ความสามารถในการทำงานก็มีขีดจำกัดได้เช่นกัน
“มาแล้ว คนนั้นแหละ”
“เขาน่ะเหรอ? หล่อใช้ได้นี่นา ดูแมนมากเลย”
ณ แผนกต้อนรับของหอการค้า เมื่อสาวๆ เห็นหลินยวนที่เดินเข้ามา แต่ละคนไม่ขยับไปไหน แต่ริมฝีปากกลับคุยกันเบาๆ
ไม่มีใครคิดว่าหลินยวนจะเป็นพนักงานธรรมดาทั่วไปของตระกูลฉิน
ช่วยไม่ได้ เมื่อวานนี้เขาแสดงนามบัตรของประธานหอการค้าตระกูลฉินออกมา อีกทั้งไป๋หลิงหลงเองก็เป็นบุคคลระดับสูงในตระกูลฉิน การที่ทำให้ไป๋หลิงหลงต้องจัดคนมาต้อนรับด้วยตัวเองถึงสองครั้งได้ มีหรือที่สาวๆ เหล่านี้จะไม่รู้สึกประหลาดใจและสงสัย
นัยน์ตาของเหล่าสาวๆ เป็นประกายดุจมองเห็นเหยื่อ มีความรู้สึกคล้ายอยากจะกระโจนเข้าไป บางคนจัดทรงผมที่ไม่ได้ยุ่งเหยิงของตัวเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
…………………………………………………….