ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 1 ใจคนเสื่อมลงทุกวัน
ตอนที่ 1 ใจคนเสื่อมลงทุกวัน
มวลหมู่เมฆลอยเอื่อยอยู่กึ่งกลางหุบเหวลึกหมื่นจั้ง ไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเกี่ยวกระหวัดอยู่กึ่งกลางผาหิน
บนต้นไม้มีถนน ผู้คนเดินไปเดินมาคล้ายฝูงมด
บางคนรีบร้อน โบยบินออกไปยังกิ่งไม้ที่ทอดตัวออกไปในทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อนบินลงไปบนใบไม้ที่ใหญ่โตเหมือนดั่งเรือ
แล้วก็มีคนไม่เร่งร้อน เดินเท้าไปอย่างเนิบช้า
ชายผู้หนึ่งสวมเสื้อโค้ทหนัง ผมยาวยุ่งเหยิงห้อยปรกบ่า ใบหน้ามีตอหนวดเคราที่โกนไม่เกลี้ยง แววตาเยือกเย็น
เท้าทั้งสองข้างสวมใส่รองเท้าบู๊ทหนัง เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในโพรงต้นไม้ สภาพดูค่อนข้างตกอับ
เมื่อเดินออกมาจากโพรงต้นไม้ที่อยู่ห่างไกล แสงสว่างจากทางด้านนอกก็สาดส่องเข้ามาจนแสบตา
ด้านนอกโพรงต้นไม้ยืนไว้ด้วยคนห้าคน สายตาของชายขาพิการมองไปยังคนทั้งห้า ทั้งห้าคนล้วนสวมใส่ผ้าคลุมสีดำปิดบังศีรษะและใบหน้าเอาไว้
ทั้งห้าคนทยอยเงยหน้าขึ้นมา สายตาที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมเองก็จ้องมองมาที่ตัวผู้ชายเช่นเดียวกัน
ชายตกอับหาได้สนใจไม่ เดินกะโผลกกะเผลกผ่านข้างกายคนทั้งห้าไป
ภายใต้ผ้าคลุมสีดำที่ดูเล็กผอมมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา นิ้วมือเรียวเล็กราวหยก เล็บทาสีแดงสด เป็นมือที่สวยงามน่าดู
นั่นคือมือข้างหนึ่งของหญิงสาว คว้าจับแขนของชายตกอับเอาไว้
ชายตกอับจำต้องหยุดฝีเท้า ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่มีพลังว่า “ปล่อย”
ภายใต้ชายหมวกคลุมศีรษะที่ยกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามใบหน้าหนึ่ง ตรงตำแหน่งที่หมวกคลุมศีรษะเชื่อมต่อกับลำคอมีต่างหูระย้าที่ห้อยยาวลงมาถึงกระดูกไหปลาร้าคู่หนึ่งแกว่งไกวไปมา แววตาดูสับสน ตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนลำบากใจว่า “ท่านอ๋อง!”
จู่ๆ แขนของชายตกอับพลันออกแรงเหวี่ยง สะบัดมือของเธอออกไป ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกต่อไปข้างหน้า
สายลมประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว คนทั้งห้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำต่างนิ่งเงียบ มองดูชายตกอับหายลับไปในมุมตอไม้ของต้นไม้ใหญ่….
บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือทะเลเมฆ คนนับพันนับหมื่นยืนอยู่บนใบไม้ที่ดูเหมือนลำเรือ
ชายตกอับเดินเข้ามา หยิบเอาตั๋วเรือและหลักฐานยืนยันตัวตนออกมาให้คนของสภาเซียนที่เฝ้าอยู่ที่นี่ตรวจสอบ
หลังตรวจสอบแล้วว่าตั๋วเรือและตัวตนไม่มีปัญหา ชายตกอับก็เดินผ่านด่านตรวจเข้าไปในกลุ่มคนนับพันนับหมื่น เฝ้ารอคอยเหมือนอย่างคนอื่นๆ
ภายในกลุ่มคนที่เดินทางมาถึงหลังจากนั้นมีคนกล่าวพึมพำขึ้นมาว่า “ต้องใช้หลักฐานยืนยันตัวตนด้วย ตรวจสอบเข้มงวดขนาดนี้เลยหรือนี่”
คนที่อยู่ข้างๆ ทอดตามองไปยังเมืองหลวงของดินแดนเซียนที่พื้นที่กว่าครึ่งกลายเป็นเศษซากปรักหักพัง ก่อนจะถอนใจพลางกล่าวว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ให้เข้มงวดได้อย่างไรล่ะ”
คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกไป ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าไรถอนใจพลางส่ายศีรษะ ประเด็นที่พูดคุยกันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปพูดถึงเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของดินแดนเซียนในช่วงหลายวันมานี้ นั่นคือเรื่องที่กลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนหน้าที่ยังหลงเหลืออยู่ลอบบุกโจมตีเมืองหลวงของดินแดนเซียนโดยมีสิบสามมารสวรรค์เป็นผู้นำ
“มันจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลอบโจมตีเมืองหลวงได้”
“โชคดีที่มีท่านสองอยู่ มิเสียทีที่ท่านสองคือเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งสภาเซียน สิบสามมารสวรรค์ร่วมมือกัน แต่ก็ยังต้องพ่ายด้วยน้ำมือของท่านสองเพียงคนเดียว”
“พวกนายได้ดูภาพการต่อสู้ในตอนนั้นหรือเปล่า? คนที่มีฉายาว่า ‘ป้าหวัง[1]’ ในสิบสามมารสวรรค์ผู้นั้นสู้กับท่านสองชนิดที่ว่าฟ้าถล่มดินทลาย คนที่ดูการต่อสู้นั้นต่างเอาใจช่วยท่านสองกันแทบแย่”
“ก็แค่อวดดีได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นแหละ สุดท้ายก็พ่ายด้วยน้ำมือท่านสองไม่ใช่หรือ”
“ได้ยินว่าสิบสามมารสวรรค์ถูกท่านสองสังหารไปแปดคน จับไปสองคน แล้วก็หนีไปสามคน?”
“สู้กันขนาดนั้น พวกมารชั่วเหิมเกริม กระทั่งหลบก็ยังแทบจะหลบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าโผล่หน้าไปดูได้ อีกทั้งไม่มีรายงานข่าว ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”
“ถ้าหนีไปได้สามคนจริงๆ เกรงว่ามารชั่วพวกนั้นคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่”
จู่ๆ เสียงพูดคุยพลันหยุดลง คนที่นั่งอยู่ก็ทยอยลุกขึ้นยืน เจ้าหน้าที่ขนส่งที่ถือป้ายหยกของสภาเซียนเอาไว้ในมือปรากฏตัวขึ้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าทุกคนไม่ต้องรอคอยต่อไปอีก ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
เจ้าหน้าที่ขนส่งที่ถือป้ายหยกเอาไว้ในมือยืนตระหง่านอยู่บนกิ่งไม้ ทันใดนั้นพลันบีบป้ายหยกจนแหลกละเอียด ประกายแสงสายหนึ่งสว่างวาบ ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ
ไม่นานภายในอากาศก็มีเสียง ‘มอ มอ’ ดังทอดยาว คล้ายวัวกำลังส่งเสียงร้อง แต่กลับก้องกังวานกว่าเสียงร้องของวัวมากนัก
จากนั้นภายในอากาศก็มีระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาเป็นระยะ สิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใจกลางระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นในอากาศ โบกสะบัดครีบขนาดยักษ์ประหนึ่งกำลังแหวกว่ายออกมา ดูคล้ายวาฬตัวหนึ่ง เจ้าสิ่งนี้มีนามว่าคุน
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เจ้าสิ่งที่เรียกว่าคุนนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ จนไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ทว่ามันก็พบเห็นได้ไม่บ่อยเช่นกัน
ที่ว่าพบเห็นได้บ่อยๆ จนไม่มีอะไรน่าประหลาดใจนั้นเป็นเพราะว่าคุนคือพาหนะขนส่งระยะไกลชนิดหนึ่งของดินแดนเซียน ส่วนที่ว่าพบเห็นได้ไม่บ่อยนั้นเป็นเพราะว่าคุนอาศัยอยู่ในดินแดนหมิง[2] ในดินแดนหมิงมีสถานที่หนึ่งชื่อเป่ยหมิง ว่ากันว่าเป็นมหาสมุทรของดินแดนหมิง มีเพียงตอนที่ได้รับการเรียกจากสภาเซียนมันถึงจะปรากฏตัวขึ้นมา
คนส่วนมากในดินแดนเซียนไม่เคยไปเยือนดินแดนหมิงมาก่อน หากไม่ได้รับอนุญาตก็ยากที่จะเดินทางไปที่นั่นทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
สภาเซียนได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างกับเผ่าคุนแห่งดินแดนหมิง นอกจากนี้ตัวคุนเองก็ต้องการแรงอธิษฐานของสรรพชีวิตด้วยเช่นกัน ถึงได้มีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้นมาให้เห็น
สภาเซียนเองก็ไม่มีทางฝืนบังคับให้คุนมาเป็นพาหนะในการเดินทาง มีแต่ต้องมอบแรงอธิษฐานให้เผ่าคุนจนเผ่าคุนรู้สึกพอใจ อีกทั้งเผ่าคุนต้องยินดีด้วย มันถึงจะยอมมาเป็นพาหนะให้
ส่วนสาเหตุที่นำเอาคุนมาเป็นพาหนะในการเดินทาง นั่นเป็นเพราะว่าคุนสามารถโบยบินได้อย่างรวดเร็ว ในบรรดาดินแดนต่างๆ สิ่งที่ไล่ตามมันทันได้มีอยู่ไม่มากนัก อีกทั้งมันยังมีความปลอดภัยด้วย
เดิมทีคุนนั้นมีอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์ในการเดินทางผ่านดินแดนต่างๆ หลังเหล่าทวยเทพสร้างดินแดนเซียนขึ้นมา แบ่งแยกสรรพชีวิตตามความแข็งแกร่งและความอ่อนแอออกจากกันอย่างเด็ดขาด และคอยเฝ้าช่องทางที่เชื่อมต่อระหว่างโลกต่างๆ เอาไว้ พวกเขาก็ย้ายเอาสถานที่ใช้ชีวิตของคุนไปอยู่ที่เป่ยหมิง
ในอดีตอันเนิ่นนาน ขณะที่แต่ละโลกยังเชื่อมต่อถึงกันอยู่ ดินแดนเซียนเคยมีชื่อที่เก่าแก่โบราณว่า —- แดนบรรพกาล!
คุนลอยอยู่ตรงหน้ากิ่งไม้ที่ยืดยาวออกไป อ้าปากขนาดมหึมาออก
เจ้าหน้าที่ขนส่งสั่งการให้ลูกน้องคอยรักษาระเบียบ จัดการให้คนที่ซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยและกำลังรอคอยได้เดินเข้าไปในปากคุน
โลกภายในตัวคุนนั้นโปร่งใส ดูคล้ายมีอะไรบางอย่างขวางกั้นอยู่ ทว่าหากใช้ใจมองออกไป ก็จะสามารถมองเห็นโลกที่อยู่ภายนอกจากในตัวคุนได้อย่างชัดเจน
“ไปเมืองฝูปอนั่งตรงนั้น ไปเมืองปู๋เชวี่ยนั่งตรงนั้น…”
ลูกน้องของเจ้าหน้าที่ขนส่งถือรายงานการซื้อตั๋วอยู่ในมือ คอยตะโกนเรียกผู้คนไม่หยุด
ชายตกอับที่สวมเสื้อโค้ทหนังเดินไปนั่งลงตรงมุมหนึ่งตามที่เจ้าหน้าที่บอกอย่างเงียบๆ
แต่ที่ตรงนั้นก็หาได้มีที่นั่งใดๆ เตรียมเอาไว้ให้เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างเพียงแค่หาที่ปูดๆ นูนๆ ตรงพื้นที่ที่กำหนดแล้วนั่งลงไป หรือถ้าหากจะยืนก็ได้เช่นกัน
จากนั้นก็มีคนหลายสิบคนทยอยนั่งลงในพื้นที่นี้ หญิงสาวที่ดวงตากลมโตผู้หนึ่งนั่งลงข้างกายชายตกอับ ด้วยสัมผัสอันเฉียบไวที่ได้รับมาจากอาชีพของเธอ ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าบนตัวชายผู้นี้คล้ายมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ควรค่าให้ตัวเองค้นหาอยู่ จึงเอ่ยปากทักทายออกไปว่า “สวัสดี ฉันชื่อจูลี่ คุณจะไปเมืองปู๋เชวี่ยเหมือนกันเหรอ?”
ชายตกอับชำเลืองมองดูเธอเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอียงศีรษะพิงไปกับผนัง แสร้งทำเป็นหลับตานอนไป นิ่งเงียบไม่อยากจะพูดอะไร
เมื่อต้องเจอกับคนน่าเบื่อ จูลี่จึงได้แต่ยักไหล่ล้มเลิกความพยายามไป
ด้านข้างมีชายคนหนึ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เข้ามาหาเรื่องพูดคุยกับเธอว่า “สวัสดี ผมชื่อหลัวคังอัน ผมก็จะไปเมืองปู๋เชวี่ยเหมือนกัน”
……..
ด้านนอกที่ราบหนานผิงที่อยู่ทางใต้นอกเมืองปู๋เชวี่ยคือหน้าผา บนพื้นที่โล่งมีกลุ่มคนมารวมตัวกัน ทุกคนล้วนแต่มารอรับคน
รถสีเงินสามคันเคลื่อนตัวมาจากในเมือง ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงข้างกลุ่มคน ดึงดูดสายตาของกลุ่มคนที่มารอรับคน
มีคนพยักเพยิดหน้าไปทางรถสามคันนั้น กล่าวกระซิบกระซาบกับคนที่ยืนอยู่ข้างกายว่า “เห็นนั่นไหม รู้หรือเปล่าว่านั่นรถใคร?”
“ของใคร?”
“หัวหน้าหอการค้าตระกูลฉิน”
“ฉินอี๋ที่เป็นเศรษฐีหญิงอันดับหนึ่งน่ะหรือ?”
“ถูกต้อง ฉันเคยเห็นรถของเธอ เธอน่าจะอยู่ในรถนั่นแหละ”
“จุ๊ๆ เธอมาที่นี่ทำไมล่ะนี่? เศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองปู๋เชวี่ย ทั้งอ่อนเยาว์และงดงาม ไม่รู้ว่าในอนาคตจะตกเป็นของใคร”
“จะตกเป็นของใครก็ไม่มีทางตกเป็นของแกแล้วกัน รีบเช็ดน้ำลายของแกไปเสียจะดีกว่า การที่ทำให้เธอมาต้อนรับด้วยตัวเองได้ เห็นทีภายใน ‘เรือ’ เที่ยวนี้คงจะมีแขกคนสำคัญมาเยือนเสียแล้ว”
ขณะเดียวกันนั้นเอง รถสีดำอีกสองสามคันก็เคลื่อนตัวเข้ามา ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
และภายในรถสีเงินคันหนึ่งก่อนหน้านี้ก็มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงผ่าสูงอยู่คนหนึ่ง ใบหน้าเย็นชาทว่างดงาม ทาลิปสติกสีเข้ม ริมฝีปากแดงฉานประหนึ่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง ภายในปากคาบบุหรี่ที่ติดไฟอยู่มวนหนึ่ง นั่งพิงอยู่ริมหน้าต่างคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ภายในปากค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างช้าๆ ราศีที่แผ่กระจายออกมาดูไม่ธรรมดา
หญิงสาวผู้นี้ก็คือเศรษฐีอันหนึ่งแห่งเมืองปู๋เชวี่ย หัวหน้าหอการค้าตระกูลฉิน — ฉินอี๋
หญิงสาวที่ดวงตาเปล่งประกายแวววาวที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับผู้หนึ่งเหลียวหน้ากลับไปมอง เธอคือไป๋หลิงหลง เป็นผู้ช่วยของฉินอี๋ เธอสังเกตเห็นรถสีดำสองสามคันที่เคลื่อนตัวเข้ามา จึงกล่าวเตือนว่า “ท่านประธาน เจ้าเมืองลั่วมาค่ะ”
“หืม?” ฉินอี๋ที่คีบบุหรี่อยู่ในมือได้สติกลับคืนมา เธอมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ก่อนจะกล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย “เขามาที่นี่ทำไม?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “การที่ทำให้เขามาที่นี่เพื่อรอต้อนรับด้วยตัวเองได้ ดูแล้วน่าจะมีแขกคนสำคัญมาเยือนค่ะ”
ฉินอี๋รู้สึกประหลาดใจ “แขกที่ทำให้เขามาต้อนรับด้วยตัวเองได้ คนระดับนั้นใช้อุโมงค์เคลื่อนย้ายที่อยู่ในการควบคุมของสภาเซียนก็ได้นี่นา ทำไมต้องมาที่นี่ด้วย?”
ไป๋หลิงหลงเองก็มิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ก่อนกล่าวเตือนอีกครั้งว่า “ท่านประธาน จะเข้าไปทักทายหรือไม่คะ?”
ถูกต้อง เธอต้องลงไปทักทายเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงไม่เหมาะสม เพราะเขาคือคนที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองปู๋เชวี่ย หอการค้าตระกูลฉินเองก็อยู่ในการควบคุมของเขาเช่นเดียวกัน
ฉินอี๋ดับบุหรี่ทันที แต่ทันทีที่วางขาที่ไขว่ห้างลง เธอก็เกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย มือยื่นไปดึงกระโปรงที่ผ่าสูงลง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่อาจปิดบังต้นขาที่ขาวผ่องเอาไว้ได้อยู่ดี
ไป๋หลิงหลงมองออกว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร เจ้าเมืองผู้นั้นเป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ ท่านประธานแต่งตัวเปิดเนื้อเปิดหนังเช่นนี้ เกรงว่าคงดูค่อนข้างขัดตาในสายตาเจ้าเมือง จึงอดมองดูเสื้อผ้าบนตัวของตัวเองไม่ได้ รูปร่างของทั้งสองคนไม่เท่ากัน หากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็คงไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน ไป๋หลิงหลงจึงรีบกล่าวออกไปว่า “ท่านประธานรอเดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวฉันไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ท่านประธานค่ะ”
ฉินอี๋สูดหายใจ กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่ทันแล้ว หากมัวแต่ชักช้าจะเสียมารยาทเอาได้” กล่าวจบก็หยิบเอาผ้าพันคอผืนหนึ่งมาคลุมไว้ที่หัวไหล่ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วยื่นขาที่เรียวยาวขาวผ่องลงไปจากรถ รองเท้าส้นสูงสีแดงแตะลงพื้น
คนที่อยู่ภายในรถทั้งสามคันรีบลงจากรถทันที เดินตามอยู่ข้างกายฉินอี๋
ทันทีที่เธอเผยตัว สายตาอันร้อนแรงของชายหนุ่มจำนวนมากก็จับจ้องมองเข้ามา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังมองดูรูปร่างอันอ้อนแอ้นอรชรของเธอ อีกทั้งการแต่งตัวที่ดูเจริญหูเจริญตาของเธอ
ไป๋หลิงหลงวิ่งไปเบื้องหน้า กล่าวรายงานผู้คุ้มกันที่อยู่ตรงหน้าขบวนรถสีดำสองสามคันนั้นก่อน
จากนั้นครู่หนึ่ง ประตูรถคันหนึ่งก็เปิดออก ชายชราผมขาวที่สวมเสื้อคลุมยาวแบบโบราณ แผ่นหลังโค้งงอเล็กน้อยผู้หนึ่งก้าวลงมาจากรถ เขาคือลั่วเทียนเหอ เจ้าเมืองของเมืองปู๋เชวี่ย
เขายกมือขึ้น คนคุ้มกันถึงยอมปล่อยให้ฉินอี๋เข้ามา
ฉินอี๋เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป โค้งตัวคารวะพลางกล่าว “ท่านเจ้าเมือง”
ลั่วเทียนเหอกวาดตามองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ในตอนที่มองเห็นต้นขาที่เผยออกมาให้เห็นตรงตำแหน่งที่กระโปรงผ่าเปิดขึ้นไปของเธอ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมา ยิ่งเมื่อเห็นผมลอนที่ยาวปรกบ่าของเธอ อีกทั้งปากที่แดงเหมือนเปลวเพลิงและรองเท้าส้นสูงคู่นั้น บนใบหน้าของเขาก็มีสีหน้าเบื่อหน่ายปรากฏขึ้นมาให้เห็น กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “แฟชั่นใหม่จากโลกมนุษย์อีกแล้วหรือ?”
ฉินอี๋กระอักกระอ่วนใจ เธอรู้ว่าตาแก่ผู้นี้ไม่ชอบดูสิ่งเหล่านี้ จึงยืดตัวตรง ฝืนกล่าวตอบกลับไปว่า “แบบนี้มีมานานแล้วค่ะ ไม่ใช่แฟชั่นใหม่อะไร ปกติฉันเองก็ไม่ค่อยได้แต่งตัวแบบนี้เท่าไร วันนี้แค่อยากลองอะไรแปลกใหม่บ้าง”
“แปลกใหม่?” ลั่วเทียนเหอสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้า ปากกล่าวพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าพูดให้ใครฟัง “ใจคนเสื่อมลงทุกวัน!”
ฉินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองไปยังรถของสำนักงานเจ้าเมืองสองสามคันนั้นทันที ปากไม่ได้กล่าวอะไร แต่สายตากลับแฝงเอาไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนกำลังบอกว่า ‘ท่านเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรหรอก’
ลั่วเทียนเหอคล้ายอ่านความคิดของเธอได้ แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ หากแต่เปลี่ยนประเด็นว่า “ใครกันถึงทำให้เศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองปู๋เชวี่ยของพวกเราต้องมารอต้อนรับด้วยตัวเองได้?”
ฉินอี๋กล่าวตอบอย่างเคารพนอบน้อม “หลัวคังอันค่ะ”
“หลัวคังอัน?” สีหน้าของลั่วเทียนเหอคล้ายกำลังใช้ความคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นผู้ใด จึงกล่าวถามอีกครั้งว่า “เขาคือใคร?”
………………………………………………….
[1]ป้าหวัง หมายถึง อ๋องผู้ยิ่งใหญ่
[2]ดินแดนหมิง หมายถึง โลกใต้พิภพ
อ่านต่อ