ฉันไปรบตามแผนการของน้องสาวจนได้เป็นพระราชาซะแล้ว เจ้าหญิงที่ถูกฉันจับบังคับทำเมียมองฉันด้วยความเคียดแค้น ฉันจะทำไงดีล่ะทีนี้? - ตอนที่ 13 ร่างกายต้องการปะทะ เอาบ่ละ
- Home
- ฉันไปรบตามแผนการของน้องสาวจนได้เป็นพระราชาซะแล้ว เจ้าหญิงที่ถูกฉันจับบังคับทำเมียมองฉันด้วยความเคียดแค้น ฉันจะทำไงดีล่ะทีนี้?
- ตอนที่ 13 ร่างกายต้องการปะทะ เอาบ่ละ
ณ ชายแดนทางตะวันออก ป้อมปราการอาร์มสตรอง
ประตูป้อมที่ดูหนักและหนาน่าเกรงขาม ได้เปิดรับให้บุคคล 5 คนเข้ามาด้านใน
ทุกคนล้วนเป็นชายหนุ่มบนหลังม้า
ผู้ชายผมสีดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำ นั่นหรือคือ แวน อาเรงส์?
“ท่านปู่…”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะมากันแค่ 5 คน!…”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ อุทานด้วยความแปลกใจเมื่อได้เห็นชายเพียง 5 คนเข้ามาในป้อมปราการ
ถึงแม้ราชอาณาจักรจะเพิ่งสถาปนาใหม่ เขาก็คาดเดาว่า พระราชาน่าจะนำกองกำลังองครักษ์เพื่อคุ้มกันติดตามมาด้วยจำนวนหนึ่ง
แต่นี่กลับมีกันเพียง 5 คนเท่านั้น
การเสี่ยงเข้ามาในอาณาเขตของศัตรูด้วยคนจำนวนน้อยเช่นนี้ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก
———-
(ชายคนนี้ คือ แวน อาเรงส์ ผู้ทรยศที่สังหารอดีตพระราชา!)
ในขณะเดียวกันนั้น ลูเซีย หลานสาวของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ ก็พยายามประเมินแวนอยู่เช่นกัน
(ฉันเคยได้ยินว่าเขาเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การรัฐประหารเพื่อแย่งชิงบัลลังค์ รวมถึงการปลงพระชนม์เป็นสิ่งที่อัศวินไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง!)
ลูเซียเป็นคนรักความยุติธรรมและซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์
การทุริยศและสังหารนายเหนือหัวเป็นสิ่งเลวร้ายที่ไม่สามารถยอมรับหรือให้อภัยได้
เหล่าสมาชิกของราชวงศ์ไอดรัน ล้วนประพฤติตนเสื่อมทราม กดขี่ข่มเหงราษฎร ไม่มีใครเลยที่เศร้าโศกเสียใจกับการล่มสลายของราชวงศ์ ประชาชนส่วนใหญ่ถึงกับร่วมจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองต่อการสวรรคตของพระราชาเสียด้วยซ้ำ
แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลในเมืองหลวงไม่ได้กระจายมาถึงชายแดนทางตะวันออกที่ห่างไกล
สำหรับลูเซีย รับรู้เพียงผิวเผินว่า อดีตพระราชาที่สวรรคตมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก
ดังนั้นเธอจึงตัดสินว่า แวนเป็นผู้ทรยศก่อกบฏแย่งชิงบัลลังค์มากกว่าจะเป็นวีรบุรุษผู้ปราชทรราชย์
“ท่านปู่ ต้องชนะให้ได้!…”
“แน่นอน ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะพ่ายแพ้ แต่อย่าลืมว่า นี่ไม่เกี่ยวกับการแพ้หรือชนะ เพราะมันคือการต่อสู้เพื่อตัดสินว่าเขาคู่ควรที่จะครองบัลลังค์”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะดูการต่อสู้ด้วยตาคู่นี้เอง”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็มาเริ่มดวลกันเลย”
มาร์คกราฟเดินไปหาแวนที่ลานกว้างของป้อมอาร์มสตรอง
“ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่พระองค์เสด็จมาเยือน ฝ่าบาทอาเรงส์”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ กล่าวทักทาย
เขาก้มหัวแต่ยังไม่ลดตัวลงคุกเข่า
เขาแสดงความเคารพเพื่อยอมรับแวนในฐานะพระราชา แต่การยอมศิโรราบในฐานะข้าราชบริพารให้กับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะคู่ควรต่อการเป็นนายเหนือหัวหรือไม่ มันคืออีกเรื่องหนึ่ง
“โอ้ ท่านนั่นเอง มาร์คกราฟ อุลเบลส์”
“ถูกต้อง หม่อมฉัน เนเวอร์ อุลเบลส์ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เราจะดวลกันใช่ไหม? อากาศเริ่มจะหนาวแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
————
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ หรี่ตาลง
เท่าที่ฉันเห็น แวนดูไม่ตื่นตระหนกเลย
แม้การดวลอาจถึงขั้นต้องแลกกันด้วยชีวิตก็ตาม แต่เขาก็ยังดูสงบอย่างน่าทึ่ง
เขาอาจจะคุ้นเคยกับแรงกดดันจากการผ่านสนามรบมามากมาย แม้เขาจะยังอายุน้อยก็ตาม
(หรือบางที เขาก็แค่คนโง่เขลา เพียงเพราะไม่เคยปะทะกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเองมาก่อน… แต่ถึงอย่างไร การด้อยประสบการณ์จากความเยาว์วัยอาจจะเป็นตัวตัดสินการดวลได้)
“ในวันนี้ นี่เป็นหิมะแรกของปี รีบดวลกันให้จบน่าจะดีที่สุด”
แวนและมาร์คกราฟ อุลเบลส์ เผชิญหน้ากันกลางลานจตุรัสของป้อมปราการ ยืนห่างกันประมาณ 3 เมตร เสมือนการจับคู่ฝึกซ้อมต่อสู้จำลองของอัศวิน
โดยมีเหล่าองครักษ์ของแวน ทหารของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ และลูเซีย เฝ้าดูการดวลอยู่รอบลานประลอง
อาวุธในมือของแวน คือ ดาบใหญ่คมเดียว มีใบมีดสีดำ น่าจะตีขึ้นมาจากเหล็กดำ
ส่วนอาวุธของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ คือง้าว ซึ่งเปรียบเสมือนสหายเก่าแก่ที่ผ่านศึกร่วมกันมาอย่างโชกโชน
ทหารคนหนึ่งยืนระหว่างทั้งสองทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ทุกอย่างได้เตรียมการพร้อมสำหรับการดวลแล้ว
“งั้นเรามาเริ่มดวลกันเลยดีไหม ฝ่าบาท”
“…ฉันไม่ชินกับการถูกเรียกแบบนั้น”
“งั้น ท่านแวน ล่ะ?”
“โอ้ เอาแบบนั้นล่ะ”
————-
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากันพร้อมอาวุธในมือ แต่แวนดูไม่แสดงท่าทีประหม่าหรือตึงเครียดเลย
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
(เขาไม่วิตกกังวลอะไรเลย มั่นใจมากไปหรือแค่คนบ้าล่ะเนี่ย)
“ทั้งสองฝ่าย เตรียมพร้อม…”
(เอาล่ะ พอเริ่มสู้เดี๋ยวจะได้รู้กัน)
“เริ่มได้!”
การดวลเริ่มขึ้นแล้ว
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ย่อตัวลงทุ่มกำลังไปที่เท้าหลักเพื่อเตรียมพุ่งเข้าปะทะ….
————-
วินาทีต่อมาการดวลก็จบสิ้นลง
ง้าวของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ ถูกฟันขาดครึ่งท่อนและปลิวขึ้นไปในอากาศ
“อะไรกัน….”
กว่าที่จะทันรู้ตัว แวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็หายไปจากสายตา
จุดที่เขายืนเหลือเพียงร่องรอยเท้าฝังลึกลงไปในพื้นผิว
————-
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ตกตะลึง กว่าจะรู้ตัวอีกที แวนก็อยู่ด้านหลังของเขาแล้ว
(เป็นไปได้ยังไงกัน เขาฟันอาวุธของฉันได้ในพริบตา!)
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ตื่นเต้นด้วยความสั่นสะท้าน
แวนใช้พลกำลังขาอันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ เคลื่อนไหวในพริบตาพุ่งเข้าไปฟันอาวุธของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ ขาดครึ่งในเสี้ยววินาทีเท่านั้น
(เขาเร็วขนาดนั้นได้ยังไง…! “ยักษ์กินคนแห่งที่ราบลอยคัลดัน” ไม่คาดคิดเลยว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้…!)
ฉันเคยได้รับรายงานเกี่ยวกับการรบในครั้งนั้น
ที่ราบลอยดัลดันทางตอนเหนือของราชอาณาจักร
ได้เกิดสงครามกับประเทศทางตอนเหนือขึ้นที่นั่น
ว่ากันว่า แวนนำกลุ่มอัศวินจำนวนน้อยฝ่าเข้าไปในดินแดนของศัตรูแล้วเผาค่ายจนราบเป็นหน้ากลอง
การรบที่ราชอาณาจักรกำลังจะพ่ายแพ้สามารถพลิกกลับมาชนะได้ และยังสามารถขับไล่ข้าศึกป้องกันการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านได้สำเร็จ
แม้จะเป็นวีรกรรมที่กล้าหาญอันยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับมอบรางวัลอะไรเลย เพราะเป็นถือวิสาสะตัดสินใจโดยขัดคำสั่งจากผู้บัญชาการ และด้วยความอิจฉาริษยาของขุนนางระดับสูง
แต่ถึงอย่างไร ตำนานของเขาก็เป็นที่เล่าขานในหมู่เหล่าทหารหาญที่ร่วมรบในวันนั้น
(ฉันเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกินจริงไปมาก แต่…นี่คือความจริง ผู้ชายคนนี้คือวีรบุรุษ…!)
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ยืนนิ่งงันโดยไร้อาวุธในมือ
ลูเซียและเหล่าทหารของมาร์คกราฟล้วนตกตะลึงจนพูดไม่ออก เมื่อได้เห็นความพ่ายแพ้ของผู้ที่พวกเขาเคยเชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด
“…ดูเหมือนอาวุธของท่านจะเก่าแล้วสินะ”
แวนพูดอย่างสงบหลังได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
“อาวุธที่เสื่อมสภาพจะทำให้ออกแรงได้ไม่เต็มที่ ท่านจะลองเลือกอาวุธใหม่แล้วมาเริ่มดวลกันอีกครั้งไหม?”
————-
มาร์คกราฟอึ้งกับข้อเสนอของแวน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นความเอื้อเฟื้อต่อคนชราอย่างผู้มีชัย
(ปล. ดาบดำใหญ่คมเดียวของแวน ก็ประมาณดาบพี่คล้าว FF7 ส่วนอาวุธของตาลึงคือ halberd ที่เป็น หอกยาวติดปลายขวาน ขอจำกัดความว่าเป็น ง้าว ละกัน)
=================
จะแปลเฉพาะแนวฮาเร็มที่มี NTR และ zamaa เป็นความชอบส่วนตัวนะครับ ลงน้องแมวเท่านั้น ไม่ลงที่อื่น
สามารถเป็นไปได้ที่กสิกร 606-2-07812-8 ทวิรวัฒน์