ฉันไปรบตามแผนการของน้องสาวจนได้เป็นพระราชาซะแล้ว เจ้าหญิงที่ถูกฉันจับบังคับทำเมียมองฉันด้วยความเคียดแค้น ฉันจะทำไงดีล่ะทีนี้? - ตอนที่ 11 เห็นใจกันหน่อย ฉันคอยเธออยู่~
- Home
- ฉันไปรบตามแผนการของน้องสาวจนได้เป็นพระราชาซะแล้ว เจ้าหญิงที่ถูกฉันจับบังคับทำเมียมองฉันด้วยความเคียดแค้น ฉันจะทำไงดีล่ะทีนี้?
- ตอนที่ 11 เห็นใจกันหน่อย ฉันคอยเธออยู่~
“ท่านปู่! รีบส่งกองกำลังออกไปเลยดีกว่า! เราจะจัดการกวาดล้างพวกกบฏแย่งชิงบัลลังค์!”
“ใช่แล้ว ท่านมาร์คกราฟ”
“การรับใช้ราชาจอมปลอมคือความน่าอับอายของนักรบ! เราจะบุกโจมตีเมืองหลวงซะ!”
———-
เมื่อได้ยินคำร้องของ หลานสาว ข้าราชบริพาร และเหล่าขุนนางภายใต้อาณัติ สีหน้าของขุนพลเฒ่าก็เคร่งเครียด
ณ ที่ตั้ง “ป้อมอาร์มสตรอง” ทางชายแดนตะวันออก
ป้อมปราการแห่งนี้คือฐานที่มั่นที่ใช้หยุดการรุกรานของมหาอำนาจทางตะวันออกมาหลายครั้งหลายครา
มาร์คกราฟ เนเวอร์ อุลเบลส์ คือ ขุนพลเฒ่าที่รับผิดชอบในการบัญชาการป้อมแห่งนี้
ในศูนย์บัญชาการของป้อมปราการ มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ถูกหลานสาวและเหล่าสหายศึกกดดันอย่างหนัก
พวกเขาเรียกร้องเป็นเสียงเดียวให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อล้อมปราบกองทัพกบฏที่ยึดครองเมืองหลวง
“ท่านปู่ พวกเราคือนักรบ เราคือ “ดาบ” ที่ต่อสู้เพื่อราชวงศ์ สำหรับพระราชาแล้ว เราเป็นเพียงเครื่องมือ แต่เราก็มีสิทธิ์เลือก ผู้ที่เราจะถวายงานเป็นราชพลี!”
———
“การรับใช้ผู้ทรยศแย่งยิ่งบัลลังค์ด้วยการรัฐประหารไม่สามารถยอมรับได้ ในฐานะข้ารับใช้แห่งราชวงศ์ไอดรัน พวกเราจะต้องกวาดล้างกองทัพกบฏ!”
“…นั่นคือความตั้งใจของเจ้างั้นเหรอ? ลูเซีย”
สำหรับมาร์คกราฟ อุลเบลส์ สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจก็คือ หลานสาวของเขาดันไปรวมอยู่ในหมู่ผู้ที่ร้องเรียน
หลานสาวของมาร์คกราฟ คือ ลูเซีย อุลเบลส์
เธอมีผมสีเงินรวบเป็นหางม้า(โพนี่เทล) และใบหน้าที่สวยงาม แต่เป็นความงามที่เย็นยะเยือกและสายตาอันเฉียบคมของเธอ ทำให้ผู้ชายล้วนถอยห่าง
“แน่นอน เราจะตัดหัวเสียบประจานเจ้าพวกกบฏให้หมดสิ้น นั่นถือสิ่งที่ถูกต้อง”
—————
(จะว่าไป หลานสาวของฉันหัวร้อนเกินไป หรือนางเป็นแค่นักรบสมองกล้าม ในฐานะทายาทของมาร์คกราฟ มันจะมีปัญหาในภายหน้า หากนางชอบใช้กำลังมากกว่าสมอง)
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ กังวลเกี่ยวกับอนาคตของหลานสาว ซึ่งนางก็คล้ายกับเขาในสมัยยังแรกรุ่นนั่นเอง
ตระกูลมาร์คกราฟ อุลเบลส์ เป็นตระกูลนักรบที่มีชื่อเสียง สมาชิกในครอบครัวเลยมักมีแต่พวกสมองกล้าม
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ก็เคยเป็นคนแบบนั้นจนกระทั่งไม่นานนี้ หลังจากการสูญเสียลูกชายและภรรยาของเขาไปเมื่อ 20 ปีก่อน เขาจึงเริ่มปรับปรุงตัวเอง
หากเขาตระหนักรู้และมีความรอบคอบมากกว่านี้ ลูกชายของเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ผลสะท้อนจากเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเลิกเป็นคนหัวร้อนหุนหันพลันแล่น
(แต่ว่า….หลานสาวฉันก็เป็น อุลเบลส์ เช่นกัน นางเหมือนฉันกับลูกชายตอนวัยรุ่นเลย)
“ท่านปู่ ได้โปรด ตัดสินใจด้วย!”
“เราจะไม่ทำสงคราม นี่คือคำตัดสิน!”
“ท่านปู่!”
“เจ้านี่ไม่เข้าใจอะไรเลย หากเราส่งกองกำลังไปบุกเมืองหลวง พวกมหาอำนาจทางตะวันออกก็จะเคลื่อนทัพมาโจมตีเรา!”
————–
ลูเซีย และคนอื่นๆ พูดไม่ออก
จักรวรรดิ ซิงกู เป็นมหาอำนาจทางตะวันออกที่มีกองกำลังทหารยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป ชอบทำสงครามขยายดินแดนของตนไปทั่วทุกหนระแหง
พวกเขาเคยบุกมาโจมตีป้อมอาร์มสตรองอย่างดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฉันเข้าใจสิ่งที่เจ้าอยากจะพูด แต่…เราไม่สามารถยอมให้จักรวรรดิรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเราได้ ลูเซีย เจ้าจะยอมเสียดินแดนของอุลเบลส์ ให้แก่จักรวรรดิที่สังหารพ่อแม่ของเจ้าเหรอ?”
—————-
ลูเซียกัดริมฝีปากของเธอแล้วเงียบไป
ลูเซียเป็นผู้หญิงที่รักความยุติธรรมและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง เธอรำลึกถึงคุณค่าของผู้เสียสละในการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศยิ่งกว่าใครๆ
เพียงแค่เอ่ยชื่อของจักรวรรดิที่สังหารหมู่ครอบครัวของเธอ ทำให้เธอหัวร้อนทันที
คนอื่นๆ ก็ดูจะเป็นเหมือนเธอ แต่ยังคงนิ่งเงียบด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดใจ
“ถ้าเช่นนั้น ท่านจะบอกให้เราเชื่อฟังและยอมสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรอาเรงส์ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แล้วทรยศราชวงศ์ไอดรันที่รับใช้มากว่า 300 ปีเช่นนั้นหรือ?”
“นั่นคงเป็นทางเลือกเดียว ดีกว่าการตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิ”
“ทำไมกัน…..”
ลูเซียกำหมัดของเธอแน่น
เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนมีเลือดหยดลงบนพื้น
“ทุกคน พอแค่นี้แหล่ะ ฉันจะไม่ส่งกองกำลังออกไปเมืองหลวง แต่ฉันก็จะไม่ยอมสวามิภักดิ์อย่างง่ายดายเช่นกัน ฉันจะเป็นคนประเมินคุณค่าของ แวน อาเรงส์ พระราชาแห่งราชอาณาจักร อาเรงส์ ด้วยตัวเอง”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ประกาศกร้าวและตบมือปิดข้อสรุป
“ฉันได้ส่งสานส์ท้าดวลให้ แวน อาเรงส์ ไปยังเมืองหลวงแล้ว คำพูดพันคำไม่เท่าปะมือกันหนเดียว ฉันจะทดสอบเองว่าเขาเป็นนักรบที่ไร้เกียติหรือกษัตริย์ที่คู่ควร ด้วยดาบของฉันเอง”
“ท่านปู่….ด้วยตัวเอง…!”
ลูเซียเบิกตากว้าง
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ถึงจะเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม แต่ก็มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว
เขาห่างจากสนามรบมานานแล้วและแทบไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เองเลย
“เจ้าคิดว่า สายตาฉันจะพร่ามัวตามอายุเหรอ? หรือคิดว่าทหารเฒ่าอย่างฉันจะไม่คู่ควรต่อการทดสอบคุณค่าของราชาได้งั้นเหรอ?”
“ไม่เลย”
“ไม่มีใครสงสัยในความแข็งแกร่งของท่านมาร์คกราฟ”
“พวกเราโล่งใจที่สามารถเชื่อมั่นในตัวท่านอย่างเต็มที่!”
พวกที่เคยร่วมกดดันก่อนหน้านี้ล้วนส่ายหัวยอมรับ
พวกเขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของมาร์คกราฟ อุลเบลส์ ยิ่งกว่าใครๆ
การตัดสินคู่ต่อสู้ด้วยการดวล ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่พวกสมองกล้ามด้วยประการฉะนี้
“เมื่อฉันได้รับจดหมายตอบกลับ ฉันจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงทันที หากเขาปฏิเสธการดวลล่ะก็….”
“ขออภัย ท่านมาร์คกราฟ อุลเบลส์”
หลังจากเคาะประตู ทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง
“นี่คือจดหมายจากเมืองหลวง ส่งโดยม้าเร็ว จากคนชื่อ แวน อาเรงส์”
“พูดไม่ทันขาดคำเลย ดูเหมือนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ รับซองจดหมายจากทหารและเปิดอ่านข้อความข้างใน แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฟุ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ช่างกล้าเสียนี่กะไร!”
“ท่านปู่?”
“ลูเซีย เจ้าลองอ่านดูสิ!”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ หัวเราะแล้วยื่นจดหมายให้ลูเซีย
เธอรับจดหมายด้วยสีหน้าสงสัย ทันทีที่ได้อ่านมัน เธอถึงกับอึ้งไป
“นี่คือ….”
“ดูเหมือนว่า แวน อาเรงส์ จะเป็นคนช่างใส่ใจและเอื้อเฟื้อต่อคนชราอย่างฉัน เลยออกจากเมืองหลวงเพื่อมาพบพวกเราด้วยตัวเอง!”
“ใช่…!”
“ไม่น่ะ….!”
ข้อความในจดหมายนั้น แสดงความเป็นกังวลต่อมาร์คกราฟ อุลเบลส์ ซึ่งอายุมากแล้ว จะเป็นการยากลำบากในการเดินทางไปยังเมืองหลวง ดังนั้นเขาเลยจะมาเยือนถึงที่แทน
“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี….คนที่เป็นถึงพระราชากลับอยากออกมาเผชิญหน้ากับข้าราชบริพารถึงถิ่นเช่นนี้!?”
ลูเซียก็อึ้งไปเหมือนกัน
มันไม่น่าเป็นไปได้
ไม่เคยมีพระราชาองค์ไหนกระทำเช่นนี้มาก่อน
แค่ยอมรับคำท้าดวลจากข้าราชบริพารก็ถือว่าแปลกมากแล้ว นี่ยังดั้นด้นเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองอีกต่างหาก ยากเกินจะเข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่มาร์คกราฟ อุลเบลส์ แจ้งเป็นนัยว่าจะพิจารณาถึงการแยกตัวเป็นอิสระ แล้วยังเต็มใจเดินเข้าสู่ดินแดนของศัตรูนั้นไม่เรียกว่ากล้าหาญก็โง่เขลา
“ช่างน่าสนใจยิ่งนัก พวกเรามาเตรียมตัวต้อนรับ พระราชา อาเรงส์ กันเถอะ!”
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ หัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วเรียก แวน อาเรงส์ ว่า “พระราชา” อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่สนใจผลการดวลเลย
ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ แต่แค่แวนตกลงรับคำท้า มันก็เพียงพอแล้ว
หากการต่อสู้เกิดขึ้น เขาจะได้ใช้การดวลแสดงให้เห็นว่า พระราชาอาเรงส์ เป็นผู้กล้าหาญอย่างแท้จริง เพื่อหยุดไม่ให้ ลูเซียและข้าราชบริพารคนอื่นๆ ทำอะไรหุนหันพลันแล่น
(แต่ว่า….ฉันตั้งตารอจนจะทนไม่ไหวแล้วสิ)
สิ่งที่เรียกว่าการท้าดวล แท้จริงแล้วก็คือการขอสวามิภักดิ์นั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
มาร์คกราฟ อุลเบลส์ ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะดวลกับแวน ด้วยจิตวิญญานแห่งการต่อสู้ที่ไม่เคยเหือดหายไปตามอายุที่มากขึ้น
=================
จะแปลเฉพาะแนวฮาเร็มที่มี NTR และ zamaa เป็นความชอบส่วนตัวนะครับ ลงน้องแมวเท่านั้น ไม่ลงที่อื่น
เป็นกำลังใจให้กันได้ที่ กสิกร 606-2-07812-8 ทวิรวัฒน์