ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 9: ปู่กับหลานชาย
{ณ ราชวังไวท์ใจกลางอาณจักรนิเวีย}
สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมที่สุด ภายในราชวังเป็นที่พำนักของเหล่าราชวงศ์และบุคคลสำคัญมากมาย ด้านล่างใจกลางอาณาจักรราชวังแห่งนี้ มีผลึกมานาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของจอมเวทย์อยู่
และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คอยบัญชาการทหารภายในอาณาจักร ซึ่งมีท่านจอมพล นิโค เรเวนสครอฟต์เป็นผู้สั่งการ
ห้องทำงานของเขาตั้งอยู่ที่ป้อมปราการชั้นนอกของราชวัง ซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยสนามฝึก และค่ายทหารหน่วยองครักษ์อยู่มากมาย มิหนำซ้ำยังมีปืนใหญ่พลังเวทย์ติดอาวุธจำนวนมากตั้งอยู่ แม้สงครามจะจบไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่ลดการป้องกันลง
เสียงฝีเท้าของใครบางคนได้เดินผ่านระเบียงที่ทอดยาวแล้วตรงไปที่ห้องทำงานของท่านจอมพลที่น่าเกรงขาม เขาหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังซ้ำๆ กันพอเป็นพิธี
“เข้ามา”
เสียงเข้มทุ้มต่ำของชายสูงวัยตอบกลับไป และแล้วประตูจึงถูกเปิดออก
ชายที่ปรากฏตัวตรงหน้าของนิโคนั้น ไม่ได้สร้างความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ชายคนนั้นยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์พร้อมรายงานตัว
“พลทหารเอกเจราห์ เรเวนสครอฟต์รายงานตัวครับ ท่านจอมพล”
“ในห้องนี้มีแค่เราสองคน หลานพูดอย่างทุกทีก็ได้”
“ถ้าท่านปู่พูดขนาดนั้น ผมก็ไม่เกรงใจนะ”
นิโคไม่แปลกใจในความทะเล้นของหลานชายตัวดีพลางพยักหน้า เขาวางงานทุกอย่างลงบนโต๊ะแล้วตรงไปนั่งที่โซฟารับแขก เจราห์เองก็ทำแบบเดียวกันโดยที่ไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม
“เวลามีไม่มาก ผมคงต้องขอถามสารทุกข์สุกดิบท่านปู่คราวหลัง…ทำไมอยู่ๆ ถึงมีคำสั่งให้หยุดตามหาลูอันน่ากันครับ?”
“หลานดูไม่พอใจนะเจราห์”
“มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ เหตุใดท่านปู่ถึงทำเช่นนั้น หรือว่า ที่จริงท่านปู่รู้แล้วว่าลูอันน่าอยู่ที่ไหน?”
“ปู่ไม่เข้าใจว่าทำไมหลานถึงได้เดือดร้อน ทั้งๆ ที่น้องสาวของหลานพึ่งพ้นจากโทษหนีทหารไป แทนที่หลานจะดีใจ ไหงถึงได้มาโมโหใส่ปู่ได้เล่า”
“ใครบอกว่าผมไม่ดีใจกัน ผมล่ะโล่งอกแล้วก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าท่านปู่ด้วยซ้ำ ใครมันจะอยากให้น้องตัวเองเป็นกบฏกันครับ…”
“แค่โทษหนีทหาร”
“มันก็เทียบเท่ากบฏนั่นล่ะครับ”
เจราห์เถียงเขาได้ไม่ต่างจากตอนที่คุยกับลูอันน่าเลย สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน
แม้ในใจของนิโคจะแอบขำอยู่ไม่น้อยแต่ก็พยายามสงวนท่าทีไม่แสดงออกไป หากแสดงออกอะไรแปลกๆไปจนถูกเจราห์จับสังเกตได้ เขาคงลำบากไม่น้อย
“เรื่องที่ผมโกรธน่ะ คือการที่ท่านปู่แอบทำอะไรโดยไม่บอกกันต่างหาก การที่ต้องเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ ผมไม่ชอบใจนักหรอกครับ”
เจราห์พูดออกมาด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง นิโคอดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างเอ็นดู ไม่ว่าจะมองอย่างไรเจราห์กับลูอันน่าก็ช่างคล้ายกันอย่างมหัศจรรย์
เขานั่งไขว่ห้างพลางกุมมือทั้งสองไว้บนหน้าตัก
“อย่างไรปู่ก็ออกคำสั่งไปแล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องตามหาตัวเธอแล้วล่ะ”
“เหตุผลล่ะครับ?”
“หลานยังไม่ได้มีตำแหน่งสูงพอจะรู้เรื่องนี้ อีกอย่างปู่ก็มองว่าการตามหาคนๆเดียวโดยใช้กำลังทหารนานขนาดนี้ มันเป็นเรื่องที่เสียเวลามากเกินไปแล้วด้วย…”
“นี่ท่านปู่ กำลังพูดกับผม ซึ่งมียศเป็นถึงพลทหารเอกว่าตำแหน่งไม่สูงพองั้นหรือครับ แล้วไอ้การตามหาคนๆ เดียวที่ท่านปู่ว่า นั้นคือหลานสาวของท่านเอง…น้องสาวเพียงคนเดียวของผมนะ!!”
เจราห์ขึ้นเสียงแล้วตุบไปที่ขาของตัวเองด้วยความโมโห ท่าทางของเขาทำเอานิโคต้องขึงตากลับไปราวกับจะเป็นการเตือน
“ระวังท่าทางของหลานหน่อยเจราห์ แม้จะอยู่กันสองคนแต่หลานก็ไม่ควรจะมาขึ้นเสียงใส่ปู่เช่นนี้นะ”
เจราห์กำหมัดแน่น พยายามที่จะอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
ไม่ใช่ว่านิโคจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเจราห์
เพราะเขาเป็นคนที่คอยติดตามอาการของลูอันน่าตลอดในระหว่างที่เธอยังนอนติดเตียงไม่ได้สติ เจราห์ต้องหวาดระแวงต่ออาการหัวใจวายที่พร้อมจะเกิดกับน้องสาวของเขาได้ตลอดเวลา
สองสัปดาห์นั้นเขาคอยนั่งเฝ้าและติดตามอาการของเธอไม่ห่าง คนที่เอาแต่พูดจาเหน็บแนมและจี้ใจดำน้องสาวตัวเองตลอด แท้จริงแล้วเขากลับเป็นห่วงและอยากปกป้องเธอมากกว่าใครๆ แม้ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะดูห่างเหินไปบ้าง แต่ในฐานะพี่ชาย เขามีหน้าที่ต้องดูแลเธออย่างที่ท่านแม่ที่เสียไปแล้วฝากฝังเอาไว้
“ขออภัยที่ผมทำตัวไม่เหมาะสมด้วยครับ”
เจราห์โค้งตัวลง แล้วก็เงยหน้าขึ้น คนที่วางตัวอย่างใจเย็นและสุขุมอยู่ตลอด บัดนี้ได้เสียการควบคุมไปชั่ววูบ
ทั้งนิโคและเจราห์ต่างต้องการที่จะดูแลและปกป้องคนสำคัญของพวกเขาทั้งคู่ เพียงแต่ทั้งคู่นั้นเลือกที่ใช้วิธีที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
“อันที่จริง ที่ผมมาหาท่านปู่ ไม่ได้จะคุยเรื่องลูอันน่าอย่างเดียวหรอกครับ…”
ดวงตาสีฟ้านั้นสบกันอยู่สักพัก และแล้วเจราห์ก็ใช้เวทย์เก็บสัมภาระดึงม้วนกระดาษบางอย่างออกมา
ม้วนเอกสารนั้นถูกผนึกอย่างดีพร้อมด้วยตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อนิโคได้เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วออกมา
“เจราห์ หลานกำลังจะทำอะไร?”
“ผมก็แค่ทำแบบเดียวกับท่านปู่ไงครับ”
เจราห์วางม้วนกระดาษนั้นลงตรงหน้าของนิโค
“จากนี้ไปผมจะไปประจำการนอกเมืองหลวง และผมยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ที่รับผิดชอบ เรื่องส่งหน่วยทหารชุดใหม่ออกไปช่วยเหลือชาวบ้านในการกำจัดมอนสเตอร์ที่กำลังอาละวาดอยู่ด้วย…แน่นอน เรื่องนี้จักรพรรดิเป็นคนออกคำสั่งด้วยตนเองด้วย”
“ไม่จริงน่า…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ที่สำคัญผมได้รับรายงานบางอย่างมาด้วย เกี่ยวกับพวกเดอะบีสท์ที่คนแถบชนบทแอบจ้างโดยไม่บอกทางอาณาจักร”
“เดอะบีสท์งั้นหรือ ไม่ได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกันแฮะ”
“ผมกำลังสงสัยอยู่ว่าเผ่าปีศาจที่ถูกเนรเทศไปเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ทำไมถึงได้มาคุ้มครองประชาชนของเรากัน นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ดูน่าสงสัยเกินไป…”
“เพราะเรื่องนี้หลานเลยต้องไปจากเมืองหลวงงั้นหรือ?”
“ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี ใครจะไปรู้ผมอาจบังเอิญเจอลูอันน่าเข้าก็ได้นะ”
“ปู่บอกแล้วไงว่าไม่มีคำสั่งให้ตามหาตัวเธอแล้วน่ะ!”
“ผมก็พึ่งพูดไปเอง ว่าอาจ’บังเอิญ’เจอนะครับ”
ไม่รู้นิสัยที่เถียงคำไม่ตกฟากนี้ได้ใครมากัน เมื่อเทียบกับเจราห์แล้ว ลูอันน่ายังให้ความเคารพเขามากกว่าด้วยซ้ำ
ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงไม่น่ารักเหมือนแต่ก่อนกันนะ หลานชายคนนี้โตเร็วเกินไปจนเขาเสียใจเลย
“สายลับที่ผมส่งไปตามอาณาจักรต่างๆ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่มองมาที่เรายังไม่ดีเท่าไหร่ อย่างไรในช่วงที่ผมไม่อยู่ ท่านปู่เองก็ระวังตัวด้วยนะครับ อ้อ แล้วก็…”
เจราห์เงียบไปแล้วยิ้มหวานให้นิโคอย่างมีเลศนัย
“ทำไมชื่อของลูอันน่าถึงไปอยู่ในภารกิจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้กันล่ะครับเนี่ย ตอนแรกที่รู้ผมนี่ตกใจมากเลยนะครับ”
“!!!”
ตอนนี้นิโคไม่อาจเก็บสีหน้าของตัวเองไว้ได้
ทำไมเจราห์ถึงรู้เรื่องนี้ได้ เรื่องนี้ควรจะมีแค่เขากับจักรพรรดิเท่านั้นที่รู้สิ หน้าของนิโคเหมือนกำลังจะสื่อออกมาเช่นนั้น
“มีท่านพ่อเป็นถึงที่ปรึกษาคนสนิทของจักรพรรดิ มันดีอย่างนี้นี่เองนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องลับแค่ไหน ตรวจสอบดูครู่เดียวก็รู้แล้ว…”
เจราห์พูดออกมาแล้วแสยะยิ้ม ใบหน้าอันชั่วร้ายนั้นทำเอานิโคถึงกับผวา
เอาแล้วไง โดนเล่นเสียแล้ว เจ้าหลานคนนี้ไม่ได้มาเพราะต้องการรู้ว่าลูอันน่าอยู่ที่ไหน แต่แท้จริงมาเพื่อยืนยันว่านิโครู้ไหมว่าเธออยู่ที่ไหนต่างหาก
“เจราห์ หลานตั้งใจจะทำอะไรต่อกันเนี่ย”
“ลองเดาดูเองสิครับ”
เจราห์ลุกออกจากโซฟาแล้วเดินไปหยุดลงตรงหน้าประตู เขาหันกลับมาพร้อมกับทำท่าอวดเก่ง
“อีกไม่นานผมเลื่อนตำแหน่งขึ้นไป…เอาเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าท่านปู่ หรือไม่ก็ตำแหน่งเดียวกันไปเลยดีไหมครับ หากทำแบบนั้นท่านปู่คงไม่กล้ามีความลับกับผมอีกแน่”
เขาพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป นิโคที่เห็นว่าเจราห์เดินออกไปได้สักพักแล้วก็เอนตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า การสนทนาเมื่อครู่ทำเอาเขาแก่ลงไปหลายปี
ทำไมพวกหลานๆ ของเขาถึงได้ชอบทำอะไรตามอำเภอใจกันนะ เขาตามใจจนเสียนิสัยไปแล้วหรือเปล่านะ หลานยังไม่เท่าไหร่ แม้แต่ลูกชายตัวดียังร่วมมือด้วยอีก
‘ลูอันน่า ปู่คงช่วยหลานได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ’
นิโคคิดพลางถอนใจ ผ่านมาได้ครึ่งปีหลังจากที่สงครามจบลง ตอนนี้บ้านเมืองก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาจนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาอาณาจักรนิเวียถูกอาณาจักรโดยรอบหวาดระแวงอย่างช่วยไม่ได้
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สงครามลูกใหม่อาจกลับมาไวกว่าที่คาดการณ์ไว้ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
“เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงใกล้เข้ามาทุกที ดูเหมือนการหายตัวไปของลูอันน่าจะสร้างรอยร้าวให้เรามากกว่าที่ฉันคิดไว้เสียแล้ว”
นิโคนึกเสียดายที่ไม่ได้จับตัวลูอันน่ากลับมาตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน อย่างไรเธอเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว หากต้องถูกเกลียดเข้า มีหวังชีวิตนี้เขาคงว้าวุ่นใจไปตลอดแน่ๆ
ปัญหาหลายอย่างตอนนี้ไม่อาจแก้ไขได้โดยง่าย การที่จะผลักภาระอันใหญ่หลวงไปให้เด็กสาวตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวดูจะเป็นการกระทำที่น่าเกลียดเกินไป ในฐานะที่เขาเป็นถึงจอมพลของกองทัพยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ไว้ได้ เมื่อนั้นเขาคงไม่เหมาะกับสมญานามชายที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรอีกต่อไป
เรื่องครอบครัวตอนนี้ก็ทำเขาหนักใจไม่แพ้กัน แต่นั่นคงต้องยกให้เป็นเรื่องรองไปก่อน
นิโคนั่งครุ่นคิดบางอย่างอยู่พักใหญ่ และแล้วเขาก็ตัดสินใจได้
“ดูเหมือนฉันคงต้องไปเยี่ยมเพื่อนเก่าหน่อยแล้วสิ”
นิโคพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง เขาลุกออกจากโซฟาแล้วตรงเข้าไปหยิบเสื้อคลุมคู่ใจมาพาดบนไหล่พร้อมเดินออกจากห้องไป