ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 7: การพบกันครั้งแรกของเรา(2)
เสียงประตูถูกเปิด
ฉันรีบเดินเข้าไปต้อนรับลูกค้ารายใหม่ที่กำลังยืนรออยู่หน้าร้าน
ฉันไม่คุ้นหน้าตาของพวกเขาเลย สงสัยว่าจะไม่ใช่คนแถวนี้ พวกเขาดูต่างไปจากคนในหมู่บ้านแถบนี้อย่างสิ้นเชิงแต่ยอมรับเลยว่าหน้าตาดีกันไม่ใช่เล่น
“ตอนนี้มีลูกค้าอยู่เต็มร้าน รบกวนรอสัก…”
ฉันหยุดคำพูดของตัวเองหลังจากหันกลับมาดูด้านหลัง บรรดาโต๊ะที่เต็มไปด้วยลูกค้ามากมายก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับเหลือเพียงจานอาหารและเงินสดวางอยู่
อ้าว หายไปไหนกันหมดแล้ว? แต่นั่นก็แปลว่าตอนนี้โต๊ะว่างแล้วสินะ
“ดูเหมือนว่าตอนนี้โต๊ะจะว่างแล้ว อย่างไรก็ขอเวลาเก็บโต๊ะสักครู่นะคะ”
ฉันโค้งให้อย่างสุภาพก่อนจะเดินตรงไปเก็บโต๊ะอย่างรวดเร็ว ฉันเลือกเก็บโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์เป็นอย่างแรก กลุ่มลูกค้าพวกนั้นเดินตามฉันมาแล้วนั่งลงในขณะที่ฉันกำลังเก็บจานแต่ละใบอย่างระวัง
“ระหว่างนี้ เชิญลูกค้าเลือกเมนูก่อนได้เลยนะคะ”
ฉันยื่นเมนูให้แต่ละคนอย่างคล่องแคล่ว แต่แล้วชายคนหนึ่งที่ดูจะแก่สุดในกลุ่มก็พูดขึ้น
“ในนี้คนที่อ่านหนังสือได้มีแต่ข้า ที่จริงเจ้าไม่ต้องลำบากแจกเมนูให้ทุกคนหรอกนะ”
ลักษณะการพูดของเขาดูโตกว่าหน้าตาของคนอย่างน่าประหลาด สมัยนี้ยังมีคนพูดแบบนี้อยู่อีกหรือเนี่ย มันทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ท่านปู่คุยกับเพื่อนอาณาจักรอื่นเลย
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณลูกค้า แต่ละรายชื่ออาหารจะมีรูปภาพประกอบอยู่ด้วย ถ้าอยากทราบรายละเอียดอะไรก็ถามฉันมาได้เลยนะคะ”
“…ช่างใส่ใจดีจริงๆ”
ชายคนนั้นอมยิ้มออกมาหลังจากที่กล่าวชมเสียงเบา
พอฉันเก็บจานอาหารกลับไปในครัว มาสเตอร์ที่ประจำอยู่ในนั้นก็ขมวดคิ้วออกมาทันที
“ตายแล้ว ทำไมอาหารถึงได้เหลือแบบนี้ล่ะ พวกลูกค้าบอกไม่ถูกปากกันอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่นะคะมาสเตอร์ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่พอหันกลับมาอีกที ลูกค้าพวกนั้นก็พากันออกไปจากร้านหมดแล้ว อ่ะ…แต่พวกเขาจ่ายเงินครบทุกโต๊ะนะคะ วางใจได้”
“งั้นก็แล้วไป…อย่างไรอาหารที่เหลือนี้ เราเอาไปจัดใส่กล่องแล้วแบ่งให้สถานรับเลี้ยงเด็กใกล้ๆ นี้แล้วกัน”
“ได้เลยค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปหากล่องมานะคะ”
“เธอน่ะไปดูแลลูกค้าเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง”
มาสเตอร์ปัดมือไล่แล้วหันไปจัดการอาหารพวกนั้น
เธอหันไปหยิบจับของต่างๆ ในครัวได้อย่างคล่องแคล่วจนฉันไม่อาจเข้าไปแทรกได้ สมกับเป็นมาสเตอร์จริงๆ
หลังจากที่ฉันออกมาจากหลังร้าน ลูกค้าท่านหนึ่งก็ปลีกตัวออกมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มผมสีนมสตรอว์เบอร์รี่ ใช้แววสีแดงสดนั้นมองมายังฉันด้วยท่าทางที่ซุกซน
“มะ…มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“หุๆ~ แค่คิดว่าเธอนี่สวยอย่างที่เขาลือกันจริงๆ น่ะสิ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยจริงๆ นะ หรือเธอจะเป็นนางฟ้า~”
โธ่…พอทีเถอะ แม้ฉันจะได้ยินเรื่องพวกนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังทำตัวให้ชินกับมันไม่ได้เสียที
ทำไมคนพวกนี้ถึงได้กล้าพูดเรื่องน่าอาย โดยที่ไม่เกรงใจกันได้ขนาดนี้นะ
“ขอบคุณค่ะ…สั่งอาหารเลยไหมคะ?”
“ง่ะ…ตัดจบดื้อแบบนี้เลยหรือ เสียใจนะ”
“เมนูแนะนำวันนี้เป็นเนื้อกวางที่ได้มาจากนายพรานแถบนี้ค่ะ เนื้อนุ่มแล้วก็มีกลิ่นหอมมาเลยนะคะ จะเอาไปต้มก็ดี…จะทอดก็ดี…”
“แต่หัวใจฉันตอนนี้ กำลังต้องการการเยียวยาน่ะสิ แบบนี้ควรจะสั่งอะไรดีล่ะเนี่ย?”
ชายคนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฉันถอยหลบทั้งรอยยิ้มแล้วพูดต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะคะ นอกจากเมนูเนื้อกวาง ทางร้านเรายังมีเมนูปลาทะเลซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจอยู่ด้วยค่ะ”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ…”
“หรือถ้าคุณลูกค้าไม่สนใจเมนูเนื้อ ผลไม้ต่างแดนก็มีนะคะ บำรุงหัวใจได้เหมือนได้รับการเยียวยาเลยล่ะค่ะ”
“มะ…ไม่หรอก ที่จริงฉันก็ชอบปลานะ…”
“งั้นแสดงว่าจะสั่งเมนูปลาทะเลนะคะ?”
ฉันไม่เปิดช่องว่างให้เขามาพูดจาหลอกล้อใส่ได้อีก ใบหน้าของฉันยังคงฉีกยิ้มกว้าง แม้จะยิ้มอยู่แต่ฉันก็แผ่รังสีตักเตือนว่า ‘ช่วยสั่งอาหารแล้วกลับไปนั่งที่ดีๆ’ ออกไปอย่างนุ่มนวล
เมื่อชายคนนั้นเข้าใจในท่าทีของฉันเขาก็ยิ้มรับแล้วเดินกลับไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนๆ
“อุ๊บ!…ฮ่าๆๆๆๆ”
อยู่ๆ ลูกค้าคนหนึ่งก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างสะใจ
เสียงนั้นทำให้ฉันนึกถึงคุณจิ้งจอกที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ พอฉันมองไปทางลูกค้าคนนั้น เขาก็โบกมือทักทายเหมือนกับว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน
เมื่อได้เห็นเส้นผมสีเงินหม่นและตาสองสีนั้น ฉันก็แอบคิดไปว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญแต่พอได้เห็นปลอกคอสีดำเล็กๆ ที่พันอยู่รอบคอ นั่นทำให้ฉันมั่นใจทันที
“คุณจิ้งจอก!?!”
“ไง ลูน่า ฉันพาทุกคนมาตามคำเชิญแล้วนะ”
นี่เขา…แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือนี่ โห…เห็นแบบนี้แล้วดูไม่ออกเลยว่าเป็นมนุษย์หรือปีศาจนะเนี่ย
ฉันฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ใครจะไปคิดล่ะว่าลูกค้าพวกนี้จะเป็นพวกทหารรับจ้างที่ทุกคนพูดถึงกัน ไม่น่าล่ะลูกค้าคนอื่นถึงได้หนีกันไปหมด
ดูเหมือนนอกจากสังเกตปลอกคอสีดำตรงคอแล้ว บางทีเครื่องแบบที่พวกเขาสวมอยู่เองก็อาจจะเป็นเครื่องแบบเฉพาะด้วยก็เป็นได้
“แสดงว่าทุกคนก็เป็นปีศาจจิ้งจอกเหมือนกันเลยใช่ไหมคะ?”
“เปล่าๆ จิ้งจอกน่ะมีแค่ฉัน แต่ทุกคนตรงนี้น่ะไม่มีใครเป็นมนุษย์เลยสักคนนะ”
“สุดยอด~”
ระหว่างฉันพูดคุยกับคุณจิ้งจอกอยู่ เหมือนกับถูกสายตาจากใครบางคนจ้องมอง
เมื่อหันไปก็พบกับคนผมดำเข้มที่พูดด้วยสำนวนประหลาด ขมวดคิ้วมองฉันอย่างไม่พอใจ
“อ่ะ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันพึ่งเคยคุยกับเผ่าปีศาจเลยตื่นเต้นไปหน่อย ถ้าเกิดคุณไม่พอใจเดี๋ยวฉันเข้าไปหลังร้านก็ได้นะคะ”
ฉันมองเขาอย่างสับสนแต่คุณจิ้งจอกก็วางมือลงที่หัวของฉันเบาๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก หัวหน้าเขาแค่ประหม่าน่ะ…หัวหน้าครับ เลิกจ้องเธอแบบนั้นได้แล้ว คุณจะทำให้เธอกลัวนะ”
“เอ๊ะ! อ่า…ขอโทษ…”
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ไม่นานฉันก็เห็นว่าเขาเหลือบหางตามองฉันแล้วจัดคอเสื้อเหมือนเพื่อลดอาการประหม่า
“ชื่อ…”
ฉันได้ยินไม่ถนัด เนื่องจากชายคนนั้นพูดเสียงเบาเกินไป
“ชื่อของเจ้า…ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรือ สาวน้อย”
อุ่บ…เขาเรียกฉันว่าสาวน้อยด้วยล่ะ ชายคนนี้น่าจะแก่กว่าฉันแค่สิบปี แต่เขากลับเรียกแทนตัวฉันว่าสาวน้อยเหมือนพวกคนแก่ๆ ไม่มีผิด
นั่นทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เจอกับมาสเตอร์ครั้งแรกเลย
“ลูน่าค่ะ ฉันชื่อลูน่า”
“ลูน่างั้นหรือ…ชื่อเพราะดี ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามากเลย”
เขากระตุกยิ้มออกมาพลางแนะนำตัว
“ตัวข้ามีนามว่าจี เป็นหัวหน้าหน่วยทหารรับจ้างปีศาจแถบนี้ ถ้าเกิดลูกน้องของข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ”
“ไม่หรอกค่ะ อันที่จริงฉันถูกคุณจิ้งจอกช่วยเอาไว้ต่างหากล่ะคะ”
…ช่วยจัดการผู้ชายน่ารำคาญที่มาเกาะแกะฉันน่ะค่ะ
“ช่างเป็นเด็กดีอะไรอย่างนี้ อยากมาเป็นลูกสาวข้าไหมลูน่า”
อะไรนะคะ…
“หยุดเลยหัวหน้า! นายก็เอามือออกไปได้แล้ว! ฉันชื่ออีวานนะ หวังว่าเราจะสนิทกันได้นะลูน่าตัน~”
ชายที่เข้ามาหลีฉันเมื่อครู่ ดูเหมือนจะชื่อว่าอีวาน เขาปัดมือของเซนออกไปจากฉันแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เป็นคนที่ร่าเริงดีเหลือเกินนะ
ฉันชำเลืองมองชายอีกคนที่ตั้งแต่เข้าร้านมายังไม่พูดอะไรสักแอะ เขามีสีผมเหมือนกับลูกวอลนัทและมีตาสีเดียวกัน ท่าทางที่ดูสุขุมแถมยังสวมแว่นตานั้น ทำให้เขาดูเรียบร้อยที่สุดในบรรดาทั้งหมด
เมื่อสายตาของเราสบกัน เขาก็พูดชื่อตัวเองออกมาเพียงสั้นๆ
“สไตน์”
เขาชื่อสไตน์งั้นสินะ ดูเหมือนทุกคนจะบอกชื่อของพวกเองมาครบหมดแล้ว
ไม่นานพวกเขาก็เริ่มสั่งอาหาร คุณจีสั่งข้าวหน้าเนื้อจานใหญ่และพาสต้าลูกชิ้นอีกสองจาน กินเยอะจังแฮะ…
คุณอีวานเป็นเมนูปลาทะเลกับขนมปังกระเทียมกรอบ
คุณสไตน์เป็นซุปข้าวโพดกับเนื้อย่างซอส ไม่ใช่ผัก
ส่วนคุณจิ้งจอกก็เป็นแพนเค้กผลไม้กับเค้กสตรอว์เบอร์รี่ เขาต้องเป็นพวกคลั่งของหวานแน่ๆ
“เครื่องดื่มเป็นอะไรดีคะ?”
“ข้าเอาเบียร์ ส่วนเจ้าพวกนี้เอาเป็นนมวัวแล้วกัน”
“เอ๋~/อ้าว~”
แม้จะได้ยินโอดครวญเหมือนไม่อยากก็ตาม แต่ฉันก็ขอรับออเดอร์ไปตามนี้แล้วกัน
พอฉันจะเดินเข้าไปทางหลังร้าน คุณจิ้งจอกก็ลุกออกมาจากโต๊ะพร้อมกับขวางไม่ให้ฉันผ่านไป
“อยากจะสั่งอะไรเพิ่มเติมงั้นหรือคะ?”
“…ทำไมเธอถึงไม่ถามชื่อฉันล่ะ”
เขาพูดออกมาแล้วทำหน้าหงอยใส่ ฉันเรียกเขาว่าคุณจิ้งจอกจนคิดไปแล้วว่านี่มันเป็นชื่อเรียกของเขา
“ขอโทษนะคะ ฉันดันคิดว่าคุณจิ้งจอกเป็นชื่อของคุณไปเสียแล้วล่ะค่ะ”
“ใช่ที่ไหนเล่า~ ทั้งๆ ที่ฉันเจอเธอก่อนแท้ๆ ไหงถึงต้องให้เธอมารู้ชื่อคนสุดท้ายแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย”
“คิกๆ…ขอโทษด้วยนะคะ แล้วคุณจิ้งจอกชื่อว่าอะไรหรือคะ?”
แม้เขาจะยังไม่หายงอนฉัน แต่คุณจิ้งจอกก็ยอมบอกชื่อตัวเองออกมาในที่สุด
“เซน ฉันชื่อว่าเซน ไม่ใช่คุณจิ้งจอกแบบที่เธอคิดเอาเองหรอกนะ”
“โธ่ ฉันก็ขอโทษไปแล้วไงค่ะ ยกโทษให้ฉันเถอะค่ะ”
ฉันหัวเราะออกไปอย่างไม่สำนึก แต่แล้วเซน เขาก็ยอมเปิดทางให้ฉันเดินเข้าไปที่หลังร้านแต่โดยดี
นั่นหรือทหารรับจ้างที่ทุกคนต่างกลัวนักหนา พอเจอเข้าจริงๆ ดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ พวกเขาดูเป็นกันเองแถมยังตลกกันมากเลยด้วยสิ
พอนึกถึงเรื่องที่ทุกคนพูดกัน ฉันรู้สึกสงสารพวกเขาอย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนพวกเขาถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนน่ากลัว
ระหว่างที่ยื่นกระดาษจดออเดอร์ให้มาสเตอร์ ฉันก็ค่อยๆ ทวนชื่อและใบหน้าแต่ละคนเพื่อให้จำพวกเขาได้อย่างขึ้นใจ
อยากรู้จักกับพวกเขาจัง อยากสนิทกันมากกว่านี้ ยิ่งมารู้ว่าพวกเขาเป็นคนดี นั่นยิ่งทำให้ฉันอยากพูดคุยด้วยมากขึ้น ไม่แน่ว่าบางทีพวกเราอาจเข้ากันได้มากกว่าที่คิดก็ได้