ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 6: การพบกันครั้งแรกของเรา(1)
เผ่าปีศาจ ชื่อเรียกที่ถูกเล่าขานมานานกว่าร้อยปี
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาจากที่ไหน…เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร…พลังอันมหาศาลนั้นได้มาจากที่ใด…
แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ทำอาชีพเป็นทหารรับจ้างโดยไม่ฝักใฝ่ในอาณาจักรใด มีทั้งการว่าจ้างรูปแบบคุ้มครอง ปกป้อง ลอบสังหาร หรืออาจเป็นการจ้างวานระยะยาวอย่างการกำจัดมอนสเตอร์ในแถบชานเมือง โดยมีผู้จ้างวานเป็นเจ้าเมืองของเขตนั้นๆ
เนื่องจากแต่ก่อน อาณาจักรยังคงให้ความสำคัญกับการทำสงครามจนละเลยการดูแลประชาชนในแถบชนบท จนพวกเขาต่างต้องดูแลและพึ่งพากันเองอย่างช่วยไม่ได้
ในแถบบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ มีเพียงคนธรรมดาอาศัยอยู่ พวกเขาต่างลำบากและหวาดกลัวมอนสเตอร์เพราะไม่สามารถต่อกรกับพวกมันได้ หากไม่มีพลังเวทย์หรือทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมา การเข้าไปต่อสู้กับพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง ด้วยเหตุนี้เองเจ้าเมืองจึงได้ตัดสินใจยอมขอความช่วยเหลือจากเหล่าบุคคลที่พวกเขาหวาดกลัวไม่แพ้มอนสเตอร์ เดอะบีสท์ (The Beast) หรือเหล่าทหารรับจ้างปีศาจ…
ว่ากันว่าเผ่าปีศาจนั้นกำเนิดและเติบโตมาในป่า ไม่ต่างจากพวกมอนสเตอร์หรือสัตว์ร้ายสักเท่าไหร่ ที่แตกต่างคือพวกเขามีสติสัมปชัญญะและพูดภาษามนุษย์ได้ แถมยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
มีครั้งหนึ่งที่เมืองหลวงให้ความสนใจในเผ่าปีศาจและคิดที่จะดึงพวกเขามาเป็นกองกำลังแก่อาณาจักร แต่น่าเสียดาย มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ปีศาจตนหนึ่งเสียการควบคุมระหว่างฝึกฝน ตอนนั้นเองมีผู้คนที่บาดเจ็บและพิการไปแสนสาหัส เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทุกคนมองไปที่เผ่าปีศาจอีกครั้งอย่างไม่เชื่อใด สัตว์ป่าไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นสัตว์ป่าอยู่วันยังค่ำ…
‘…พวกปีศาจที่มีพลังร้ายกาจนี้ ขอแค่สามารถควบคุมไม่ให้มันหันกลับมาทำร้ายผู้คนได้ก็เพียงพอแล้ว’
จอมเวทย์คนหนึ่งพูดออกมาเช่นนั้น และแล้ว [ตราประทับ] ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น สิ่งที่ใช้ควบคุมเหล่าปีศาจดั่งปลอกคอ แม้ว่าจะมีหนทางที่สามารถควบคุมได้แล้วก็ตาม แต่จักรพรรดิในสมัยนั้นกลับมองว่ามันเป็นการกระทำอันป่าเถื่อน ไม่ต่างอะไรจากระบบทาส จึงได้สั่งยกเลิกตราประทับแล้วเนรเทศเหล่าปีศาจกลับไปยังป่าของพวกเขาแทน
…นั่นคือเรื่องราวที่หนังสือเล่มหนึ่งได้บอกเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงถูกใช้อยู่ แถมยังคงมีทหารรับจ้างปีศาจทำงานอยู่ตามเขตต่างๆ โดยที่ไม่มีใครรู้อีกต่างหาก
“หายไปไหนมา เซน”
ชายร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกในสภาพเปลือยกายท่อนบน ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ร่างกายที่กำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่งราวกับนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน เขามีผมสีดำประกายม่วงเข้มกับแววสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งหมู่ดาว
บริเวณป่าที่เงียบสงบไร้ซึ่งวี่แววของมอนสเตอร์นี้ ถูกเรียกขานว่าคอร์ ฟอเรสท์ (Core Forest) หรือป่าแห่งแก่นแท้
จิ้งจอกสีเงินตัวใหญ่ก้าวเท้าออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ แล้วหันไปมองชายคนนั้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หัวหน้า ผมบอกกี่ทีแล้วว่าให้ใส่เสื้อผ้าดีๆ ถ้าจะอยู่ในร่างมนุษย์แบบนี้น่ะ…”
คำพูดของจิ้งจอกนั้นทำให้ชายคนนั้นชักสีหน้าออกมา
“หนวกหูจริง ข้าจะแต่งตัวอย่างไร มันก็เรื่องของข้า”
ชายคนนี้คือ จี หัวหน้าของหน่วยทหารรับจ้างปีศาจที่มีหน้าที่ดูแลเขตชานเมืองแห่งนี้ เขาเป็นปีศาจที่มีสายเลือดของมังกรไหลเวียนอยู่ ร่างจริงอันสูงใหญ่ของเขาต่างทำให้ใครหลายคนต่างหวาดกลัว ภายนอกดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบ แต่แท้จริงอายุของเขาตอนนี้กลับย่างเข้าเก้าสิบปีแล้ว
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะว่าหายไปไหนมา ข้ารึอุตส่าห์ย่างเนื้องูป่าเหลือไว้รอ เจ้าเล่นหายไปนานขนาดนี้เนื้องูก็เย็นชืดหมด”
“โธ่~ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่กินน่ะ”
“เป็นเด็กเป็นเล็กยังจะมาเลือกกินอีก หากเจ้าไม่กินจะเอาแรงจากไหนมาทำงาน พูดจาน่าขัน”
จีเดินไปหยิบไม้ที่เสียบเนื้องูย่างพร้อมกับยื่นมันไปทางจิ้งจอกตัวนั้น แม้ว่าร่างจิ้งจอกจะตัวใหญ่โตน่าเกรงขามแต่พออยู่ต่อหน้าจี เขาก็ไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตัวน้อย
จิ้งจอกเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเป็นการปฏิเสธ ท่าทางนั้นทำให้จีเริ่มโมโห
“เซน!”
“ไม่เอา! ตอนนี้ผมอิ่มจนกินอะไรไม่ลงแล้ว เพราะงั้นเอามันออกไปทีเถอะ!”
จิ้งจอกเซนปฏิเสธอย่างสุดตัวแถมยังส่ายหัวไปมาอีกต่างหาก และแน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำท่าทางแบบนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมจีถึงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“เลิกดื้อได้แล้ว เจ้าคงจะอ้างนู่นอ้างนี่เพราะไม่อยากกินอีกแล้วใช่ไหม?”
“ครั้งนี้พูดจริงนะ กินมาแล้วจริงๆ”
“เซน เจ้าคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว ป่านนี้ยังมาโกหกอีกรึ”
ขณะที่เซนกำลังถูกคะยั้นคะยอให้กินเนื้องูเข้าไป ชายอีกคนก็กระโดดม้วนตัวลงมาจากต้นไม้
เขาเองก็อยู่ในหน่วยทหารรับจ้างนี้เช่นกัน
“แต่ผมว่าเจ้าหมานี่ไม่ได้โกหกหรอกนะหัวหน้า”
เสียงพูดแสนยียวน เมื่อหันไปก็พบกับหน้าตาเจ้าเล่ห์ที่ทำเอาเซนตากระตุก เมื่อได้ยินดังนั้นจีจึงยอมถอยออก
“อยู่ด้วยหรืออีวาน”
“อยู่ตั้งแต่แรกเลยต่างหาก นายกับหัวหน้าทะเลาะกันเสียงดังจนฉันไม่มีสมาธินอนกลางวันเลยน่ะสิ”
อีวานเดินไปใกล้เซนพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด ดมกลิ่นที่ติดมาจากร่างจิ้งจอกอันใหญ่โต
“หืม~ กลิ่นทั้งหวานทั้งหอมเลยนี่ นายไปกินอะไรมากันเนี่ย…จะว่าไปมีกลิ่นมนุษย์ผู้หญิงติดมานิดหน่อยด้วยแฮะ”
“เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านแบ่งขนมบางอย่างให้ฉันน่ะ มันเรียกว่าทาร์ตไข่ ถึงจะไม่หวานเท่าไหร่แต่ก็อร่อยมากเลย”
“จริงดิ!? ไม่ใช่ว่าคนในหมู่บ้านกลัวพวกเรางั้นหรือ? แต่จะอย่างไรนายก็ขี้โกงอยู่ดี ทำไมไม่รู้จักเก็บมาให้เพื่อนฝูงบ้างกันหะ ไอ้หมาขี้งก!”
“ก็ตอนนั้นฉันหิวนี่หว่า…”
ในขณะที่สองคนนั้นคุยกัน จีที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ก็แสดงท่าทีที่ไม่พอใจออกมา เขาไม่ชอบใจกับเรื่องนี้
“นายยังพยายามไปตีสนิทกับคนในหมู่บ้านอีกแล้วหรือ!?!”
เสียงตะคอกนั้นทำเอาพื้นดินโดยรอบสั่นไหว ใบไม้ต่างพัดปลิวลงมาและฝูงนกก็ต่างบินหนีไปจากพื้นที่ตรงนั้น
เซนที่เห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบแก้ตัวไปทันที
“ครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจนะหัวหน้า ผมแค่ไปนั่งพักในป่าแล้วอยู่ๆ ก็มีคนในหมู่บ้านมาเจอเท่านั้นเอง”
“แต่นายก็ขู่แล้วแย่งของกินมาไม่ใช่หรือไง”
จีเริ่มบีบน้ำเสียงเข้มขึ้น
“ไม่ใช่นะ! ผมขอเขาดีๆ จากนั้นเขาก็มานั่งคุยเล่นกับผมด้วย…หัวหน้าคิดว่าผมเป็นคนประเภทที่ จะพุ่งออกไปข่มขู่แล้วแย่งของกินคนอื่นงั้นหรือครับ?”
เซนพูดออกมาพลางทำหน้าน้อยใจ ก่อนจะรีบแปลงไปเป็นร่างมนุษย์ของเขา เส้นผมที่มีสีเงินเช่นเดียวกับของอยู่ในร่างจิ้งจอก ผมด้านหน้ายาวปรกตาสองสีเล็กน้อย
แม้จะเห็นว่าจียังไม่หายอารมณ์เสีย แต่เขาก็ยังคงพูดต่อ
“เด็กคนนั้นชวนให้เราไปที่ร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่ด้วย มะรืนนี้”
“เรา?”
อีวานทวนคำพูดพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
“อือ ฉันบอกไปแล้วด้วยนะว่าเราเป็นทหารรับจ้างปีศาจ เธอก็เลยบอกว่าชวนพวกเราทุกคนในหน่วยเลย”
“จริงดิ!? ต้องไปแล้วสิแบบนี้ ใช่ไหมหัวหน้า? ไปได้ใช่ไหม?”
อีวานตื่นเต้นจนเผลอหลุดรูปลักษณ์ปีศาจออกมานิดหน่อย หูตั้งขนปุยกับหางที่ขดไปมานั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปีศาจแมวอย่างเขา
ท่าทางของจีกับอีวานต่างกันโดยสิ้นเชิง จียังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เซนพูด อยู่มาเกือบร้อยปี ภาพที่เขานึกออกเกี่ยวกับมนุษย์ก็มีเพียงสีหน้าที่ขอร้องชีวิตและต่างหวาดกลัวเผ่าปีศาจอย่างเขากันทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีมนุษย์คนไหนมานั่งพูดคุยเล่นหรือชวนไปร้านอาหารตามที่เซนเล่า อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อได้อยู่ดี
“ไม่เอาน่าหัวหน้า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะ ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะขี้ขลาดไปเสียทุกคนสักหน่อย”
เซนเริ่มใช้ทักษะหว่านล้อมที่ถนัด และส่งสัญญาณหาแนวร่วม
“จะว่าไป เมื่อวันก่อนหัวหน้าก็บอกว่าเบื่อพวกอาหารป่าซ้ำๆ จำเจนี่เต็มทนแล้วไม่ใช่หรือ?”
อีวานย่องเข้าไปด้านหลังพลางกระซิบที่ข้างหูจี
ระหว่างที่พวกเขาช่วยกันโน้มน้าวจีอยู่ สมาชิกคนสุดท้ายของหน่วยก็กลับมาจากการกำจัดมอนสเตอร์เข้าพอดี ด้วยฝีเท้าอันเบาหวิว ไม่มีแม้แต่เสียงสักแอะ
นั่นทำให้เขาเดินย่องเข้าไปด้านหลังของอีวานได้โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“ขวางทาง พี่อีวาน”
“บ้าเอ๊ย! ตกใจหมดสไตน์!!”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่สำหรับคนที่ความรู้สึกไวอย่างอีวานนั่นก็เกินพอที่จะทำให้เขาตกใจได้
อีวานสะดุ้งโหยงพร้อมกระโดดถอยห่างออกมา แล้วมองไปทางชายรูปร่างเล็ก ซึ่งกำลังถือถุงบางอย่างในสภาพที่มีของเหลวสีส้มท่วมตัวอยู่ ของเหลวพวกนั้นคือเลือดมอนสเตอร์นั่นเอง
“สไตน์ ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่หรือว่าพยายามอย่าให้เลือดมอนสเตอร์มาโดยเสื้อผ้าน่ะ มันซักยากนะรู้ไหม?”
“ถูกของเซน ข้าบอกแล้วให้เจ้าแก้ผ้าก่อนค่อยสู้ ทำแบบนั้นจะได้ไม่ต้องซักบ่อยๆ ด้วย”
“นั่นไม่เคยบอกเลยนะว่าที่หัวหน้าทำทุกทีมันถูกน่ะ!!”
เซนขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย แต่สไตน์ก็ไม่สนใจพวกเขาพลางยื่นถุงที่ถือมาให้กับจี
“นี่คือ?”
จีถามออกมาด้วยความสงสัย ในขณะที่เซนและอีวานที่มีประสาทสัมผัสกลิ่นที่เป็นเลิศ มองหน้ากันด้วยความสะอิดสะเอียน
สไตน์แหวกถุงให้จีดู แทนคำตอบ
ในถุงใบนั้นมันคือซาลาแมนเดอร์ป่าหลายสิบตัว แบบเดิมกับที่พวกเขาเคยจับมาอาทิตย์ก่อน เมื่อได้เห็นดังนั้นจีก็ถึงกับหน้าซีดเซียวไป
‘อีกแล้วเหรอ’
พวกเขาคิดแบบนั้น ทุกวันๆ ต้องมานั่งย่างเนื้อสัตว์ที่จับได้จากในป่า ซาลาแมนเดอร์-งู-หมูป่า-ปลาทะเล กินหมุนเวียนไปแบบนี้ตลอดทั้งปี
ความเบื่อหน่ายที่มีมากขึ้นจนรู้สึกไม่อยากอาหารนี้ ทำให้จีต้องจำยอมเชื่อเรื่องที่เซนเล่ามา
“มะรืนนี้…ไว้เราค่อยไปร้านอาหารที่เซนบอกก็แล้วกันนะ”
“”เห็นด้วย/เห็นด้วยครับ””
เซนและอีวานตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน สไตน์ที่พึ่งจะมาทีหลัง ทำให้เขาไม่เข้าใจว่าจีพูดถึงเรื่องอะไรพลางแสดงสีหน้างงงวย
จะอะไรก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ใช่รสชาติของเนื้อแห้งๆ ที่กินแบบทุกทีก็เกินพอแล้ว
ไม่นานก็ถึงวันมะรืน พวกเขาจำแลงกายเป็นมนุษย์พร้อมกับใส่เครื่องแบบที่พึ่งซักมา แต่งตัวสะอาดสะอ้านไร้ซึ่งกลิ่นแปลกๆ ที่ได้มาจากตอนทำงาน
เอาล่ะ พวกเขาพร้อมที่จะไปร้านอาหารนั้นแล้ว
“อืม~ นี่เราจะไปกันจริงๆ สินะ…”
จียังคงพูดออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
“ป่านนี้แล้วนะหัวหน้า! นี่เราเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้วนะ อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วเนี่ย”
“อึก…อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนเป็นกรดไหลย้อนขึ้นมาเลย”
“ทำใจให้สบายหัวหน้า~ เข้าใจเข้า-ออกนะ ช้าๆ~”
จีพยายามทำตามที่เซนบอก นี่ก็นานแล้วที่จีไม่ได้พูดคุยกับมนุษย์ตัวเป็นๆ ส่วนมากของเจรจาหรือรับภารกิจจะเป็นเซนหรืออีวานที่เข้าไปคุยแทนเขา
ช่วยไม่ได้ ในฐานะมังกรที่มีปม เขายังคงกลัวจะสร้างความลำบากให้กับมนุษย์ แม้จะมีใบหน้าที่ดุไปบ้างแต่เนื้อแท้แล้วจีเป็นคนใจดีและอ่อนไหวมิใช่น้อย
“ถ้าจะประหม่าขนาดนั้น หัวหน้าก็รออยู่ที่บ้านเสียสิ”
อีวานที่กำลังตื่นเต้น มองสอดส่องไปมาพร้อมกับขยิบส่งสายตาให้สาวๆ ที่เดินผ่านไปมา
“ขนาดคนที่ปกติแทบจะไม่เคยออกจากบ้านอย่างสไตน์ยังมา แล้วข้าจะมัวแต่อุดอู้อยู่ในบ้านได้อย่างไร”
จีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่ว หลังจากที่เดินไปคุยไป ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดลงตรงหน้าร้าน
เมื่ออีวานได้เห็นป้ายชื่อร้านเขาก็ถึงกับเบิกตากว้างพร้อมกับตรงเข้าไปเขย่าตัวของเซน
“นะ..นี่! ร้านที่นายพูดถึงเนี่ย…คือร้านโวยยะนี่อย่างนั้นหรือ!?”
“อ่ะ ฉันไม่ได้บอกไปแล้วหรือ”
“ไม่ได้บอกโว้ย!!”
อีวานรีบหันมาจัดเสื้อผ้า หน้าผมแล้วยืนตรงประดุจว่ากำลังจะไปดูตัว
สมาชิกที่เหลือเมื่อเห็นแบบนั้นก็เบ้ปากใส่
“อะฮึ่ม! พอดีได้ยินมาว่าเด็กเสิร์ฟของที่นี่เป็นคนที่สวย ขนาดที่ว่าไม่อาจพบเจอได้ในแถบนี้เชียวนะ ความสวยเปล่งประกายขนาดที่ว่าต่อให้เจอในเมืองหลวงก็ยังโดดเด่นเลย”
“แล้วแกไปรู้มาจากไหนหะเนี่ย”
เซนถามออกไปด้วยสีหน้าที่หน่าย
“แมวแถวนี้มาเล่าให้ฟัง”
อีวานตอบกลับไปอย่างสั้นๆ ดูเหมือนว่าการที่เขาเป็นปีศาจแมวจะทำให้คุยกับแมวรู้เรื่องด้วย
สไตน์ที่เดินตามมาโดยไม่พูดไม่จา อยู่ๆ ก็เปิดประตูเข้าร้านไปอย่างหน้าตาเฉย แต่เมื่อลูกค้าตาไวนั้นเห็นเครื่องแบบสีดำเข้มที่เป็นสีเฉพาะของทหารรับจ้างปีศาจ บรรยากาศที่ครึกครื้นเมื่อสักครู่ก็เงียบลงทันตา หลายคนต่างรีบวิ่งออกจากโต๊ะราวกับหนีตาย ดีที่ก่อนลุกออกไปยังมีความรับผิดชอบวางเงินเอาไว้ จ่ายค่าอาหารของตัวเอง
‘อ่า ว่าแล้วเชียว’
จีที่คิดแบบนั้น อยู่ๆ ก็คอตกแล้วเตรียมที่จะหันหลังกลับ แต่แล้วก็ถูกเสียงที่อ่อนหวานของใครบางคนรั้งเอาไว้
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
เด็กสาวดวงตาสีอัลมอนด์กลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไสวที่ถูกรวบแบบลวกๆ
เธอเดินตรงไปหาเหล่าทหารรับจ้างเสมือนว่าเป็นลูกค้ากลุ่มหนึ่ง
นั่นคือการพบกันครั้งแรกของเด็กสาวกับเดอะบีสท์…