ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 5: ไม่ใช่หมาแต่เป็นจิ้งจอก ไม่ใช่จิ้งจอกแต่เป็นปีศาจ
- Home
- ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง
- ตอนที่ 5: ไม่ใช่หมาแต่เป็นจิ้งจอก ไม่ใช่จิ้งจอกแต่เป็นปีศาจ
ฉันได้แต่มองถุงขนมอันว่างเปล่า
ทาร์ตไข่ที่ซื้อมาหายไปในไม่กี่คำ
ไม่คิดเลยว่าจะไม่เหลือให้ฉันเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ฉันไม่สามารถขุ่นเคืองต่อความน่ารักตรงหน้าได้
หมาตัวนั้นเลียอุ้งเท้าตัวเอง ทำความสะอาดคล้ายกับลูกแมว
“คุณหมามาจากที่ไหนหรือคะ? ตั้งแต่เกิดมา ฉันเพิ่งเคยเจอหมาที่ตัวใหญ่แบบนี้เป็นครั้งแรกเลย”
“มะ…หมา?”
อีกฝ่ายทวนคำพูดของฉันพร้อมขมวดคิ้ว
ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจแฮะ
“จิ้งจอกต่างหากล่ะ! แค่มองหางนี้ก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือ”
เขาพูดแล้วชูหางของตัวเองขึ้น
ว้าว! ดูนุ่มเหมือนปุยนุ่นที่ยัดในตุ๊กตาเลยค่ะ
เช่นนี้นี่เอง ไม่ใช่คุณหมาธรรมดา แต่เป็นคุณหมาจิ้งจอกสินะ
ถึงจะเป็นแบบนั้นคุณก็ตัวใหญ่กว่าปกติอยู่ดีนะ คุณจิ้งจอกลุกขึ้นแล้วทำท่าเหมือนกับจะเดินจากไป
“เอ๋~ จะไปแล้วหรือคะ!?!”
พอฉันพูดออกไปแบบนั้น คุณจิ้งจอกก็ชะงักพร้อมหันกลับมาด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“เธอไม่ได้อึดอัดใจที่อยู่กับฉันหรือ?”
“ทำไมฉันต้องอึดอัดใจด้วยล่ะคะ?”
แค่แอบเคืองที่ถูกแย่งของว่างเท่านั้นเอง แถมคุณจิ้งจอกเองก็น่ารักเสียขนาดนี้
ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เพราะงั้นฉันจะพยายามยื้อเขาเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้วกัน
“เพราะเธอ…กลัวฉันไง”
“แล้วทำไมฉันต้องกลัวคุณจิ้งจอกด้วยคะ?”
“มองก็รู้นี่ ไม่ว่าส่วนไหนฉันก็เป็นปีศาจนะ”
“ส่วนไหนหรือคะ?”
ฉันได้แต่เอียงคอสงสัย
สำหรับฉันไม่ว่าจะมองส่วนไหนก็เป็นหมาจิ้งจอกที่ตัวใหญ่กว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้นเอง
แทนที่จะกลัว ฉันกลับอยากเลี้ยงเขาด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงพาตัวกลับคฤหาสน์ไปด้วยแล้วนะเนี่ย
“หึๆ…ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ”
และแล้วคุณจิ้งจอกก็หัวเราะออกมาดังลั่น หางของเขาแกว่งไปมาอย่างชอบใจพร้อมกับใช้อุ้งเท้าฟูๆ นั่นทุบไปที่พื้นอยู่หลายที ฉันต้องห้ามตัวเองไม่ให้เผลอยื่นมือไปลูบหัวเขา
โธ่~ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กันเนี่ย
“…คุณจิ้งจอก?”
“โอ้! โทษทีเผลอหัวเราะออกมากไปหน่อย…ว่าแต่เธอชื่ออะไรหรือ?”
“ลูน่าค่ะ”
คุณจิ้งจอกหมุนตัวกลับ แล้วนั่งลงตรงหน้าฉัน
“เห็นสิ่งนี้ไหมลูน่า…”
เขาใช้อุ้งเท้าแหวกขนบริเวณแผงคอ ซึ่งทำให้เห็นปลอกคอสีดำเส้นหนึ่งที่คล้องไว้อยู่
ฉันไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนแต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทย์อ่อนๆ ที่แผ่ออกมาจากปลอกคอนั้น
“เจ้านี่เรียกว่าตราประทับ มันถูกใช้เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมปีศาจได้ไงล่ะ”
ตราประทับที่ใช้สำหรับควบคุมปีศาจ…เรื่องตลกอะไรกันเนี่ย ทำไมมนุษย์ถึงอยากจะควบคุมปีศาจด้วยล่ะ
แต่นี่ก็หมายความว่าจิ้งจอกตรงหน้าของฉัน ก็เป็นปีศาจหรือเนี่ย
“เคยได้ยินเรื่องทหารรับจ้างปีศาจที่เจ้าเมืองจ้างวานมาไหมล่ะ? นั่นก็คือพวกฉันเอง”
คนในหมู่บ้านไม่เลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากทหารของอาณาจักร แต่กลับขอความช่วยเหลือจากปีศาจงั้นหรือ แถมยังทำสัญญากันอีกต่างหาก ตอนนี้ทางกองทัพดูไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงนี้เชียว?
“ทีนี้ก็เข้าใจแล้วสินะว่าทำไมชายคนนั้นเห็นฉันถึงวิ่งหนีไป แต่ฉันก็พอจะรู้นะ ว่าเธออาจไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะตามชานเมืองน่ะจะมีหน่วยทหารรับจ้างเป็นของตัวเองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
เพราะแบบนั้นชายหัวมัน ถึงได้วิ่งหน้าตื่นออกไปนี่เอง เขาสังเกตเป็นตราประทับแล้วรู้ได้ทันทีว่าคุณจิ้งจอกเป็นปีศาจ
แต่เขาก็วิ่งหนีไปโดยทิ้งฉันไว้อยู่ดีนั่นล่ะ ผู้ชายแบบนี้นี่เห็นแก่หัวจริงๆ
“ฉันเพิ่งจะย้ายมาทำงานที่ร้านอาหารโวยยะตรงหมู่บ้านข้างหน้านี้เองค่ะ”
“เธอมีญาติอยู่ที่หมู่บ้านนั่นหรือ?”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่มาทำงานแล้วอยู่กับมาสเตอร์เจ้าของร้าน”
“แล้วครอบครัวไปไหนเสียล่ะ?”
มาสเตอร์เองก็ถามฉันในคำถามทำนองเดียวกัน แต่ฉันก็เลือกที่จะเฉไฉไปเรื่องอื่นจนเลี่ยงแล้วไม่ตอบอยู่หลายครั้ง
ฉันไม่อยากโกหกอะไรที่เป็นการดูหมิ่นครอบครัวของตัวเอง อย่างเช่นฉันเป็นเด็กกำพร้า หรือบอกไปว่าฉันไม่มีของแบบนั้น
ถ้าเกิดท่านปู่มารู้ทีหลัง มีหวังต้องเสียใจจนร้องไห้ออกมาแน่ ดังนั้นฉันเลยเลือกที่จะบอกความจริงครึ่งเดียวแทน…
“ฉันหนีออกจากบ้านค่ะ”
“หนีออกจากบ้าน!? เธอยังดูเด็กอยู่เลย นี่หนีออกจากบ้านมาจริงๆ ดิ?”
“มันแปลกขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
“แหงสิ ทำไมถึงหนีออกมากันล่ะ”
ถึงฉันจะถูกใจเขาแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันก็ไม่เล่าเรื่องของตัวเองออกไปง่ายๆ หรอกนะ
“ขอโทษนะคะคุณจิ้งจอก แต่ฉันเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับคน…เอ่อ หมาจิ้งจอกที่เพิ่งเจอกันไม่ได้หรอกค่ะ”
ฉันพูดพลางยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อแสดงท่าทางปฏิเสธ อีกอย่างตอนนี้ฉันยังไม่อยากพูดหรือนึกถึงเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ด้วย
“โฮ่~ งั้นถ้าสนิทกันกว่านี้แล้วจะยอมบอกหรือ?”
“สนิทก็ใช่ว่าจะบอกค่ะ”
คุณจิ้งจอกเกาคอตัวเอง แล้วกระดิกหูใบใหญ่ด้วยท่าทางที่น่าเอ็นดู
ถึงคุณจะน่ารักแค่ไหนฉันก็ไม่ใจอ่อนให้หรอกนะคะ
“จะว่าไป!…ทำไมคุณถึงได้มานั่งหิวโซกลางป่าแบบนี้หรือคะ?”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เขาจะถามอะไรไปมากกว่านี้ คุณจิ้งจอกเองก็เหมือนกับจะยอมถอดใจไปแต่โดยดี
เขาตอบกลับคำถามของฉันด้วยน้ำเสียงที่ท้อแท้
“เพราะฉันเบื่ออาหารที่หัวหน้าทำแล้วไงล่ะ”
“…งั้นทำไมไม่ไปทานอาหารในร้านคะ?”
“เธอก็เห็นนี่ แค่ชาวบ้านเห็นฉันก็พากันวิ่งหนีป่าราบแล้ว”
จริงด้วยสิ อีกอย่างเขาก็ตัวใหญ่เกินกว่าจะเดินผ่านประตูไปได้ คงลำบากน่าดูเลยนะ
แต่จำได้ว่าปีศาจสามารถแปลงกายด้วยไม่ใช่หรือ ทำไมไม่แปลงกายแล้วเข้าร้านไปเสียล่ะ แต่ฉันไม่ควรถามออกไปแบบนั้น ไม่งั้นเขาจะสงสัยได้
“แล้วปกติคุณทานอะไรกันหรือคะ?”
“พวกเราจะไปล่าสัตว์ในป่าแล้วเอามาย่างกินกันน่ะ แต่ก็มันไม่อร่อยแถมยังน่าเบื่ออีก”
“ย่าง? ต้องปรุงให้สุกก่อนกินด้วยหรือคะ?”
“ลูน่า กินของดิบมันทำให้ปวดท้องนะ เรื่องแค่นี้เธอไม่รู้หรือไง”
ก็ฉันไม่คิดว่าคุณทานอาหารเหมือนคนทั่วไปนี่คะ แล้วทำไมถึงได้มาดุใส่ฉันล่ะ…
แต่ความรู้ใหม่เลยนะ ที่ว่าปีศาจเองก็กินอาหารปกติเหมือนกัน
สถาบันเคยบอกไว้ว่าพวกเผ่าปีศาจนั้นมาจากทวีปที่ห่างไกล พวกเขาทั้งป่าเถื่อนและน่ากลัวเหมือนอสุรกาย มีข้อมูลมากมายที่ไม่สามารถระบุหรือยืนยันได้ นอกจากนี้ยังไม่มีการสนับสนุนให้เผ่าปีศาจเป็นทหารอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากพวกเขานั้นไม่ชอบทำตามคำสั่ง ยากต่อการฝึกและยากต่อการควบคุม
ฉันเองก็เสียดายเพราะพวกเขาเป็นเผ่าที่มีความสามารถและทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก อันที่จริงภายในกองทัพเองก็มีเผ่าปีศาจแฝงตัวอยู่เหมือนกัน แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ก่อเรื่องหรือสร้างความวุ่นวาย ดังนั้นฉันจึงไม่ได้รายงานให้เบื้องบนทราบ แต่หากถูกจับได้จะได้รับโทษสูงสุดอย่างการประหารทันที…
“ถึงพวกเราจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่ตราประทับก็ยังไม่หายไปอยู่ดี สุดท้ายชาวบ้านก็จับได้แล้วก็วิ่งหนีไปอย่างทุกทีนั่นล่ะ แบบนี้ไม่ว่าร้านไหนก็ไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเราหรอก”
“ไม่จริงนะคะ! มาสเตอร์ของฉันไม่คิดเช่นนั้นหรอกค่ะ!”
ฉันพูดออกไปพร้อมขมวดคิ้ว มือของฉันกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้น
ท่าทางนั้นทำให้คุณจิ้งจอกต้องผงะ
“ฉันพูดจริงนะคะ! ร้านโวยยะไม่มีทางเลือกปฏิบัติกับลูกค้าหรอกค่ะ เราจะต้อนรับพวกคุณอย่างแน่นอน…แต่ตอนนี้ร้านเราวัตถุดิบหมดอยู่เลยต้องปิดร้าน ถ้าจะมาคงต้องรอวันมะรืนนะคะ”
ฉันค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่ว หลังจากนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ร้านเราวัตถุหมดเกลี้ยงแล้ว
อุตส่าห์พูดออกไปอย่างมั่นใจขนาดนั้น น่าอายจริงๆ
ถึงแม้ฉันจะพยายามพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้คุณจิ้งจอกมากแค่ไหน เขาก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลย
คุณจิ้งจอกนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะอาสาไปส่งฉันที่หมู่บ้าน เมื่อไปถึงคุณจิ้งจอกก็เดินหายเข้าไปในป่าโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ขอบคุณเลยสักคำ
“ฉันหวังว่าคุณจะมานะคะ”
ที่ตลอดทางเขาเงียบไปเพราะกำลังตัดสินใจอยู่หรือเปล่านะ ฉันได้คิดและสงสัยจนกระทั่งตัวเองกลับไปถึงร้าน
พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับมาสเตอร์ที่กอดอกนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
อ่ะ…ซวยล่ะ ดันกลับมาตอนหัวค่ำเสียได้ นั่งคุยกับคุณจิ้งจอกจนลืมเวลาไปเลย
ฉันถูกมาสเตอร์ดุเนื่องจากว่าหายไปนานจนทำให้เธอเป็นห่วงเอามากๆ
โธ่~ เพราะคุณจิ้งจอกแท้ๆ เลย!!
เมื่อถึงวันมะรืน พวกวัตถุดิบต่างๆ และเครื่องดื่มก็ถูกส่งมาที่ร้านแต่เช้า
เหมือนมาสเตอร์จะไม่ต้องการให้ร้านเราต้องปิดเพราะวัตถุดิบไม่พออีก ครั้งนี้จึงได้สั่งของมากกว่าปกติถึงสิบเท่า
ทันทีที่เปิดร้าน พวกลูกค้าต่างพากันเข้ามาอุดหนุนกันอย่างหนาแน่นเช่นเคย ได้พักหายใจไม่กี่วัน ตอนนี้ความวุ่นวายได้กลับมาสู่ร้านโวยยะอีกครั้งแล้วค่ะ
ระหว่างที่กำลังเสิร์ฟอาหารและคุยเล่นกับพวกลูกค้าอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างแรงก็เกิดเสียงดัง
อย่าเปิดแรงเช่นนั้นสิคะ ถ้าเกิดพังขึ้นมาจะทำอย่างไร ฉันซ่อมประตูไม่เป็นด้วยนะ
“ลูน่าจัง! ปลอดภัยดีหรือเนี่ย!?!”
…ชายหัวมันนี่เอง เขายังมีหน้ากลับมาหาฉันที่ร้านอีกหรือเนี่ย
ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาใกล้ แต่ฉันก็ถอยหนีพร้อมขมวดคิ้วใส่
ขอบคุณสำหรับท่าทีที่แสดงถึงความเป็นห่วง แต่ฉันว่าคุณมาช้าไป
ถ้าเกิดว่าฉันถูกพวกมอนสเตอร์ทำร้ายตั้งแต่วันนั้น ไม่มีทางที่ตัวฉันจะสามารถมายืนเสิร์ฟอาหารได้เช่นวันนี้หรอก มิหนำซ้ำคุณยังเป็นคนขี้ขลาดที่วิ่งทิ้งฉันไว้กลางป่าโดยที่ไม่มีความคิดที่จะกลับมาช่วยอีกด้วย
ในฐานะลูกผู้ชาย เขายังเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีก
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณลูกค้า ตอนนี้ภายในร้านไม่มีที่นั่งเหลือเลย รบกวนสั่งอาหารกลับบ้านแทนได้ไหมคะ…”
“ทำไมเธอถึงเมินความเป็นห่วงของฉันแบบนั้นล่ะลูน่าจัง? คงจะโกรธสินะ? คงจะกลัวมากเลยใช่ไหม?”
“ไม่เลยค่ะ แต่จะดีกว่าถ้าคุณช่วยลดเสียงของตัวเองลงหน่อย เพราะมันจะเป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นนะคะ”
“ละ..ลูน่าจังงง”
แม้ฉันจะยิ้มตอบแต่มันกลับทำให้ชายคนนั้นรู้สึกเหมือนกับศักดิ์ศรีได้แตกสลาย
เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องคอตกแล้วเดินออกจากร้านไป
ในที่สุดก็เงียบลงเสียที…
“เอาเถอะ พอพวกเรารู้ข่าวว่าลูน่าจังเจอปีศาจในป่า ทุกคนก็ต่างพากันเป็นห่วงเหมือนหมอนั่นล่ะ ดีจริงๆ ที่ลูน่าจังปลอดภัยนะ”
ลูกค้าคนหนึ่งพูดขึ้น หลังจากที่ชายหัวมันเดินออกไปจากร้านแล้ว
“นั่นสิ ถึงพวกนั้นจะถูกท่านเจ้าเมืองประทับตราไว้แล้ว แต่พวกนั้นก็ยังป่าเถื่อนนี่นา”
“ใช่ๆ ฉันเห็นด้วยว่าเราควรจะห่างพวกนั้นไว้เป็นการดีที่สุด”
“ร้านฉันเขียนป้ายไว้หน้าร้านเลยว่าไม่ต้อนรับพวกทหารรับจ้าง”
พวกเขาที่ช่างหยาบคายจริงๆ คุณจิ้งจอกออกจะน่ารักแถมเป็นมิตรแท้ๆ คนที่คอยช่วยพวกคุณในการกำจัดมอนสเตอร์และปกป้องหมู่บ้านให้ปลอดภัย
ทำไมถึงไม่รู้สึกขอบคุณพวกเขาบ้างกันนะ
“โชคดีที่ปีศาจพวกนั้นยังเห็นความงดงามของลูน่าอย่างไรล่ะ ถึงได้ปล่อยเธอไป”
“ใช่แล้ว เพราะลูน่าจังเหมือนนางฟ้า ปีศาจพวกนั้นจึงไม่กล้าเข้าใกล้อย่างไรล่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะปกป้องลูน่าจังเอง พวกปีศาจอะไรนั่นก็ไม่เห็นน่ากลัวเท่าไหร่นี่”
ฉันว่าทางที่ดีพวกคุณช่วยอยู่เฉยๆ เถอะค่ะ แล้วที่จริงฉันรอดมาได้เพราะทาร์ตไข่ต่างหาก
พวกลูกค้ายังคงเล่าให้ฉันฟังต่ออีกว่าตามชานเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้รับการปกป้องจากทหารของอาณาจักรอย่างทั่วถึง ส่วนมากจะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อออกไปทำสงครามกันหมด เลยไม่มีใครที่พอจะต่อกรกับมอนสเตอร์ที่เข้ามาบุกโจมตีได้
จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทหารของอาณาจักรมาจัดการกับเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนั้นฉันเองก็รู้อยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะแก้ปัญหากันเองโดยการจ้างทหารรับจ้างจากทวีปอันห่างไกลเช่นนี้ พวกเจ้าเมืองของอาณาจักรนี่ดูจะใจกล้ามากกว่าที่ฉันคิดเสียอีก
“พวกนั้นเป็นสัตว์ร้ายแถมยังเป็นปีศาจอีก ถึงจะช่วยให้หมู่บ้านเราปลอดภัยแค่ไหน พวกนั้นก็ยังน่ากลัวเกินไปอยู่ดี”
สัตว์ร้ายหรือ…ฉันนึกภาพคุณจิ้งจอกที่วันก่อนแย่งทาร์ตไข่ของฉันไปแล้วกินมันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็หลุดขำออกมาเล็กๆ
ในขณะที่ฉันยังคงเฝ้ารอการมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ พวกลูกค้ากลับคิดในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“อย่างไรก็เถอะลูน่าเองก็ไปแขวนป้ายหน้าร้านว่าไม่รับเผ่าปีศาจเถอะ พวกปีศาจนั่นจะได้ไม่เข้ามาไง”
“ขอปฏิเสธค่ะ”
ฉันตอบปฏิเสธกลับไปด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้ลูกค้าบางส่วนเริ่มมีสีหน้าที่หนักใจ
ตอนแรกก็แอบกลัวเรื่องที่ต้องเสียงลูกค้าประจำไปเหมือนกัน
แต่มาสเตอร์บอกแล้วว่าไม่เป็นไร อย่างไรร้านเราก็ไม่ได้ต้องการรายได้มากมายขนาดนั้น เดิมทียอดขายตอนนี้ก็มากกว่ารายได้ที่จำเป็นไปเยอะมากแล้วด้วย
“แต่ลูน่า เจ้าพวกนั้นน่ะ…”
ก่อนที่ลูกค้าคนนั้นจะพูดจบ ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ในครั้งนี้บรรยากาศภายในร้านได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ยินดีต้อนรับค่ะ”