ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 4: คุณหมาตัวใหญ่
ฉันคิดมาตลอดว่างานในร้านอาหารจะเป็นงานที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดางานบริการทั้งหมด
แต่ดูเหมือนฉันจะคิดผิดถนัดเลย…
ตอนที่เห็นพนักงานตามร้านอาหาร ทำหน้าตาเบิกบานอยู่เสมอ
ฉันเลยเข้าใจไปว่าพวกเขาต้องมีความสุขในการทำงานมากแน่ๆ แต่พอมาทำเองเข้าจริงๆ ฉันก็ได้รู้ว่ามันมีแต่เรื่องที่ยุ่งยากและน่ารำคาญเต็มไปหมด
แถมไม่ว่าจะรู้สึกไม่พอใจหรือเจอสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดแค่ไหน ใบหน้าก็ต้องมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
นี่ยิ้มจนเหงือกแห้งไปหมดแล้วเนี่ย เมื่อไหร่จะถึงเวลาปิดร้านเสียทีนะ
“ลูน่าจ๋า~ เบียร์หมดแล้วจ้า”
นี่แก้วที่หกของนะคะ คุณไม่คิดจะสั่งอาหารอะไรสักอย่างเลยหรือ แถมนั่นยังเป็นเครื่องดื่มที่ราคาถูกที่สุดของร้านเราอีกด้วย
ถ้าไม่คิดจะสั่งอาหาร ก็ช่วยลุกออกไปให้ลูกค้าท่านอื่นมานั่งแทนเถอะค่ะ ที่นี่ร้านอาหารนะไม่ใช่บาร์
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ~”
ถึงกระนั้นฉันก็ทำได้แต่ฉีกยิ้มแล้วเดินไปเติมเบียร์ให้เขาอยู่ดี
ไม่นึกเลยว่างานเด็กเสิร์ฟมันจะเหนื่อยขนาดนี้ มาสเตอร์บอกว่าที่มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสายขนาดนี้เพราะว่าพวกเขาอยากเห็นรอยยิ้มที่สดใสของฉัน
ซึ่งแน่นอน ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เด็ดขาด!
ร้านอาหารนี้ชื่อว่าโจยยะ (Gioia) แปลว่าความสุขในภาษาบ้านเกิดของมาสเตอร์ ถ้าลูกค้ามาเพราะต้องการความสุข
ร้านเราก็ต้องมอบให้เขาไปด้วยอาหารและรอยยิ้ม นั่นคือสิ่งที่เธอบอกกับฉัน
หากพูดถึงรอยยิ้มไม่มีทางที่ฉันจะสู้มาสเตอร์ได้หรอก รอยยิ้มแห้งๆ แบบนี้จะไปสู้รอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงได้อย่างไร ที่พวกลูกค้าต่างพากันสนใจและเข้าร้านมาคงเพราะหวังอย่างอื่นมากกว่า
ถึงจะดูเหมือนหลงตัวเองแต่ฉันก็มีความมั่นใจในความน่ารักในระดับหนึ่ง
ลูกค้าที่มาส่วนใหญ่เองก็เป็นผู้ชายด้วย แถมยัง…
“ลูน่าจ๋า~”
“ค่ะคุณลูกค้า เติมเบียร์เพิ่มหรือคะ?”
“เปล่าจ่ะ แค่อยากได้รอยยิ้มจากลูน่าเท่านั้นเอง”
เคยกินเบียร์ร้อนไหมคะ บางทีแหวนของท่านปู่อาจจะมีประโยชน์ในเวลาแบบนี้ก็เป็นได้นะ
“โอ๊ย!”
อยู่ๆ ลูกค้าคนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“พอดีความสวยของลูน่าตัน มันเตะตาลุงเข้าน่ะสิ ตาบอดขึ้นมาจะทำอย่างไรเนี่ย”
“อะ…เอ่อ…”
ความผิดฉันหรือ?
สมัยอยู่กองทัพไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติกับฉันแบบนี้เลยสักคน เป็นเพราะพวกเขารู้ถึงสถานะครอบครัวและยศตำแหน่งของฉันดี ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่อยากเจอปัญหาใหญ่ ก็ควรที่จะทำตัวสำรวมเข้าไว้
แต่สำหรับหมู่บ้านที่ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนแบบนี้ บางทีการแซวเล่นแบบนี้อาจเป็นเรื่องปกติที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ
ไว้ฉันค่อยหาทางรับมือกับเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน แถมด้านนอกยังมีคนมาด้อมๆ มองๆ ตรงหน้าต่างร้านอย่างไม่ขาดสายอีก
น่าหน่ายใจจริงๆ…ไม่มีอะไรจะทำกันแล้วหรือไง แต่ฉันมีเรื่องอื่นให้ต้องให้ความสนใจมากกว่าคนพวกนั้น เพราะฉันต้องรับออเดอร์ เสิร์ฟอาหารและยังต้องรีบเก็บโต๊ะทันที เพื่อให้ลูกค้าคนอื่นเข้ามา
ส่วนมาสเตอร์เองก็เตรียมอาหารในครัวจนหัวหมุนไม่ต่างกัน
ไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลยจริงๆ
“ลูน่า มานี่หน่อยสิ”
“ค่ะมาสเตอร์”
ฉันเดินเข้าไปในครัว เมื่อเข้าไปก็พบมาสเตอร์ที่หน้างอ เหมือนกับเสียดายอะไรบางอย่าง
“ขอโทษนะ แต่ช่วยไปบอกลูกค้าที ว่าตอนนี้ร้านของเราปิดแล้วล่ะ ฝากขอโทษพวกเขาด้วยนะ”
“เอ๋ ทำไมหรือคะ?”
“ก็เพราะร้านเราดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแบบนี้นี่ล่ะ วัตถุดิบที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เลยไม่พอ ตอนนี้ทั้งวัตถุดิบและเครื่องดื่มก็เลยหมดเกลี้ยงแล้วน่ะสิ”
“ไม่จริงน่า…”
เพราะแบบนั้น ฉันเลยรีบออกไปขอโทษลูกค้าคนอื่นๆ พร้อมอธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟัง
นั่นทำให้ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาต้องเดินกลับออกไปด้วยความผิดหวัง ส่วนลูกค้าคนอื่นๆ ในร้าน พอทานอาหารเสร็จก็ค่อยๆ ทยอยกลับไป
ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะต้องปิดร้านเพราะวัตถุดิบไม่พอ
ฉันออกไปแขวนป้าย ‘CLOSE’ แล้วกลับเข้าไปในร้าน
ตอนนั้นเองมาสเตอร์ก็ได้เดินออกมาจากครัวพร้อมยื่นกระดาษและถุงใส่เงินให้แก่ฉัน
“รบกวนลูน่าช่วยไปสั่งวัตถุดิบกับเครื่องดื่มจากหมู่บ้านข้างๆ ตามนี้ทีนะ พวกเขาน่าจะเอาของมาส่งให้เราทันวันมะรืนนี้พอดี”
หมู่บ้านข้างๆ นั้นห่างจากที่นี่ไม่กี่กิโล เพราะที่นี่เป็นชานเมืองที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่มากนัก จึงไม่มีรถม้าคอยรับส่งตลอดเวลาเหมือนเมืองหลวง
ทุกคนต่างต้องเดินทางด้วยสัตว์ขี่หรือเดินเท้าเสียส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ เลย
ทุกทีมาสเตอร์จะเป็นคนเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่เธอก็อายุมากแล้ว การที่ต้องเดินเท้าเป็นเวลานานๆ ร่างกายอาจจะรับภาระเหล่านั้นไม่ไหว
ดีแล้วล่ะ ที่เธอฝากให้ฉันจัดการเรื่องนี้
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปรีบกลับนะคะ”
“รอเดี๋ยว..”
พอฉันกำลังจะเดินออกไปจากร้าน มาสเตอร์ก็ดึงรั้งแขนฉันเอาไว้
“คิดจะเดินทางไปทั้งๆ ที่สวมเสื้อผ้าบางๆ เช่นนั้นหรือ ฉันจะไปหยิบเสื้อคลุมมาให้นะ แล้วก็เอาพกนี่ไว้ป้องกันตัวเผื่อระหว่างทางเจอพวกมอนสเตอร์เข้าด้วย”
มาสเตอร์เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้ฉันพร้อมยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งมา
ที่จริงชานเมืองนี้หนาวน้อยกว่าตอนที่ไปรบบนยอดเขาหิมะตั้งเยอะ ถ้าฉันบอกออกไปแบบนั้นมาสเตอร์จะสบายใจขึ้นไหมนะ
แต่ถึงบอกไปเธอก็คงไม่เชื่อฉันอยู่ดี เงียบไว้แบบนี้ดีกว่า
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
ปกติถ้าเดินเท้าไป คงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า
แต่สำหรับคนที่เคยได้รับการฝึกมาก่อนอย่างฉันนั้น สามารถที่จะวิ่งลัดผ่านป่าไปได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที
ที่หมู่บ้านข้างๆ นี้มีทาร์ตไข่ที่เป็นของขึ้นชื่อขายอยู่ ถ้าหากทำธุระให้มาสเตอร์เสร็จไว ฉันก็จะได้แวะซื้อกลับไปด้วยเสียเลย
ฉันไม่ได้เห็นแก่กินนะ แต่ทาร์ตไข่ของหมู่บ้านนี้อร่อยมากจริงๆ ไม่มีทางที่ฉันจะห้ามตัวเองจากกลิ่นหอมหวานแบบนี้ได้ เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าฉันนั้นโปรดปรานขนมหวานมากถึงเพียงนี้
จากนั้นฉันก็วิ่งฝ่าป่ามาด้วยเวลาอันสั้น หมู่บ้านแถบนี้จะมีป่าล้อมรอบอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงแอบออกมาจากพุ่มไม้ ได้โดยที่ไม่ผิดสังเกต
“นั่นลูน่าจังไม่ใช่หรือ? เมื่อกี้เรายังเจอกันที่ร้านอยู่เลยนี่นา”
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักฉันระหว่างที่กำลังต่อแถวซื้อทาร์ตไข่อยู่
ฉันพอจะจำได้รางๆ ว่าเขาเป็นลูกค้าร้านเรา เช่นนั้นฉันจึงยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ”
“มาทำอะไรที่นี่หรือ อย่าบอกนะว่ามาหาฉัน”
“ไม่-ใช่-ค่ะ…ฉันแค่มาทำธุระแทนมาสเตอร์นิดหน่อย บังเอิญว่ากำลังจะกลับพอดี ขอตัวนะคะ”
ต้องขอโทษด้วยที่ทำตัวเสียมารยาท แต่ฉันสัมผัสได้ว่าคุณต้องสร้างความรำคาญให้ฉันอย่างแน่นอน
ฉันรีบเดินหนีเขาไปอย่างไวแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ฉันไปง่ายๆ
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นให้ฉันไปส่งเถอะนะ”
“คะ?”
“จะปล่อยลูน่าจังที่แสนบอบบางเดินกลับไปคนเดียว ผู้ชายแบบฉันเห็นแบบนั้นแล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร”
เอ่อ…ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น
แต่เพื่อไม่เป็นการปฏิเสธความหวังดีจนเกินไป ฉันจะยอมเดินฆ่าเวลาสักหน่อยแล้วกัน
อย่างไรฉันก็วิ่งกลับไปต่อหน้าเขาไม่ได้ด้วย
“งั้นส่งฉันแค่ครึ่งทางก็พอค่ะ”
ว่าแล้วชายคนนั้นก็เดินนำไปอย่างองอาจ
ฉันเพียงแต่มองแล้วยิ้มเจื่อนๆ พร้อมแล้วเดินตามไปโดยที่กอดถุงทาร์ตไข่เอาไว้แน่น
ระหว่างทางนั้นเอง ฉันก็นึกหน้าของชายคนนี้ออก เขาคือคนที่เอาแต่สั่งเบียร์ราคาถูกที่สุดแล้วไม่ยอมออกจากร้านไปสักทีคนนั้นนี่นา
นี่ฉันดันมาอยู่กับคนน่ารำคาญแบบนี้เข้าเสียได้ ทำไมถึงพึ่งมานึกออกเอาป่านนี้เนี่ย
“จะว่าไปลูน่าจัง ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วหรือ?”
“สิบแปด…ค่ะ”
“แหมๆ~ วัยกำลังดีเลยนี่นา เธอน่ะหน้าก็สวยหุ่นก็ดี ตอนนี้คงกำลังมองหาผู้ชายดีๆ มาแต่งงานด้วยอย่างนั้นสินะ”
พระเจ้า ใครก็ได้พาฉันออกไปจากตรงนี้ที ไม่ก็ส่งผู้ชายคนนี้ไปจากฉันทีเถอะ
“รู้ไหมว่าที่บ้านฉันน่ะนะ มีไร่หัวมันที่กว้างที่สุดในหมู่บ้านเลย แถมยัง…บลาๆๆๆ”
หลังจากนั้น ฉันก็ต้องทนฟังประวัติความเป็นมาของไร่หัวมัน และการพูดยกยอตัวเองของผู้ชายคนนี้โดยที่ไม่เว้นช่วงเลยแม้แต่นิดเดียว
ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ารำคาญที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย ขนาดผ่านไปสิบนาทีแล้วเขาก็ยังพูดต่อไม่หยุดหย่อน ความสามารถพิเศษหรือไงเนี่ย
แต่ในที่สุดเราก็เดินมาถึงครึ่งทางเสียที
อดทนได้ดีมากเลยลูน่า! จากนี้ก็จะได้สบายหูเสียที
“แหม~ นี่ก็ถึงครึ่งทางแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
“หืม? ใครบอกว่าฉันจะส่งลูน่าจังแค่ครึ่งทางกันหรือ?”
“อ้าว แต่เราตกลงกันแค่ครึ่งทางไม่ใช่หรือคะ”
“ฮะๆ ใช่ที่ไหนกัน ฉันตั้งใจจะไปส่งลูน่าจังถึงร้านเลยต่างหาก จะว่าไปฉันยังไม่เล่าสินะว่าที่บ้านฉันมีวัวด้วยน่ะ…”
ไม่เอา! พอแล้ว!!
ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องไร่หัวมันหรือวัวพวกนั้นจากคุณสักหน่อย แถมไม่ได้สนใจด้วย
สิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือการที่คุณเดินกลับไปทางเดิม ส่วนฉันก็จะได้กลับร้านไปทานทาร์ตไข่นี้อย่างสบายใจเสียที
…หรือว่าฉันจะสับคอให้เขาสลบแล้วชิ่งไปเลยดี?
“ว๊าก!!”
อยู่ๆ ชายหัวมันคนนั้นก็กรีดร้องออกมา ฉันตกใจแล้วมองไปที่เขา ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ตัวของเขาสั่งหงิกๆ ไม่นานชายหัวมันก็วิ่งกลับหมู่บ้านไปด้วยใบหน้าที่ถอดสี
ส่วนฉันก็ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง
เมื่อหันไปมองด้านหน้า ฉันก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
จมูกแหลมยาว หูใหญ่ชี้ตั้ง ขนสีเงินนั้นช่างคล้ายคลึงกับสีผมเดิมของฉัน ดวงตาสองสีที่ดูน่าหลงใหล ข้างหนึ่งเป็นสีเทา ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำทะเล
…คุณหมาล่ะ คุณหมาขนปุยสีขาวตัวใหญ่
ช่างเป็นหมาที่ตัวใหญ่กว่าปกติจริงๆ หางยาวที่ดูนุ่มฟูนั่น อยากลองจับดูจัง
“นี่ เธอน่ะ”
“คะ…คะ?!”
พูดได้ด้วย!! คุณหมาพูดได้ด้วย!!
ฉันมองหางที่แกว่งไปมาด้วยความตื่นเต้น
น่ารักจัง ทำไมหมาตัวนี้ถึงมาอยู่ในป่าตัวเดียวล่ะ ตอนที่วิ่งผ่านป่านี้ไปก็ไม่เห็นสัตว์ตัวไหนเลยแท้ๆ
อย่าบอกนะว่าหมาตัวนี้หลงจากฝูงน่ะ
“มีของกินติดมือมาบ้างไหม?”
“คะ?”
โครกกกก~
พอพูดจบเสียงท้องร้องก็ดังออกมาจากตัวคุณหมาตัวนั้น
น่าสงสารแฮะนอกจากจะหลงทางแล้วยังหิวโซแบบนี้อีก
ฉันก้มลงมองถุงขนมที่กอดเอาไว้สลับกับหมาตัวนั้นอย่างลังเล
เฮ่อ~ ไว้ค่อยซื้อใหม่คราวหน้าแล้วกัน…
“ทานทาร์ตไข่ได้ไหมคะ?”