ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 3: ปู่และหลานสาว
ครึ่งปีหลังจากการหายตัวไปของฉัน
เมื่อทางกองทัพรับรู้ถึงการหายไปของฉัน ก็มีคำสั่งให้ออกตามหาตัวในทันที แม้เรื่องนั้นจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่กว่าจะแอบหนีออกมาจากเมืองหลวงได้ ก็ทำเอาฉันเหนื่อยเลยล่ะ แถมยังไม่สามารถใช้พลังเวทย์หายตัวไปมาได้ยิ่งลำบากกว่าเดิมอีก
สารภาพเลยว่าทั้งชีวิตไม่เคยเดินเยอะเท่านี้มาก่อน พอมารู้ทีหลังว่าคนที่ออกคำสั่งให้ออกตามหาตัวฉันคือท่านปู่ นั่นยิ่งทำฉันถึงกับโมโหหนักกว่าเดิมอีก ฉันไม่สามารถใช้บัตรผ่านออกจากเมืองด้วยชื่อของลูอันน่าได้ จะให้บินข้ามป้อมปราการออกไปแบบทุกทีก็ทำไม่ได้ ดังนั้นตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาฉันเลยทำได้แค่เร่ร่อนอยู่ภายในอาณาจักรนิเวียนี่ล่ะ
เฮ่อ~ ทำไมฉันถึงไม่ออกจากอาณาจักรก่อนที่จะผนึกพลังตัวเองกันเนี่ย โง่เสียจริงเลยตัวฉัน
ขนาดผ่านไปครึ่งปีแล้ว แต่พวกทหารในเมืองหลวงก็ยังวิ่งว่อนตามหาตัวฉันไม่หยุดหย่อน แบบนี้ก็เข้าไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียวเลยสิ ทำไมไม่ลดละความพยายามกันอีกนะ ไม่เจอก็รีบยอมแพ้ไปเถอะ
หลังจากที่เห็นว่าทหารในอาณาจักรยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ฉันจึงจำเป็นต้องกลับมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งฉันได้แอบส่งข้อความหาท่านปู่โดยใช้รหัสลับที่เราคิดขึ้นสมัยก่อน หากท่านไม่ได้รับมัน ฉันคงต้องหาทางติดต่อแบบอื่นแทน…
ณ อุโมงค์เหมืองแร่ร้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ฉันตัดสินใจใช้มันเป็นจุดนัดพบ เพราะที่แห่งนี้น้อยคนจะรู้จักและมีข่าวลือเรื่องผีสางจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันก็ยังนั่งกอดเข่ารออยู่ในมุมมืดโดยหวังให้ท่านได้รับข้อความโดยเร็ว
ไม่นานเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็เข้ามาใกล้ ฉันดึงผ้าคลุมแล้วหันไปมองอย่างระแวดระวัง
ทันทีที่ได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น ฉันก็รีบวิ่งเข้าไปกอดแน่น
“ให้ตายสิ หลานรู้ไหมว่าที่ผ่านมาปู่เป็นห่วงขนาดไหนกัน…”
น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดออกมาพลางถอนหายใจ
ดีจริงๆ ที่ท่านปู่ยังไม่ลืมรหัสลับพวกนั้น ท่านกอดฉันตอบด้วยความคิดถึง ครึ่งปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานเหลือเกิน
ฉันถอยออกพร้อมกับย่อตัวลง เพื่อถอนสายบัวทักทายท่านอย่างเคย
รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะกลัวว่าต้องนั่งรอจนข้ามคืนเสียแล้ว
“สายัณต์สวัสดิ์ค่ะท่านปู่…โอ๊ย!”
แล้วฉันก็ถูกกำปั้นยักษ์นั้นเขกลงมากลางกระหม่อมอย่างไม่ปรานี
มันเจ็บนะคะท่านปู่ แต่ฉันก็สมควรโดนอยู่เหมือนกัน…แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดีนะเนี่ย~
“ยัยเด็กคนนี้ไปอยู่ที่ไหนมาหะ? ปู่ตามหาหลานแทบจะพลิกอาณาจักร แถมยังใช้พลังเวทย์เพื่อจับสัมผัสหาหลานไม่เจอเลยสักนิด ปู่คิดว่าหลานหนีออกไปนอกอาณาจักรแล้วเสียอีกนะ…”
ระหว่างที่ท่านปู่กำลังพูดอยู่ ฉันก็ถอดผ้าคลุมออก
เมื่อท่านปู่ได้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของฉัน ท่านก็ชักสีหน้าออกมาอย่างชัดเจน ฉันทำได้แต่หลบสายตาแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ลูอันน่า!!”
ท่านปู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด ถึงไม่ได้หันไปมองแต่ฉันก็พอเดาออก ว่าตอนนี้คงมีลมออกมาจากหูท่านแล้วแน่ๆ
นอกจากเปลี่ยนรูปลักษณ์อันน่าภูมิใจของตระกูลแล้ว ยังแอบใช้เวทย์ต้องห้ามที่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของอาณาจักรอีก การที่เห็นหลานตัวเองทำเรื่องพวกนี้คงจะทำให้ท่านรู้สึกโมโหไม่น้อยจริงๆ
จะว่าไปท่านก็เป็นถึงจอมพลของกองทัพนี่นา ฉันจะโดนจับเข้าคุกใต้ดินไหมเนี่ย!?
“เฮ่อ~”
เพียงแค่ได้ยินเสียงลมหายใจของท่าน ฉันก็สะดุ้งออกมาในทันที
ท่านปู่เวลาที่โกรธจะต่างจากท่านพ่อโดยสิ้นเชิง ท่านพ่อมักจะเอาแต่ตวาดแล้วก็ขว้างปาข้าวของอย่างไม่พอใจ ส่วนท่านปู่จะเอาแต่เงียบ แล้วค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ ซึ่งฉันว่าแบบนั้นมันน่ากลัวกว่าเสียอีก
“เอาล่ะ ลูอันน่า…”
“ค่ะ!”
“ปู่พอจะรู้แล้วว่าทำไมถึงจับสัมผัสพลังเวทย์ของเราไม่ได้ แต่ก็ยังนึกเหตุผลที่คนแบบหลานจะทำเรื่องร้ายแรงแบบนี้ไม่ออกเลยจริงๆ…ไหนอธิบายตัวเองสิ”
“เรื่องนั้น…”
ฉันควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดีนะ ถ้าเกิดเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ท่านปู่จะเข้าใจฉันไหมนะ
การที่ถูกหักหลังจากลูเซียน มันยังเป็นปมที่คอยกัดกินใจของฉันอยู่
ฉันควรพูดความจริงออกไป หรือแต่งเรื่องที่น่าจะพอรับได้ขึ้นมาแทนดี…
เมื่อเห็นว่าฉันลังเล ท่านปู่จึงเอื้อมมือมาหยิกแก้มทั้งสองของฉัน ก่อนที่จะจ้องเข้ามาในดวงตาสีน้ำตาลกลมโตนี้
“อย่ากังวลไปเลยหลานรัก ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร ปู่ก็จะรับฟังมันไว้เอง ถึงแม้จะช้าไปสักหน่อย…แต่ดวงตาสีนี้ มันทำให้หลานดูเหมือนไดอาน่ามากจริงๆ มันสวยมาก”
ไดอาน่า…นั่นคือชื่อของท่านแม่ที่เสียไปแล้วของฉันเอง
ท่านเสียชีวิตไประหว่างที่ทำสงครามเช่นเดียวกับท่านย่า
ตั้งแต่ที่ท่านแม่เสียไป ท่านพ่อก็ไม่เคยเอ่ยถึงเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เจราห์เองก็ตีตัวออกหากจากฉันตั้งแต่ตอนนั้น เรามีความทรงจำร่วมกันในวัยเด็กที่ไม่ดีเท่าไหร่ เจราห์พึ่งจะหลับมาคุยกับฉันหลังจากที่ฉันได้เป็นหัวหน้าหน่วย Alpha-03 เพียงไม่กี่เดือน
“หากหนูเล่าทุกอย่างให้ฟัง สัญญาได้ไหมคะว่าจะไม่พาหนูกลับไปที่เมืองหลวง?”
“ได้สิ ปู่สัญญา”
ฉันค่อยๆ กุมมือของท่านปู่ด้วยมือทั้งสอง สัมผัสที่หยาบกร้านและความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือนั้น ทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นฉันก็เริ่มเล่าทุกๆ อย่างให้ท่านฟัง ตั้งแต่เรื่องความรู้สึกน้อยใจที่ฉันมีต่อท่านพ่อ เหตุผลที่ฉันเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะรีบจบสงครามครั้งนั้น และเหตุผลที่ฉันอยากหนีออกมาจากกองทัพ จนถึงขั้นต้องใช้เวทย์ต้องห้ามแบบนี้
ท่านปู่ฟังฉันเล่าด้วยสีหน้าที่ปวดใจ
การที่ฉันต้องมาระบายความรู้สึกที่อัดอั้นต่อหน้าคนที่ลำบากที่สุดในอาณาจักรแบบนี้ มันช่างดูน่าละอายเสียจริง
“หนูรู้ว่าการกระทำนี้มันร้ายแรง แถมยังเอาแต่ใจ แต่หนูไม่อยากกลับไปอีกต่อไปแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือแม้แต่คฤหาสน์”
คนที่ฉันมองว่าเป็นครอบครัว มีเพียงท่านปู่แค่คนเดียวเท่านั้น เพราะท่านพ่อใจร้ายกับฉันมาก ดังนั้นฉันก็จะใจร้ายกับท่านด้วยเหมือนกัน
ส่วนเจราห์เองก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของฉันเลยสักครั้ง ปล่อยให้ไปมีความสุขกับประสาพ่อลูกนั่นล่ะดีแล้ว
“ขอโทษนะที่ปู่ไม่ทันได้สังเกตมาก่อน ว่าหลานเหนื่อยมากขนาดไหน”
“ทำไมท่านปู่ต้องขอโทษด้วยคะ ในเมื่อคนที่ผิดน่ะ มันหนูต่างหาก”
ท่านส่ายหน้า แล้วลูบหัวของฉันเบาๆ
“เอาเป็นว่าปู่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่หลานใช้เวทย์ต้องห้ามให้แล้วกัน แต่จากนี้หลานตั้งใจจะทำอะไรต่อล่ะ?”
อันที่จริงฉันก็อยากออกจากอาณาจักรนิเวียนี้ไปเหมือนกัน แต่ตัวตนของฉันในสายตาของอาณาจักรอื่นยังคงอันตรายเกินไป ทางที่ดีคงต้องซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรตัวเองต่ออีกสักพักนี่ล่ะ ถึงจะปลอดภัยที่สุด
“ความจริงหนูตัดสินใจที่จะทำงาน แล้วอยู่เป็นหลักแหล่งสักทีแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าทหารในอาณาจักรยังไม่เลิกตามหาตัวหนูสักที ดังนั้นก็เลยจะมาหารือเรื่องนี้กับท่านปู่เนี่ยล่ะค่ะ”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ หลานเล่นหายไปเฉยๆ แบบนั้น จะไม่ให้ปู่เป็นห่วงได้อย่างไร”
…นั่นสินะคะ
“แล้วงานที่ว่านี่เป็นงานแบบไหนงั้นหรือ? ลอบสังหาร? ค้าอาวุธเถื่อน? หรือว่าสายลับ?”
ทำไมแต่ละอย่างมันถึงมีแต่งานที่ผิดกฎหมายอาณาจักรทั้งนั้นเลยล่ะคะ นี่ท่านคิดไปว่าฉันตั้งใจจะเป็นอาชญากรเต็มตัวเลยหรือไง…
“ไม่ใช่ทั้งหมดนั่นล่ะค่ะ ก็แค่ทำงานในร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้นเอง”
“แล้วที่นั่นอยู่ไกลจากที่นี่มากไหม? ปู่ขอไปเยี่ยมหลานบ้างได้หรือไม่? แค่บางครั้งบางคราวก็ยังดีนะ~”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าเรายังแอบเจอกันแบบนี้อีก มีหวังโดนท่านพี่จับได้แน่ๆ แล้วถ้าท่านพี่จับได้…”
“…อเล็กซ์ก็จะจับได้เหมือนกัน”
เราส่งต่อประโยคกันได้อย่างลื่นไหล
ท่านปู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งแบบสุดๆ อเล็กซ์ที่ว่านั่นก็คือท่านพ่อของฉันเอง
ที่ปรึกษาคนสนิทขององค์จักรพรรดิ ดยุกผู้ที่มีอิทธิพลเทียบเท่าคนในราชวงศ์ อเล็กซ์ เรเวนสครอฟต์
“แล้วหลานต้องการจะให้ปู่ช่วยแค่เรื่องยกเลิกคำสั่งตามหาตัวเท่านั้นหรือ? อยากให้ปู่ช่วยอะไรอีกหรือเปล่า?”
แน่นอนค่ะ แถมยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลยด้วย
“ท่านปู่แค่แสร้งถามออกมาใช่ไหมล่ะคะ ที่จริงก็น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ”
ท่านปู่ถึงกับเหงื่อตก แล้วแสดงสีหน้าที่ลำบากใจออกมาอย่างไม่หลบซ่อน
แสดงว่าท่านปู่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้นของฉันแล้ว แต่กลับทำเป็นเมินเฉยแล้วไม่อนุมัติคำสั่งใดๆ สินะ
สีหน้าซื่อเก่งจริงเชียว อย่างไรก็ไม่คิดที่จะปล่อยฉันไปจากกองทัพง่ายๆ สินะเนี่ย
“รบกวนช่วยอนุมัติจดหมายลาออกที่หนูส่งไปด้วยเถอะนะคะ~”
ฉันพูดออกไปพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง นี่เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดตั้งแต่ที่ฉันฝึกมา ขนาดซ้อมคนเดียวต่อหน้ากระจก ยังรู้สึกเหมือนกับเด็กดอกไม้บานสะพรั่งออกมาจากด้านหลัง เจอรอยยิ้มนี้เข้าไปต่อให้เป็นท่านปู่ก็ต้องใจอ่อน
“ไม่~ ได้~”
ท่านปู่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่หวานไม่แพ้กัน
โธ่เอ๊ย! ไม่ได้ผลหรือเนี่ย!!
ฉันหนีออกจากกองทัพโดยไม่ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงมีโทษเท่ากับว่าหนีทหาร ซึ่งไม่ต่างอะไรจากนักโทษที่กำลังหลบหนีความคิดอยู่
ที่จริงฉันพูดผิดไปอย่างหนึ่ง พวกทหารในอาณาจักรไม่ได้ตามหาตัวฉันเพราะฉันหายไปจากกองทัพหรอก แต่พวกเขาตามหาตัวฉัน เพื่อที่จะลากฉันกลับไปในฐานะนักโทษต่างหาก แต่ว่า!!
ถ้าหากฉันพ้นสภาพจากการเป็นทหารแล้ว ความผิดพวกนั้นก็จะถือว่าเป็นโมฆะในทันที เท่านี้ก็จะได้เป็นอิสระจริงแล้ว
“ลูอันน่า…หลานคิดว่าทหาร เขาลาออกกันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าท่านปู่ไม่อนุมัติจดหมาย อย่างน้อยก็ปลดหนูออกจากตำแหน่งเถอะค่ะ”
“แบบนั้นก็ไม่ต่างจากพ้นสภาพทหารหรอก อีกอย่างถ้าทำแบบนั้นมันเหมือนกับว่าหลานถูกไล่ออกจากกองทัพ คนอื่นเขาจะมองว่าหลานปู่เป็นกบฏแทนนะรู้ไหม”
“แค่โทษหนีทหารนี้ก็ใกล้เคียงกบฏมากพอแล้วค่ะท่านปู่”
การบีบให้ท่านต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับครอบครัวเองก็ทำให้ฉันรู้สึกบีบหัวใจไม่แพ้กัน ฉันรู้ดีว่าการที่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องที่ฉันใช้เวทย์ต้องห้ามแบบนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่ถึงกระนั้นความต้องการสูงสุดของฉันก็คือการเป็นอิสระจากกองทัพอยู่ดี
หากไม่เป็นอิสระจากกองทัพโดยเร็ว แล้วสักวันกองทัพหาตัวฉันเจอเข้า เมื่อนั้นโทษของฉันคงหนีไม่พ้นโทษประหารเป็นแน่
จากวีรสตรีสงคราม ต้องกลายเป็นนักโทษประหารแสนน่าเศร้า
ฉันไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาเห็นฉันในสภาพแบบนั้นเลย
“ไม่ใช่ว่าปู่ไม่เข้าใจ แต่หลานเป็นถึงวีรสตรีที่หยุดยั้งสงคราม การที่จะปลดหลานออกจากตำแหน่งไม่ใช่เรื่องที่ปู่ทำได้ตามอำเภอใจ อย่างน้อยเรื่องนี้หลานก็ช่วยเข้าใจหน่อยเถอะนะ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ…
ฉันถอนหายใจพลางเบ้ปาก แต่พอท่านปู่เห็นแบบนั้น ท่านกลับยิ้มแล้วดีดมาที่หน้าผากของฉันเบาๆ
“เอาแบบนี้ดีกว่า ปู่จะมอบหมายภารกิจให้กับหลานแทน”
พอได้ยินท่านปู่พูดแบบนั้น ฉันก็จ้องกลับด้วยสีหน้าที่งุนงง
“ภารกิจ?”
“ใช่แล้ว หากชื่อของหลานอยู่ในภารกิจ นั่นก็เท่ากับว่าหลานกำลังทำงานอยู่ ถึงจะหายหน้าหายตาไปจากกองทัพก็ไม่มีใครสงสัย คิดเสียว่าแค่ไปทำงานนอกสถานที่เท่านั้นไงล่ะ”
“ช้าก่อนค่ะ ท่านปู่จะให้หนูไปทำภารกิจ ทั้งๆ ที่หนูใช้พลังเวทย์ไม่ได้เนี่ยนะคะ?”
“อย่าห่วงเลย มันเป็นภารกิจที่ถ้ารับไปก็ไม่มีใครกล้าบ่น แถมเป็นภารกิจที่ไม่มีใครกล้ารับด้วย ดังนั้นหลานวางใจได้”
ไม่ค่ะ ไม่วางใจเลยสักนิด ตอนนี้รู้สึกกังวลมากกว่าเก่าอีกค่ะ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะให้ทำอย่างไรกับภารกิจที่ถูกลอยแพแบบนั้นกันล่ะคะ?”
“มันเป็นภารกิจของจอมพลคนก่อน ที่ใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตก็ทำไม่สำเร็จ ดังนั้นหากหลานรับภารกิจนี้ไปแล้วใช้เวลาทั้งชีวิต ต่อให้ไม่สามารถทำภารกิจได้อย่างลุล่วงก็ไม่มีใครว่าหลานได้”
แปลว่าต่อให้รับมาแล้วไม่ทำก็ไม่มีใครว่างั้นสินะ
ภารกิจที่แม้แต่จอมพลคนก่อน ใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตก็ยังทำไม่สำเร็จ…
“ภารกิจนั้นคืออะไรหรือคะ?”
ท่านปู่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย พลางยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก
“ภารกิจเก็บกู้ดินแดนที่สูญหาย ลอสแลนด์ (Lost Land) ชื่อย่อว่า LII”
“LII…”
ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันจะได้ยินชื่อนั้นออกมาจากปากท่านปู่ที่เป็นจอมพลของอาณาจักร
เรื่องราวของลอสแลนด์ ฉันเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพียงนิทานสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ในอาณาจักร เพื่อที่พวกเขาจะได้ออกเดินทางและค้นหาดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรนิเวียแห่งนี้
ตามความเชื่ออันเก่าแก่ อาณาจักรนิเวียบอกว่าตนเป็นอาณาจักรแห่งการเริ่มต้น และเป็นอาณาจักรแรกเพียงหนึ่งเดียวของโลกใบนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทางอาณาจักรได้ทำสงครามแย่งชิงดินแดนเรื่อยมา โดยอ้างว่าเป็นการกระทำโดยชอบธรรมอันมีมาแต่โบราณ ไม่นึกเลยว่าเรื่องลอสแลนด์นั่นจะจริงจังจนถึงขั้นกลายเป็นชื่อภารกิจสำคัญแบบนี้
“แต่ภารกิจนี้ แท้จริงแล้วมันควรเป็นของท่านปู่ไม่ใช่หรือคะ จะให้ทหารยศไม่เท่าไหร่อย่างหนูเป็นคนรับมามันออกจะเกินไปหรือเปล่า?”
“หึ หลานคือคนที่เหมาะสมที่สุดเลยต่างหากล่ะ”
คำพูดของท่านปู่ทำให้ฉันแสดงสีหน้างุนงงออกมา
เมื่อเห็นสีหน้าของฉัน ท่านปู่ก็หลุดขำพลางลูบหัวของฉันอย่างเอ็นดู แต่ท่านก็ไม่บอกอยู่ดี ว่าทำไมฉันถึงได้เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
ฉันมองว่ามันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนี้แล้ว เอาไว้ผ่านไปอีกสักพักฉันจะโน้มน้าวให้ท่านอนุมัติจดหมายลาออกของฉันอีกที ตอนนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับข้อเสนอนี้เท่านั้น
เมื่อตกลงกันได้แล้ว เราสองคนก็มานั่งแล้วถามสารทุกข์สุกดิบของแต่ละคน ว่าที่ผ่านมาไปเจออะไรกันมาบ้าง
ฉันไม่ได้เล่าเรื่องการเดินทางตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาสักเท่าไหร่ ถ้าเกิดต้องเล่าจริงๆ เกรงว่าจนกินเวลานานหลายวันแน่ แต่ฉันเลือกที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ให้ท่านฟัง
ฉันบอกไปว่าระหว่างที่เดินทางอยู่ ได้ไปเจอหญิงชราที่กำลังจะถูกมอนสเตอร์ป่าทำร้าย เลยเข้าให้การช่วยเหลือ
เพื่อเป็นการตอบแทน หญิงชราคนนั้นเลยอาสาที่จะจ้างงานและให้ที่พักกับคนเร่ร่อนอย่างฉัน
สถานที่นั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก แต่ฉันก็ไม่บอกไปว่าอยู่ที่ไหน ฉันเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดี
เลยตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปสักพัก จนกว่าทางอาณาจักรจะเลิกตามหาตัวฉัน
“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนหลานจะเจอสถานที่ดีๆ แล้วงั้นสินะ”
ท่านปู่ที่เป็นคนดื้อดึง อย่างไรท่านก็อยากหาโอกาสไปเยี่ยมหรือแอบดูฉันทำงานให้ได้ ดังนั้นก็เลยแกล้งหลอกถามที่อยู่ฉันหลายต่อหลายครั้ง
แต่ก็น่าเสียดายที่ต่อให้หลอกล่อกันเพียงใด แต่ฉันก็ไม่ยอมหลงกลท่านอยู่ดี
ขอโทษนะคะท่านปู่…
“เรื่องที่หลานใช้พลังเวทย์ไม่ได้ มีแค่ปู่คนเดียวที่รู้ใช่ไหม?”
“อ่ะ ใช่ค่ะ”
“ห้ามใครรู้เรื่องนี้อีกเป็นอันขาดนะ โดยเฉพาะศัตรูของหลาน”
ท่านปู่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ฉันควรบอกเรื่องสำคัญอีกอย่างกับท่านดีไหมนะ แค่เรื่องที่ใช้เวทย์ต้องห้ามนั่น ท่านปู่ยังโกรธออกมาเป็นฟืนเป็นไฟ
ถ้าท่านปู่รู้เรื่องนั้นเข้าอีก มีหวังงานนี้ฉันถูกพาตัวกลับเมืองหลวงจริงๆ แน่…เอาเป็นว่าไว้คราวหน้าแล้วกัน
“ค่ะ หนูจะระวังค่ะท่านปู่”
ไม่นานท่านปู่ทำหน้าครุ่นคิด พลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่คือ?”
“ปู่ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้มากนัก ทั้งเนื้อทั้งตัวตอนนี้มีเพียงอุปกรณ์เวทย์เล็กๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น ถึงไม่ได้สวยหรือหรูหราอะไรแต่รับไว้เถอะนะ”
แม้ที่ดิอาร์ค ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้พลังเวทย์ได้ แต่หากเป็นอุปกรณ์เวทย์แล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พลังเวทย์ได้เหมือนกัน
อุปกรณ์เวทย์นั้นต่างจากการร่ายเวทย์ตามปกติตรงการพึ่งกระแสการไหลของมานา อุปกรณ์เวทย์เป็นอะไรที่สะดวกกว่ามาก มันไม่ได้พึ่งการไหลของกระแสมานาก็จริงอยู่ แต่การใช้งานก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ไหนจะเรื่องพลังเวทย์ที่ใช้ได้อย่างจำกัดอีก
ซึ่งการที่จะสร้างอุปกรณ์เวทย์ขึ้นมาได้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากเช่นกัน คนที่จะสร้างอุปกรณ์เวทย์ออกมาได้ต้องเป็นจอมเวทย์ที่มีพลังสูงพอและยังต้องเป็นจอมเวทย์คลาส Sorcerrer หรือ Wizard ขั้นสูงอีกต่างหาก
ถ้าไม่มีความสามารถพอที่จะไปถึงระดับนั้นการสร้างอุปกรณ์เวทย์จะไม่เกิดการเสถียรและไม่สามารถคงรูปร่างถาวรไว้ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอุปกรณ์เวทย์จึงมีราคาที่สูงพอๆ กับคฤหาสน์หลังโตราวๆ สามหลังได้
ท่านปู่จะไม่เก็บไว้ช่วยท่านพ่อเผื่อตระกูลของเราล้มละลายบ้างเลยหรือคะ มอบของมีค่าให้กับคนอย่างหนูแบบนี้ ดูเสียของไงไม่รู้
ท่านวางสิ่งนั้นลงบนมือของฉัน มันเป็นแหวนที่เกลี้ยงเกลาทั้งวง ดูเรียบง่ายไม่ได้หวือหวาอะไร
“อุปกรณ์เวทย์นี้ท่านปู่เป็นคนสร้างขึ้นเองหรือคะ”
ฉันหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาพร้อมกับสำรวจไปรอบๆ
“ใช่แล้ว ปู่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะเป็นอุปกรณ์เวทย์ชิ้นแรกที่ทำเอง แต่มันทำได้แค่ควบคุมอุณหภูมิเลยไม่มีประโยชน์ในการสู้รบเท่าไหร่”
“ที่ว่าควบคุมอุณหภูมิ อย่างบอกนะคะว่ารวมไปถึงบรรยากาศรอบตัวด้วยน่ะ?”
“อื้ม แถมหลานยังสามารถระเหยหรือควบแน่นหยดน้ำในอากาศได้ตามใจชอบด้วยนะ หากหลานใช้มันจนชำนาญแล้วน่ะ”
ดีเลยค่ะ หนูอยากหาอะไรมาให้อุ่นชา ตอนอ่านหนังสืออยู่พอดี
“อย่างไรหลานก็มีพื้นฐานเวทมนตร์ที่เป็นเลิศอยู่แล้ว ดังนั้นปู่จะไม่สอนอะไรมากแล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะท่านปู่”
“อ้อ! ลืมบอกเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง…”
“คะ?”
“หากหลานใช้จนพลังเวทย์หมด แหวนก็จะสลายไป จากนั้นปู่ก็จะรู้ตำแหน่งของหลานได้ในทันทีเลยไงล่ะ”
“…คืนค่ะ”
ฉันรีบวางแหวนลงที่ฝ่ามือของท่านปู่ดังเดิม แต่ท่านปู่ก็รีบคืนมันให้ฉันกลับในทันทีเช่นกัน
“แหม~ ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่หลานไม่ใช้จนหมดก็พอแล้วนี่นา”
“หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังเวทย์นี้เหลืออยู่เท่าไหร่ แบบนี้มันจะสลายตอนไหนก็ไม่มีทางรู้เลยสิคะเนี่ย!”
“ตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือไงล่ะ?”
“ไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดค่ะ!!”
ฉันพยายามที่จะคืนแหวนไป แต่ท่านปู่ก็รบเร้าอยู่นาน จนในที่สุดท่านก็บังคับให้ฉันพกมันเอาไว้ได้สำเร็จ
อย่างน้อยท่านก็ยอมเติมพลังเวทย์เข้าไปในแหวนให้ใหม่แล้ว จากพลังเวทย์ของท่านปู่ ฉันคาดว่าแหวนเล็กๆ วงนี้คงจะใช้ได้ไม่น่าเกินสองปีหรอก
หลังจากผ่านไปปีหนึ่ง ฉันจะแอบเอามันไปใส่คืนในลิ้นชักของโต๊ะทำงานเขาเสียเลย
“ปู่ก็อยากอยู่คุยต่อนานกว่านี้นะ แต่ว่าปู่คงปลีกตัวออกมาจากห้องทำงานได้เพียงเท่านี้ล่ะ”
“หนูเข้าใจค่ะ ขอบคุณมากที่สละเวลาอันมีค่ามาหาหนู”
“สำหรับปู่ ครอบครัวคือสิ่งที่มีค่าที่สุดเสมอ ลูอันน่า จากนี้รักษาสุขภาพด้วย อากาศหนาวก็อย่าลืมห่มผ้าหลายๆ ชั้นนะ”
“ค่ะ ท่านปู่เองก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
ถึงเวลาที่เราต้องแยกกันแล้ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของท่านปู่ มันทำให้ฉันใจหายอย่างบอกไม่ถูก
ท่านดูซูบผอมและแก่ลงกว่าตอนที่เราจะออกไปทำสงครามกันเสียอีก นี่ฉันทิ้งชายชราคนนี้ให้ต่อสู้ต่อเพียงลำพังงั้นหรือ…
แต่จากอายุที่มากแล้วของท่านปู่ อีกเพียงไม่กี่ปีก็จะใกล้ถึงเวลาที่ต้องปลดเกษียณแล้ว หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นนะ…
ฉันไม่อยากเห็นท่านต้องออกไปต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนมาอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากต้องให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บอีก
แต่ฉันก็ไม่อยากที่จะกลับไปอยู่ในกองทัพอีกอยู่ดี แต่ถึงแบบนั้น…
“ท่านปู่คะ!”
“…?”
“ถึงหนูจะไม่กลับไปที่กองทัพแล้ว แต่ถ้าหากท่านปู่ลำบากหนูจะกลับไปช่วยท่านปู่ทันที…จะไปทันทีเลยค่ะ!”
ฉันพูดออกมาพลางน้ำตาคลอ
“เพราะงั้นถ้าเกิดท่านปู่ลำบาก ต้องเรียกหนูทันทีเลยนะคะ สัญญานะคะ!”
ท่านปู่หันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว ฉันยกมือขึ้นมาวันทยหัตถ์ แล้วท่านก็ทำตอบฉันพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
จากนั้นฉันก็เดินจากมา หลังจากที่ท่านปู่วาร์ปกลับไปแล้ว
กว่าจะถึงชานเมืองฉันต้องเดินทางอีกหลายต่อเลย ถ้าวาร์ปกลับไปเหมือนท่านปู่ได้ก็ดีสิเนี่ย
สิ่งแรกที่ฉันทำคือแอบกระโดดขึ้นรถม้าแล้วซ่อนตัวอยู่ในกองฟาง พอนั่งมาได้พักหนึ่ง ฉันก็ต้องแอบออกมาแล้วขอโดยสารไปกับพวกพ่อค้าที่กำลังจะเดินทางออกจากอาณาจักร
เมื่อใกล้ถึงชานเมือง ฉันก็ขอลงแล้วใช้ทางลัดเดินผ่านป่าไป
เดินทางมาตลอดสัปดาห์ ในที่สุดก็กลับมาถึงสักที…
“มาสเตอร์คะ ฉันกลับมาแล้วค่ะ”
ฉันเปิดประตูเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ลูน่า! เธอกลับมาจริงๆ ด้วย!?”
มาสเตอร์เดินตรงเข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ เธอสวมชุดกระโปรงยาวถึงข้อเท้ากับผ้ากันเปื้อนที่สะอาดสะอ้าน
เธอก็คือหญิงชราที่ฉันช่วยไว้จากพวกมอนสเตอร์นั่นเอง
“ทำไมพูดเหมือนว่าฉันจะไม่กลับมาแบบนั้นคะ น่าน้อยใจนะเนี่ย”
“โธ่~ ใครจะคิดว่าเด็กน่ารักแบบเธอจะยอมมาทำงานให้กับหญิงแก่ๆ แบบฉันจริงๆ ล่ะ การที่เธอยอมมาช่วยงานร้านเล็กๆ แบบนี้ ฉันมีความสุขมากเลยรู้ไหม”
“มาสเตอร์ล่ะก็~”
พอวันรุ่งขึ้นฉันก็เริ่มทำงานในฐานะเด็กเสิร์ฟของร้านทันที
มาสเตอร์ได้คอยสอนหลายๆ อย่างให้กับฉัน ไม่นานฉันก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับงานได้
ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่ที่ชั้นสองของร้าน ไม่นานวันเวลาก็ผ่านไปได้หนึ่งเดือน และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นสาวเสิร์ฟคนดังประจำแถบนี้ไปเสียแล้ว