ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 22: บทสนทนาเล็กๆ
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่…”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ตกตะลึงไม่น้อย
หลังจากพูดจบ ร่างที่ไร้วิญญาณตรงหน้าก็ค่อยๆ แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
องค์รัชทายาทยืนมองภาพนั้นโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจอะไร แต่ฉันกลับขมวดคิ้วแล้วชักสีหน้าในทันที
การที่ร่างของชายคนนี้สลายหายไปเช่นนี้ ก็หมายความว่า…
“พวกอีกรีฟ (Eglaf) งั้นหรือ…”
ฉันพูดออกมาเสียงเบาพร้อมกับชำเลืองมองไปที่ด้านหลัง องค์รัชทายาทที่กำลังยืนถือแก้มนมอยู่ พยักหน้ารับกลับมาทันที
อีกรีฟ หรือก็คือชื่อเรียกของกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่ขึ้นชื่อว่าเลวร้ายและน่ารังเกียจที่สุดในโลก
พวกมันไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการกระทำชั่วๆ ของพวกมัน ลอบสังหาร วางยาพิษ สร้างความแตกแยก ก่อการปฏิวัติ ล้างผลาญเผ่าพันธุ์ และอื่นๆ อีกมากมาย อะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าไร้มนุษยธรรม เจ้าพวกนั้นมันทำทุกอย่าง นั่นล่ะ!
ที่เลวร้ายกว่าพวกที่ทำไปเพราะต้องการเงิน…ก็คือการที่ทำเรื่องบ้าๆ นั่นเพียงเพราะความสนุกไงล่ะ
เจ้าพวกนั้นมันทำไปเพื่อความบันเทิงใจเท่านั้น หนักที่สุดเลยก็คือพวกมันหลายคนไม่เกรงกลัวต่อความตายและเห็นชีวิตอื่นเป็นเหมือนของเล่น
ดังนั้นใครก็ตามที่เข้าร่วมกับอีกรีฟ ก็จะถูกติดตั้งวงแหวนเวทย์ต้องสาปเอาไว้ภายในร่าง มันคือหลักประกันเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหลและปกปิดตัวตนของสมาชิกคนอื่นๆ
เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งได้สิ้นลมไป วงแหวนในร่างก็จะทำงานทันที…
เพื่อไม่ให้ถูกจับและนำตัวไปสอบสวนหรือนำศพไปชันสูตรเพื่อหาแหล่งที่มาได้ เจ้าพวกนั้นถึงกับยอมให้ร่างของตัวเองถูกกัดกินและแหลกสลายหายไปในอากาศ โดยไม่เหลือแม้แต่กระดูก…เช่นเดียวกับชายคนนี้ไงล่ะ
ไม่นึกมาก่อนเลย ว่าครั้งนี้พวกมันจะหมายหัวองค์รัชทายาทของอาณาจักรเรา ช่างเป็นพวกที่ ต่อให้กำจัดไปมากเท่าไหร่ ก็ยังมีมาไม่รู้จักจบสิ้นเสียที
น่าหงุดหงิดชะมัดเลย ดันต้องมายุ่งเกี่ยวกับโจทก์เก่าที่น่ารำคาญแบบนี้เนี่ย
“ช่วยเล่าสถานการณ์ตอนนี้มาทีค่ะ”
นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ถ้าเกิดพวกอีกรีฟ รู้เรื่องที่อยู่ขององค์รัชทายาท นั่นก็แปลว่าพวกมันก็อาจจะมาเจอฉันด้วยเหมือนกัน
เป็นเรื่องตลกร้ายมากถ้าต้องมานั่งนึกว่าระหว่างหัวขององค์รัชทายาทกับหัวของฉัน เจ้าพวกนั้นจะเลือกฝั่งไหนมากกว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของมาสเตอร์และคนในหมู่บ้านแถบนี้มากกว่าอีก ในตอนนี้ฉันไม่ได้มีพลังมากพอที่จะปกป้องทุกคนได้อย่างแต่ก่อนแล้ว การที่จัดการนักฆ่าคนนั้นได้ ก็เพราะโชคช่วยเท่านั้นล่ะ
เมื่อเห็นฉันแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมา องค์รัชทายาทก็พยายามหลบสายตา
“เข้าใจแล้ว นาวาเอกเป็นคนออกปากถามเอง มีหรือเราจะไม่บอก เพียงแต่อย่ามองเราอย่างขุ่นเคืองเช่นนั้นได้ไหม? เจ็บนะเนี่ย”
“ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะคะ”
ฉันตอบกลับไปเสียงแข็ง
“นี่ทำแบบนี้กับอดีตคู่หมั้นได้ไงเนี่ย…”
“องค์รัชทายาท!”
ฉันกดเสียงให้เข้มขึ้นอีก ถ้ายังมาทำเป็นเล่นอีก ฉันจะลงไม้ลงมือแล้วนะ
“โธ่~ รู้แล้วน่า~”
เขาเดินไปวางแก้วนมลงบนโต๊ะแล้วยกเก้าอี้ขึ้นมาดังเดิม
จากนั้นสีหน้าขององค์รัชทายาทก็เปลี่ยนไป มือที่ผสานลงบนตักอย่างสงบเสงี่ยมนั้น ทำให้บรรยากาศภายในห้องเริ่มตึงเครียด
“ต่อให้เป็นเธอที่ไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัว ก็พอจะได้ยินข่าวลือ เรื่องที่เราชอบแอบออกจากวังอยู่บ่อยเลยใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้า
“เมื่อเดือนก่อน หลังจากที่กลับจากโบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในสลัม อยู่ๆ เราก็ไปพบเข้ากับเอิร์ลมูคัสและคนที่คุ้นหน้าอีกหลายคน…”
เอิร์ลมูคัส…เขาหมายถึงเอิร์ลมูคัส เจ้าเมืองทางฝั่งเหนือนั่นน่ะหรือ
“เหตุใดเจ้าเมืองฝั่งเหนือจึงไปปรากฏตัวที่สลัมเล็กๆ ได้ล่ะ…”
“เราเองก็สงสัยเช่นกัน จึงได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้…ปรากฏว่าคนที่เราส่งไปกลับถูกสังหารทั้งหมด ไม่มีใครรอดเลยแม้แต่คนเดียว”
ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขององค์รัชทายาท นั่นก็หมายความว่าฝีมือแต่ละคนคงไม่ธรรมดา การที่พวกเขาทั้งหมดถูกสังหาร นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งพวกเขามา
ดันเผลอไปเหยียบเข้ากับรังแตนเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจสินะ
“งั้นท่านก็ถูกหมายหัวตั้งแต่ตอนนั้นเลยสินะคะ”
“ไม่ใช่หรอก เราว่าถูกหมายหัวหลังจากนั้นมากกว่า”
“…แสดงว่าหลังจากนั้นก็ยังคงสืบต่อไปสินะคะเนี่ย”
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“คนของเราถูกจัดการไปตั้งขนาดนั้น มีหรือเราจะยอมอยู่เฉยได้ แม้เราจะรักสันติ แต่ถ้าหากใครมาล้ำเส้นเราเองก็ไม่ยอมปล่อยไว้เช่นกัน”
เขาพูดพลางแสยะยิ้ม
โอ้…สายเลือดนี้มันช่างน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงท่านจะบอกว่าจะจัดการคนพวกนั้น แต่คิดบ้างไหมว่ามันเป็นการเอาชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาไปเสี่ยงโดยไม่ยั้งคิดน่ะ
จุดที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก ไม่มีผิด ส่วนดีๆ ก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะ ทำไมต้องมาเหมือนกันในเรื่องแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
“แล้ว…สืบได้อะไรมาบ้างล่ะคะ?”
“ก็แค่ข้อมูลที่กระจัดกระจาย ยังไม่ทันที่จะเป็นรูปเป็นร่าง เราก็ดันถูกลอบโจมตีจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนมาถึงที่นี่นั่นล่ะ~”
…
หากเขาไม่ใช่องค์รัชทายาท บางทีฉันอาจจะเผลอหลุดคำพูดที่ไม่สมควรออกไปก็ได้
แสดงว่าตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ที่กำลังล่อแมลงให้ใกล้เข้ามาเลยนี่นา ( (อันที่จริงอยากให้เป็นขี้กับแมลงวัน แต่เกรงใจตำแหน่งนาง55555) )
“ท่านตั้งใจจะไปที่ไหนกันคะ? แล้วทำไมถึงเลือกที่จะมาที่นี่?”
“เพราะเรื่องมันดูจะเกินกำลังของเราไปหน่อย ดังนั้นเลยตั้งใจจะมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เชื่อใจได้น่ะสิ”
“คนที่เชื่อใจได้?”
เหมือนกับเขาจงใจพูดออกมาให้ฉันเกิดความสงสัย
“ใช่ เราหมายถึงพลทหารเอกเจราห์ เรเวนสครอฟต์ พี่ชายของเธอนั่นล่ะ”
องค์รัชทายาทตอบพลางยิ้มร่าออกมาอย่างเกินหน้าเกินตา
เจราห์!? หมายถึงเจราห์คนนั้นจริงๆ หรือ พี่ชายฉันน่ะนะ
ทำไมต้องเป็นหมอนั่นด้วยเนี่ย! แต่เดี๋ยวก่อนนะ…เมื่อครู่เขาบอกว่ามาหางั้นหรือ…แสดงว่าเจราห์อยู่แถวนี้น่ะสิ แต่ว่าเขาแทบจะไม่เคยมาประจำการนอกเมืองเลยด้วยซ้ำนะ เป็นเจราห์จริงๆ น่ะหรือ?
“เดี๋ยวนะคะ ฉันเริ่มจะตามเนื้อหาไม่ทันแล้ว ทำไมองค์รัชทายาทถึงมาหาเขาที่นี่ล่ะ?”
ฉันเอียงคอถามออกไปด้วยความสงสัย
“ทำไมงั้นหรือ ก็เขาย้ายมาประจำที่ชานเมืองนี่”
องค์รัชทายาทเองก็เอียงคอกลับมาเช่นกัน
เราสองคนมองหน้ากันโดยที่มีเครื่องหมายคำถามสะท้อนออกมาจากดวงตา เอาล่ะ…ดูเหมือนฉันจะพลาดเรื่องสำคัญไปเสียแล้วสินะเนี่ย
องค์รัชทายาทเองก็ดูเหมือนว่าจะแปลกใจมากที่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
“ก็…หลังจากที่นาวาเอกหายตัวไป ไม่นานหน่วยของเธอก็ถูกยุบ แล้วพี่ชายของเธอก็เลยดึงตัวพวกเขาไปตั้งเป็นหน่วยใหม่ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องประชาชนตามเขตชานเมืองที่ควรจะมีมาตั้งนานแล้วนี่ไง”
หน่วย…หน่วยของฉัน…นะ…หน่วยของฉันถูกยุบหรือ…
ทำไมเป็นแบบนั้นได้ล่ะ ก็ยกตำแหน่งให้ไมโลไปแล้วนี่ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่น!?
ท่านปู่คะ ทำไมเจอกันครั้งก่อนไม่เห็นพูดเรื่องนี้เลยล่ะ แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่มีทางที่ท่านจะไม่บอกฉันแน่ แต่ว่า…
กล้าดีอย่างไรมายุบหน่วยน่านฟ้าหะ!! เจ้าพี่บ้า!! ถ้าเจอตัวล่ะก็เจอดีแน่!!
ฉันสูดลมหายใจเข้าและออกอยู่หลายครั้ง เพื่อสงบสติอารมณ์
“แล้วไอ้…ฉันหมายถึงท่านพี่ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันล่ะคะ?”
ฉันกัดฟันถามออกไปด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม มือทั้งสองกำหมัดแน่นอย่างคับแค้นใจ
องค์รัชทายาทที่เห็นดังนั้นก็ถึงกับเหงื่อตก
“ขอโทษนะ เรื่องนั้น…เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“นาวาเอกถามใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะมาที่นี่”
“ค่ะ”
“ที่จริงมันเป็นความบังเอิญน่ะ พอผ่านป่ามาได้สักพัก อยู่ๆ พวกที่ไล่ตามเราก็หายไปเอง”
“หายไปเอง?”
ฉันทวนคำพูดของเขาพลางขมวดคิ้ว
หายไปเองนี่หมายความว่าไงกัน? ในป่าก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าพวกมอนสเตอร์หรือพวกเผ่าปีศาจนี่นา หรือว่านักฆ่าพวกนั้นเห็นเผ่าปีศาจแล้วเกิดตกใจเลยหนีไปงั้นหรือ?
แต่จะบอกว่าไม่มีอะไรพิเศษก็ดูจะเป็นการตัดสินเร็วเกินไป ขนาดสถานที่ลับของเซนยังเป็นสถานที่ที่พิเศษถึงเพียงนั้นเลยนี่นา
งั้นเรื่องที่เผ่าปีศาจมีเรื่องบาดหมางกันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยไหมนะ…ฉันควรลองเปิดใจแล้วถามออกไปตรงๆ ดีไหมเนี่ย…แต่ดูเหมือนพวกเขายังโกรธเจ้าผ้าคลุมปริศนาครั้งก่อนอยู่ด้วยสิ…แล้วอยู่ๆ องค์รัชทายาทก็โผล่มา…
“เฮ่อ~ ยิ่งฟังเรื่องราวก็มีแต่ปมปริศนาให้สงสัยไม่จบไม่สิ้นสักทีเนี่ย~”
“ขอโทษด้วยนะ เราเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งถูกช่วยไว้นี่ล่ะ”
โอย…ปวดหัว คิดไม่ออกเลยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อดี
แถมตอนนี้ดันต้องมารู้ว่าเจราห์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอีก ฉันควรจะเครียดเรื่องไหนก่อนดีล่ะทีนี้!?
“ไม่เข้าใจเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกตามล่าแต่ดันเลือกที่จะมาอาศัยอยู่ในร้านที่มีแค่เด็กสาวกับหญิงชรา แทนที่จะเป็นเดอะบีสท์ เผ่าปีศาจที่สามารถปกป้องท่านได้”
“ก็ถูกของนาวาเอก…”
“หรือว่าแท้จริงท่านกลัวพวกเขาหรือคะ?”
องค์รัชทายาทเงียบไปสักพัก ไม่นานเขาก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ถูกเพียงครึ่งเดียว…”
คำตอบของเขาทำเอาฉันงงหนักกว่าเดิม
ก็พอเข้าใจล่ะว่าในสังคมชั้นสูงนั้นชอบพูดจากำกวม อ้อมค้อมไปมา ชวนสับสนหนัก แต่นี่มันใช่สถานการณ์ที่ต้องมาเล่นลิ้นแบบนี้อยู่อีกน่ะหรือ?
“เรารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาน่ะเป็นคนดี ไม่งั้นคงไม่ช่วยเหลือคนที่น่าสงสัยอย่างเราหรอก เพียงแต่…”
“เพียงแต่?”
“เราไม่รู้ว่าคนที่ควบคุมพวกเขานั้น แท้จริงอยู่ฝั่งไหนกันแน่”
คำพูดของเขาทำให้ฉันฉุกคิด
จากที่องค์รัชทายาทเล่ามา ขนาดเจ้าเมืองฝั่งเหนือยังน่าสงสัย นั่นก็แสดงว่าเจ้าเมืองฝั่งตะวันตกนี้ก็เชื่อใจไม่ได้เช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับอีกรีฟด้วย เจ้าเมืองแต่ละฝั่งแอบจ้างวานทหารรับจ้างปีศาจโดยไม่ให้ทางอาณาจักรรู้มาตั้งหลายปี แปลว่าพวกเขามีวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
‘ถึงคนอื่นจะยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ว่าข้า…สักวันข้า…ข้าอาจจะต้องฆ่าเจ้าด้วยมือคู่นี้’
ฉันนึกถึงคำพูดของคุณจีที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่าง หรือบางทีในอดีตอาจมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
แต่ฉันในตอนนี้ บอกไม่ได้เลยว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง พลังเวทย์ก็ไม่มี เส้นสายก็ใช้ไม่ได้ หรือบางทีฉันอาจต้อง…
“นาวาอากาศเอกลูอันน่า เรเวนสครอฟต์”
ขณะที่กำลังใช้ความคิด ฉันก็ถูกเรียกชื่อเต็มยศ แบบที่ไม่ได้ยินเสียนาน
น้ำเสียงนิ่งเรียบ ดวงตาสีม่วงเป็นประกายมองมาที่ฉันอย่างไม่กะพริบ
“ในนามของเรา อีริค มอนฟอร์เต เดอ นิเวีย คิดว่านี่อาจเป็นลิขิตบางอย่างที่ทำให้เรามาเจอกัน จะหาว่าเราโลภก็แล้วแต่เธอเลย…แต่ตอนนี้ ได้โปรดให้เราได้ยืมพลังของนาวาเอกด้วยเถอะนะ”
เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นมือมาทางฉัน
ว้าว…เป็นฉากที่คุณหนูหลายคนต่างใฝ่ฝัน ฉันมักจะได้ยินพวกเธอคุยพร้อมกับหัวเราะคิกคักว่าอยากถูกองค์ชายเดินเข้ามาโค้งหรือคุกเข่าขอให้พวกเธอไปเต้นรำด้วย
แต่ในมุมมองของฉันตอนนี้ การที่เขายื่นมือมามันไม่เหมือนกับจะชวนไปเต้นรำ หมุนรอบห้องโถงหรืออะไรประมาณนั้นเลย แต่นี่เป็นการยื่นมือมาเหมือนกับจะถามว่า ไปเสี่ยงชีวิตด้วยกันทีได้ไหม มากกว่า
“…ปฏิเสธได้ไหมคะ?”
ฉันพูดออกไปพร้อมเบ้ปาก
“ช่วยดูกาลเทศะหน่อยเถอะ มีใครเขาพูดถึงขนาดนี้แล้วต้องการคำปฏิเสธกันบ้างเล่า”
ได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้น ฉันเลยกระเดาะลิ้นออกมาอย่างไม่พอใจ
“ตระกูลเธอนี่ ไม่ให้ความเคารพแก่ราชวงศ์กันทั้งบ้านเลยสินะ…”
“งั้นฉันขอปฏิเสธเลยนะคะ”
“ดะ…เดี๋ยวสิ!”
เมื่อเห็นฉันจะเดินไปทางประตู องค์รัชทายาทก็ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งมาขวางไว้
“ขอร้องล่ะ ช่วยเราทีเถอะ! เรายังหาพลทหารเอกไม่เจอ แต่การที่ได้เจอนาวาเอกแทนแสดงว่านี่ต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆ ดังนั้นอย่าทิ้งเราไปทั้งแบบนี้เลยนะ!”
อ่า…น่ารำคาญ ยิ่งได้ยินประโยคที่เหมือนเป็นตัวแทนเจราห์แบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันไม่พอใจกว่าเดิมอีก
ไม่ว่าตอนไหนก็มีแต่คนต้องการจริงๆ นะ สมกับเป็นพี่ชายที่ท่านพ่อภูมิใจ ใครมาได้ยินคงน้ำตาไหลแน่ๆ…ฉันเนี่ยล่ะ หนึ่งคน
“องค์รัชทายาทคะ ท่านต้องการความช่วยเหลือจากฉันจริงๆ น่ะหรือคะ?”
“ต้องการสิ! เราต้องการให้นาวาเอกช่วยจริงๆ นะ”
โห…ดูพูดเข้าสิ
“นี่ องค์รัชทายาท…มีคำถามหนึ่งที่ฉันสงสัยมานานแล้ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโอกาสที่เหมาะ ขอถามเลยจะได้ไหมคะ?”
เขาแสดงท่าทีที่หวั่นใจออกมา พร้อมกับตอบกลับมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ได้สิ ถามมาได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันยิ้มให้ แล้วเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริงมันเป็นคำถามที่ฉันอยากถามกับองค์จักรพรรดิโดยตรงมากกว่า แต่ลูกชายตัวดีที่ทำเป็นหลับหูหลับตาจนถึงตอนนี้เองก็สร้างความไม่พอใจให้ฉันไม่น้อยเหมือนกัน
“เหตุใดในวันที่พวกเราออกไปทำสงคราม ท่านถึงได้เอาแต่ มุดหัวอยู่ในปราสาทโดยที่ไม่ออกไปไหนเลยล่ะคะ?”