ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 20: เด็กหนุ่มปริศนา(2)
วันคืนอันยาวนาน ความเหนื่อยล้าสะสม เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
เขามองไปรอบๆ อย่างพร่ามัว เมื่อการมองเห็นเริ่มกลับมาจนทำให้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกตา เด็กหนุ่มปริศนานั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“โห…นึกว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วเสียอีก”
เสียงของใครบางคนพูดขึ้นข้างๆ เมื่อเขาหันไปก็พบกับเด็กหนุ่มอีกคนที่มีผมสีเงิน ดวงตาสีเทากับสีน้ำทะเลที่ตัดกันอย่างประหลาด เขาคนนั้นสวมเครื่องแบบคล้ายทหารและกำลังยืนพิงกำแพงอ่านอะไรบางอย่างอยู่
“ที่นี่…ที่ไหน?”
เด็กหนุ่มปริศนาเอ่ยถาม เซนปิดหนังสือลงแล้ววางมันไว้ที่ชั้นหนังสือข้างๆ
“ที่นี่คือบ้านของพวกฉันเอง เมื่อคืนเราเจอนายนอนสลบอยู่ในป่า หัวหน้าก็เลยพากลับมาด้วย”
เด็กหนุ่มยังคงสับสนหลังจากที่ตื่นมา จากนั้นไม่นานจีก็เดินเข้ามาในห้อง เพราะหูของปีศาจมีประสาทการรับรู้ที่ดีกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า ดังนั้นเมื่อชายคนนี้ตื่นขึ้นจีถึงรู้ได้ในทันที
เมื่อชายผมดำเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าคิ้วขมวด บรรยากาศก็เริ่มแย่ลง ไม่ใช่ว่าเขาแคลงใจ แต่เป็นเพราะตัวเองเป็นคนคุยกับใครไม่เก่ง มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปดี ดูเหมือนนอกจากลูน่ากับมาสเตอร์ร้านโวยยะแล้วเขาจะยังไม่มีภูมิต้านทานสำหรับมนุษย์คนอื่นเลย ตอนนี้จีทำได้เพียงจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง
หลังจากที่เด็กหนุ่มดูแววตาดำสนิทของจีจับจ้อง เขาก็แข็งทื่อไป
“หัวหน้า บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวผมจัดการเองน่ะ”
เซนเอ็ดพลางขมวดคิ้วใส่ จีหลบสายตาแล้วพยายามทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ขะ…ข้าก็แค่อยากช่วยเอง”
“เล่นจ้องเขม็งแบบนั้นเป็นใครก็เกร็งกันทั้งนั้นล่ะ อีกอย่างหัวหน้าถนัดคุยกับคนแปลกหน้าที่ไหนกันครับ”
“ข้าคุยได้สิ! เห็นแบบนี้ข้าก็เริ่มมีมนุษยสัมพันธ์กับเขาบ้างแล้วนะ!”
“ครับๆ ทำดีมากครับหัวหน้า…”
เซนพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายพร้อมกับดันจีออกไปจากห้อง
เมื่อปิดประตูจนภายในห้องกลับมาเหลือสองคนแล้ว เซนกระแอมไอออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับไปหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“อย่างที่เห็น ชายคนเมื่อครู่ก็คือหัวหน้าของพวกเรา เขาคือคนที่ช่วยนายเอาไว้หลังจากเจอนายนอนสลบอยู่กลางป่าน่ะ”
“เอ่อ…พอดีเรายังมีหลายเรื่องที่สงสัยแล้วยังไม่สามารถปะติดปะต่อได้ อย่างแรกเลยพวกนายเป็นทหารงั้นหรือ? พอดีเราไม่เคยเห็นทหารของอาณาจักรสวมเครื่องแบบนี้มาก่อน”
“ใช่พวกเราเป็นทหาร แต่ว่าไม่ใช่ทหารของอาณาจักรหรอกนะ แต่ก่อนที่ฉันจะบอกอะไรนายมากกว่านี้ อย่างน้อยคงต้องรู้ก่อนว่านายเป็นใคร”
เซนพูดออกมาเสียงเข้ม จากนั้นก็จ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่ายเหมือนกำลังประเมินบางอย่าง แรงกดดันเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างที่สนทนาอยู่ เดิมทีแล้วหากเป็นเรื่องการเจรจาต่อรองหรือสอบสวนต่างๆ มักจะเป็นหน้าที่หลักของเซนอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นช่างคุยและเลือกคำพูดได้เก่งที่สุดในหน่วย มิหนำซ้ำยังเป็นจอมเจ้าเล่ห์ที่ไม่ยอมให้ใครหลอกเอาได้ง่ายๆ ดังนั้นหากใครทำท่าเหมือนจะโกหก เซนจะจับได้ทันที
แต่ที่จับได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นปีศาจจิ้งจอกหรอกแต่เพราะเขาเจอเรื่องพวกนั้นมาจนเอียนแล้วต่างหาก
“เราชื่อว่าอีริค ระหว่างทางถูกโจรป่าโจมตีเข้าเลยวิ่งหนีเข้ามาในป่า นั่นทำให้เราพลัดหลงอยู่ในป่าจนหาทางออกไม่ได้”
โกหก…เซนรับรู้ในทันทีว่าสิ่งที่ชายคนนี้เล่ามานั้นไม่เป็นความจริง ในเมื่อเมื่อคืนพวกของโจรป่าทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อมามีเรื่องกับเดอะบีสท์อย่างพวกเขาแท้ๆ ไม่มีทางที่เจ้าพวกนั้นจะแบ่งกลุ่มบางส่วนออกไปทำเรื่องแบบนั้นได้หรอก
แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะยอมเล่นตามน้ำไป เพื่อที่จะหลอกถามข้อมูลเพิ่ม
“งั้นหรือ เดินหาทางออกจากป่าจนหมดแรงแล้วสลบไปเลยสินะ นายเองก็ลำบากไม่น้อยเลยนะ”
“ได้พวกนายช่วยเอาไว้แท้ๆ เราคงต้องไปขอบคุณ คุณหัวหน้าที่อยู่ด้านนอกด้วยแล้วล่ะ”
“อย่าคิดมากเลย การที่จะปล่อยคนที่กำลังลำบากนอนหมดสติไปทั้งๆ แบบนั้น เราก็จะดูใจดำเกินไป”
“เราขอบคุณพวกนายจากใจจริงเลย”
“ไหนๆ ก็ลงเอยแบบนี้แล้ว จะให้เราช่วยตามหาพรรคพวกที่พลัดหลงของนายให้ด้วยดีไหม?”
“เรื่องนั้น…”
คำถามของเซนทำเอาอีริคออกอาการเลิ่กลั่ก จากนั้นเขาก็ทำเงียบพร้อมกับพยายามที่จะหลบสายตา
“จะ…จะว่าไป! เราลองมองออกไปนอกหน้าต่างแล้ว ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้จะสร้างอยู่กลางป่าเลยนะ พวกนายอาศัยอยู่กันที่นี่จริงๆ น่ะหรือ?”
อีริคพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ท่าทางแบบนั้นของเขา ทำเอาเซนกระตุกยิ้มร้ายๆ ออกมาเล็กน้อย
“ใช่~ พอดีที่หมู่บ้านไม่มีสำหรับพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นเลยต้องมาอาศัยอยู่ที่ป่าแห่งแก่นแท้แบบนี้ไง~”
“เช่นนี้เอง…เมื่อครู่ว่าไงนะ! ป่าแห่งแก่นแท้งั้นหรือ!?!”
อีริคเบิกตากว้างอย่างแตกตื่น แล้วก็รีบตรงดิ่งไปเปิดหน้าต่าง ดวงตาของเขาเริ่มสั่นไหว
ภายนอกของบ้านไม่มีวี่แววของมอนสเตอร์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เลย อาการบริสุทธิ์ปราศจากมลพิษ เขาสัมผัสได้ถึงกระแสของมานาที่สมดุลไร้ที่ติ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้มาอยู่ในสถานที่แบบนี้
“ถ้านายเป็นผู้ใช้พลังเวทย์ก็น่าจะพอรู้นะ ว่าสิ่งที่ฉันพูดไม่ได้โกหก”
อีริคหันกลับมาด้วยสีหน้าที่สับสน ทำไมเซนถึงรู้ได้ว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังเวทย์ ทำไมถึงมีบ้านสร้างอยู่ในที่แบบนี้ หากอยู่ที่นี่แล้วจะออกไปโดยฝ่ามอนสเตอร์เป็นฝูงได้อย่างไร ขึ้นชื่อว่าเป็นแก่นแท้ก็แปลว่าอยู่ในส่วนที่ลึกสุดของป่าเลยน่ะสิ ที่แบบนั้นจะมีมนุษย์อาศัยอยู่จริงๆ หรือ
“สีหน้านายดูออกเลยนะว่ามีเรื่องสงสัยอยู่เต็มไปหมด แต่สำหรับพวกฉันนายก็ไม่ต่างอะไรจากผู้บุกรุก ฉะนั้นฉันแนะนำให้ต่อจากนี้เรามาพูดความจริงกันดีกว่า”
เซนพูดพร้อมกับประสานมือลงบนตัก แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความอันตรายที่ออกมาจากตัวของอีริค แต่เขาจำเป็นต้องรู้เหตุผลที่แท้จริงที่อีริคมายังป่าแถบนี้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอาจจะสายเกินแก้ไปก็ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนในหมู่บ้านเช่นกัน
“เอาล่ะ มาเริ่มแนะนำตัวกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า”
{ในขณะเดียวกัน ณ ร้านโวยยะ}
ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดเสียจริง แม้ฉันจะโล่งอกแต่ก็รู้สึกกังวลใจในเวลาเดียว ถึงเดอะบีสท์จะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมเมื่อคืนก่อนนั่นเป็นฉันก็ตาม แต่การที่ต้องมาเจอคนที่พึ่งประมือกันมา แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ มันไม่ใช่ของถนัดของฉันเลยนะ
แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องปิดบังและทำร้ายเซนกับสไตน์ไปแบบนั้น แต่ฉันพยายามออมมือ โดยระวังไม่ให้พวกเขาบาดเจ็บแล้วนะ เพราะเป็นเผ่าปีศาจดังนั้นฉันจึงต้องรีบจัดการให้จบก่อนที่พวกเขาจะคืนร่างเดิม แค่นึกถึงดาบกับเคียวคมกริบนั้นก็ทำเอาฉันหนาวแล้ว ว่าแต่…
“ทำไมเมื่อเช้า นายถึงไม่มาล่ะ?”
ฉันเอ่ยถามอีวาน ซึ่งกำลังนั่งดื่มนมอุ่นๆ อยู่บนโต๊ะ ปกติทุกเช้าอีวานจะมาหาฉันในร่างแมวที่ชื่อว่านัวร์ทุกครั้งแท้ๆ เช้านี้เป็นครั้งแรกเลยที่เขาหายไปแบบไม่บอกกล่าว
ฉันพอจะเดาได้นะว่างานของเดอะบีสท์คงจะยุ่งมากแน่ ดูจากสภาพหมดแรงของอีวานวันนี้ก็พอรู้ แถมวันนี้สมาชิกคนอื่นยังไม่มาพร้อมกันเหมือนอย่างเคย หลังจากที่ฉันไม่ได้แอบเข้าป่าไป อย่าบอกนะว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ
“ขอโทษนะลูน่าตัน พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย หัวหน้ากับเจ้าเซนก็เลยต้องอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนสไตน์ก็ไปตรวจตราในส่วนของสองคนนั้นด้วย แต่อีกไม่นานก็น่าจะได้เวลากลับมาแล้วล่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ สไตน์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในร้านอย่างเหนื่อยล้า ฉันเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับยื่นน้ำเย็นๆ ให้เขา วันนี้ทำไมพวกเขาดูเหนื่อยกันชอบกล
“ดูพวกนายจะนอนไม่พอเลยนะ อย่าบอกนะว่าออกไปทำงานทั้งๆ แบบนี้เลยล่ะ”
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะไอ้บ้านั่น…อุ๊ก!”
สไตน์ถางศอกใส่อีวานอย่างไม่เกรงใจ เหมือนกับว่าเขาเผยหลุดพูดบางอย่างที่ไม่ควรออกมา
“แต่วันนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
อีวานถามขึ้น ส่วนสไตน์ก็ส่ายหน้า หลังจากที่นั่งพักหายใจอยู่พักหนึ่ง สไตน์ก็หยิบเมนูขึ้นมาเพื่อสั่งอาหาร
แบบนี้มันชักดูน่าสงสัยขึ้นทุกทีแล้วนะ อันที่จริงฉันก็อยากถามออกไปตรงๆ เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางของสไตน์ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่อยากบอกให้ฉันรู้สักเท่าไหร่
เฮ่อ…งั้นฉันจะพยายามไม่ใส่ใจมันแล้วกัน ตราบใดที่พวกเขาไม่เต็มใจเล่า ฉันก็ไม่อยากคะยั้นคะยอนักหรอก
สไตน์เห็นสีหน้าของฉันดูกังวล เขาจึงเอื้อมมาจับมือของฉัน
“ไม่ต้องห่วงพี่ลูน่า ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลหรอก”
ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่จากที่ฉันเห็นการต่อสู้เมื่อวันก่อน มันดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนี่นา แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ…
“ลู~ น่า!”
มือของใครบางคนเข้ามาใกล้ เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงที่คุ้นเคยฉันเลยไม่ได้ปัดมือหรือถอยหนี นิ้วเรียวสวยคีบผมหน้าฉันขึ้นเหมือนจะต้องการแหย่เล่น
เมื่อฉันจะส่งเสียงทัก เขาก็ถูกมือของชายอีกคนฟาดเข้าที่กลางหลังหัว ส่วนสไตน์ก็ปล่อยมือฉันก่อนจะสับไปที่กลางลำตัว
“โอ๊ย! ว่าแล้วว่าหัวหน้าต้องโกรธ แต่นายก็เอากับเขาด้วยหรือสไตน์?”
เซนมองสไตน์อย่างเคืองๆ พร้อมกับลูบท้องกับหลังหัวในเวลาเดียวกัน
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
ฉันรีบทักทายสมาชิกที่เหลือ คุณจีที่พึ่งจะสำเร็จโทษเซนไป หันมาโบกมือทักทายฉันกลับ แต่แล้วฉันก็สังเกตเห็นใครอีกคนที่เดินตามหลังพวกเขาทั้งคู่มา ฉันเอียงตัวมองก็เจอเข้ากับคนน่าสงสัยที่สวมผ้าคลุมยาวคลุมทั่วทั้งตัว ดูจากความกว้างของไหล่แล้วดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ชาย แต่เพราะผ้าคลุมฉันเลยไม่เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“นี่คืออีริค ข้าพบเขานอนสลบอยู่ในป่าเมื่อคืนนี้ก็เลยช่วยไว้”
คุณจีพูดแล้ววางมือลงบนหัวของฉันอย่างทุกที
ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง ฉันรู้สึกไม่ดีกับชายที่ชื่ออีริคนี่เอาเสียเลย แถมชื่อนี้ยังคล้ายกับคนที่ฉันรู้จักอีกด้วย…ช่างเถอะ ไม่มีทางที่คนๆนั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ในที่แบบนี้อยู่แล้วด้วย
เมื่ออีวานเห็นอีริค เขาก็รีบลุกออกเก้าอี้แล้วเดินตรงเข้ามาอย่างหาเรื่อง
“ทำไมถึงพาเจ้าคนน่าสงสัยนี่มาด้วยล่ะหัวหน้า?”
“ทำตัวดีๆหน่อยอีวาน อีริคไม่ใช่คนอันตรายอะไรหรอก”
“แต่หมอนี่เป็นมนุษย์…”
ก่อนที่อีวานจะโวยวาย เขาเหลือบมามองฉันก่อนที่จะหยุดคำพูดของตัวเอง
“…ผมพยายามจะบอกว่าเราไม่ควรทำดีกับคนน่าสงสัยที่เก็บได้ระหว่างทางก็เท่านั้นเอง” (อีวาน)
“ใจเย็นหน่อยอีวาน หัวหน้าแค่พามาเลี้ยงข้าวเพราะกลัวหมอนี่จะสลบไปอีกรอบเท่านั้นเอง” (เซน)
“ท้องอิ่มแล้วก็จะไปใช่ไหม?” (สไตน์)
“เดี๋ยวเถอะ ทำไมพวกเจ้าถึงได้เป็นคนใจแคบแบบนี้กันนะ” (จี)
ในระหว่างที่ทั้งสี่มีปากเสียงกันอยู่ ชายสวมผ้าคลุมก็เดินตรงมาหาฉัน
ใบหน้าใต้ผ้าคลุมเผยออกมาหลังจากที่เขาถอดเสื้อคลุมออก เส้นผมสีพิงค์โกลด์ที่เข้าคู่กับนัยน์ตาสีลาเวนเดอร์แวววาวราวกับเพชร ฉันตกใจจนแทบลืมหายใจ
ดั่งเส้นผมสีเงินกับดวงตาสีของนภาที่เป็นลักษณะเฉพาะของคนในตระกูลเรเวนสครอฟต์ที่สืบเชื้อสายมากว่าร้อยปี ดวงตาสีลาเวนเดอร์ที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีนั่นก็เช่นกัน ภายในอาณาจักรนิเวียแห่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ผู้ที่จะมีดวงตาแบบนั้นมีแต่คนที่สืบสายเลือดราชวงศ์โดยตรงเท่านั้น แต่เส้นผมสีพิงค์โกลด์นั้นพิเศษยิ่งกว่า เพราะเป็นเส้นผมสีเดียวกับผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้
“ขอโทษนะ แต่เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
เมื่อถูกถามแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้เลยว่าควรตอบกลับไปอย่างไร
ถามว่าเคยไหมหรือ? เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเคย ไม่สิ…ต้องบอกว่าถึงไม่อยากก็ต้องเจอมากกว่า
อุตส่าห์หนีเข้ากองทัพเพราะเลี่ยงที่จะถูกหมั้นหมายกับเขา จนถึงขั้นที่ทำให้ตระกูลเรเวนสครอฟต์กับราชวงศ์เกิดความขัดแย้งกันเลยด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ฉันยังปฏิเสธงานเลี้ยงทุกงานที่เขาเข้าร่วม
คู่หมั้นคู่หมายที่ท่านพ่อเคยตั้งใจจะจับคู่ให้ฉันตั้งแต่ยังเด็ก ชายเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์ถือครองบัลลังก์ บุตรชายเพียงคนเดียวขององค์จักรพรรดิ ‘องค์ชายอีริค มอนฟอร์เต เดอ นิเวีย’
…ทำไมองค์รัชทายาทนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย!?