ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 2: ลาก่อน
เซเลน่า ไพร์ดเนอร์ ไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้จักชื่อนี้
เธอเป็นบุตรสาวของบารอน และยังเรียนอยู่ที่สถาบันเซนต์วาเรียที่เดียวกับฉันและลูเซียนอีกด้วย สถาบันนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อศึกษาและวิจัยเวทมนตร์สำหรับเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงทั่วอาณาจักร
นอกจากสงคราม ฉันกับลูเซียนยังต้องเข้าร่วมสังคมขุนนางอย่างช่วยไม่ได้ มีหลายคนบอกว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมเกินกว่าจะเข้าไปแทรกกลางได้ แม้แต่ฝ่ายต่างยังไม่มีคู่หมั้นหมายเป็นของตัวเองแต่ทุกคนต่างพากันเอาใจช่วยให้ฉันกับลูเซียนสมหวังและได้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการเสียที
จนกระทั่งวันที่ลูเซียนได้พบกับเซเลน่า เด็กสาวรูปโฉมงดงาม ผมสีทองละเอียดราวใยแมงมุม ดวงตาสีส้มอ่อนที่เหมือนกับอำพัน เรือนร่างที่ดูบอบบางดั่งตุ๊กตาช่างดูน่าทะนุถนอมชวนปกป้อง ลูเซียนเข้าหาเธอด้วยความเป็นมิตร และแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเซเลน่าเองก็มีใจให้ลูเซียนเหมือนกัน
ตั้งแต่มีเธอ ข่าวลือต่างๆก็เริ่มแพร่ออกไป ข่าวลือที่ว่าตัวจริงของลูเซียนอาจจะไม่ใช่ฉันอย่างที่ใครๆคิด
เป็นเซเลน่าต่างหาก ที่ลูเซียนต้องการจะหมั้นหมายด้วย ตัวฉันทำได้เพียงยิ้มและให้กำลังใจพวกเขาอยู่ห่างๆ ฉันยินดีที่จะถอยออกมา ถ้าที่ข้างกายลูเซียนมีคนที่เหมาะสมกว่า อย่างไรในสายตาของเขา ฉันคงเป็นแค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
…แต่แล้วความคิดของฉันก็ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่วันที่ลูเซียนเอ่ยปากสารภาพความรู้สึกในวันนั้น
ความรู้สึกของฉันที่แอบซ่อนเอาไว้ มันก็เอ่อล้นจนทะลักออกมา ฉันไม่อาจมองข้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป ฉันรักลูเซียน สำหรับฉันต้องเป็นเขาเท่านั้นถึงจะยอมแต่งงานด้วย
ช่างหัวข่าวลือพวกนั้นไปสิ ก็ในเมื่อคนที่เขาลูเซียนคือฉันนี่นา ฉันมั่นใจว่าต่อให้มีผู้หญิงคนไหนเข้ามา ลูเซียนก็ไม่หวั่นไหวง่ายๆ อยู่แล้ว เพราะหัวใจของเขาอยู่ที่ฉันแล้วอย่างไรล่ะ
ทั้งที่เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอดแท้ๆ…
“คุณหนูไพร์ดเนอร์? ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อ…”
เจราห์หันมามองฉันแล้วไม่พูดอะไรต่อ ฉันพยายามเก็บสีหน้าตัวเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด แก้วไวน์ในมือค่อยๆ ร้าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เจราห์รีบแย่งมันออกไปจากมือของฉันก่อนจะมีใครสังเกตเห็น
“นี่ ลูอันน่า…”
“ขอโทษนะคะท่านพี่ แต่ช่วยปล่อยฉันไว้แบบนี้ก่อนได้เถอะ…”
ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอดกลั้น อยู่ๆ ก็อยากจะเป่างานเลี้ยงตรงหน้าให้หายไปในพริบตาเดียวเลย แต่มีท่านพ่อกับท่านปู่อยู่ในงาน เกรงว่าคงจะทำไม่ได้
ฉันมองไปที่เซเลน่าซึ่งกำลังสวมชุดเดรสลูกไม้สีชมพูประณีตงดงาม ก่อนจะก้มลงมองชุดเครื่องแบบที่ตัวเองสวมมาเพื่อประชดท่านพ่ออย่างที่เจราห์คาด
อา…ไม่เคยรู้สึกด้อยค่าเท่านี้มาก่อนเลย ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ…หงุดหงิดจนอยากจะเดินออกไปจากงานอยู่แล้วเนี่ย
ถึงกระนั้นฉันก็ต้องคุยกับลูเซียน จะปล่อยให้เหตุการณ์ตรงหน้ามาทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราไม่ได้
ฉันจะไม่คิดอะไรบ้าๆ ไปเองคนเดียว ฉันต้องตั้งสติ บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้
ฉันดีดนิ้วแล้วใช้เวทย์โทรจิตตรงไปหาลูเซียน ฉันใช้พลังเวทย์น้อยที่สุดและอำพรางไม่ให้มีใครสังเกตเห็น หลังจากที่ฟื้นตัวกลับมา ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองสามารถควบคุมพลังได้ดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ฉันแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงของฉันแล้ว แต่ลูเซียนกลับทำทีเมินเฉยเสียจนฉันไม่มั่นใจ เขาคงแกล้งทำสินะ แต่มันจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
เซเลน่าเองก็เอาแต่เกาะแขนของเขาแน่นแบบที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยออก
เดี๋ยวเถอะ! ถึงฉันจะเคยเป็นกำลังใจให้เธอมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเป็นของฉันนะรู้ไหม!?
ฉันพยายามที่จะคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ไม่นานฉันก็แอบออกมาจากงานเลี้ยงเงียบๆ ฉันบินขึ้นไปด้านบนของอาคารจัดงานแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
เพราะแสงสว่างที่มาจากอาคารจัดงาน จึงทำให้ท้องฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นดาวเลยสักดวง ท้องฟ้าที่ฉันได้เห็นหลังจากฟื้นตัวกลับมาเป็นแบบนี้ มันก็ชวนให้น่าใจหายเหมือนกันนะ
และแล้วไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เมื่อหันกลับไป ก็พบกับชายผมสีบลอนด์ในชุดทางการสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า…
ลูเซียนมองฉันอยู่สักพัก จากนั้นก็ตรงเข้ามาสวมกอด ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเสียงที่สะอื้นดังออกมาจากด้านหลัง ราวกับจะบอกว่าเขารู้สึกดีใจมากแค่ไหนที่ได้เจอฉันแบบนี้
“เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…ลู…โชคดีจริงๆ…โชคดีจริงๆ เลย…”
ถึงจะพยายามข่มเสียงตัวเองแค่ไหน แต่ก็ยังหลุดสะอื้นออกมาอยู่ดี โธ่…เจ้าคนขี้แย ไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลยจริงๆ
ถึงต่อหน้าคนอื่นลูเซียนจะพยายามแสดงออกว่าเข้มแข็งมากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อจบสงครามเขาก็จะเข้ามากอดฉันแล้วเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ ว่าดีใจแค่ไหนที่เราสองคนยังมีชีวิตอยู่
ฉันโอบหลังของเขาด้วยแขนทั้งสองข้าง ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพียงแค่กอดกันไว้แบบนี้…นั่นก็มากเกินพอแล้ว
เห็นไหม เรื่องก่อนหน้านี้ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ เขายังเป็นลูเซียนของฉันเหมือนเดิม
แต่ถึงอย่างนั้น! ฉันก็ยังรู้สึกโกรธและน้อยใจกับการกระทำที่ผ่านมาของเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ฉันผละตัวออกจากอ้อมกอดก่อนที่จะปล่อยตัวให้บรรยากาศพาไป
“ลูเซียน เมื่อครู่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมเซเลน่า ไพร์ดเนอร์ถึงกลายเป็นคู่หมั้นของนายไปได้?”
เวลาที่ผ่านมาฉันอุตส่าห์คิดไปว่าเขางานยุ่ง ที่ไหนได้กลับหายไปหมั้นหมายกับคนอื่นแบบนี้งั้นหรือ
ทำไมถึงเอาแต่เงียบล่ะ อย่างน้อยก็อธิบายอะไรออกมาบ้างสิ ฉันสูดลมหายใจแล้วถามซ้ำออกไปอีกครั้ง
“นาย…หมั้นกับเซเลน่า ไพร์ดเนอร์แล้วจริงๆ หรือ?”
ลูเซียนไม่ได้ตอบกลับมาในทันที เขาทิ้งช่วงไปสักพักก่อนแล้วจึงตอบกลับมา
“ใช่”
คำตอบสั้นๆ นั้นเริ่มทำเอาฉันน้ำตาคลอ คำพูดนั้นยังไม่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเท่ากับสีหน้าที่เขาแสดงออกมา
อะไรคือการที่เขาตอบกลับมา ด้วยท่าทีที่ใจเย็น โดยที่ไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าที่รู้สึกผิดออกมาสักนิด…เขาไม่รู้สึกละอายกับสิ่งที่ทำกับฉันเลยงั้นหรือ
‘ใช่’ สั้นๆ แค่นี้? เขาพูดกับฉันที่รู้จักกันมาเกือบสิบปี ด้วยคำพูดสั้นๆ แค่นี้เองหรือ?
“แล้วฉันล่ะ? ลูเซียน…นายเอาฉันไปไว้ไหนแล้ว?”
น้ำเสียงของฉัน ฟังแล้วเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ขนาดตัวเองได้ยินยังรู้สึกถึงความเวทนา
ลูเซียนหลบสายตา จากนั้นก็ถอนหายใจออกเล็กน้อย
“หลังจากเธอหมดสติไปเป็นสัปดาห์ แพทย์หลายคนก็ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอไม่น่ารอด ผมเองก็พยายามที่จะเชื่อในปาฏิหาริย์อยู่เหมือนกัน แต่ระหว่างที่ต้องนอนเธอที่เอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นับวันผมก็สัมผัสได้ถึงกระแสมานาที่อ่อนลงเรื่อยๆ เธอเหมือนกับว่ากำลังจะตายไปตรงหน้าผม เพราะแบบนี้ผมก็เลย…”
“ด้วยเหตุผลนั้น นายก็เลยเลือกที่จะไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นงั้นหรือ?”
แล้วสัญญาของเราล่ะ…เรื่องระหว่างเรา…ไหนว่าฉันเป็นรักแรกและรักเดียวของนายไง…หลังจากสงครามจบฉันจะได้เป็นภรรยาของนาย…คำบอกรักต่างๆ นานา พวกนั้น……ทุกอย่างมันไม่มีความหมายอะไรแล้วหรือตอนนี้?
ทำไมนายถึงเลือกที่จะลืมมัน แล้วไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นในเวลาเพียงไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ หรือว่าแท้จริงนายอาจจะไม่ได้รักฉันแต่แรกอยู่แล้ว
หลังจากรับรู้ความจริงที่ยากจะยอมรับนี้ ตัวฉันก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตลกเรื่องอะไรก่อนดี…เรื่องที่ตัวเองอยู่ๆ ก็กลายเป็นวีรสตรีของสงคราม…หรือจะเรื่องที่ลืมตาขึ้นมาจากความตาย หลังจากที่ทุกคนคิดไปแล้วว่าฉันอาจไม่รอด…หรือจะตลกเรื่องที่คนที่ตัวเองคิดจะแต่งงานด้วย ดันทิ้งตัวเองแล้วไปหมั้นหมายกับผู้หญิงอื่นดี…ไม่ว่าเรื่องไหนก็ดูน่าขันไปเสียหมด
พอหัวเราะออกไปขนาดนั้นฉันก็เกิดรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเลย ลูเซียนได้แต่มองฉันด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย แต่แล้วฉันก็สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะพ่นมันออกมาอย่างแรง
ขนาดตั้งใจจะกลั้นเอาไว้จนถึงที่สุด แต่ไม่ทันไรน้ำตาก็ได้ไหลออกมาจนอาบแก้มทั้งสองเสียแล้ว
“ใจร้าย…ใจร้ายจังนะลูเซียน”
ฉันเงยหน้ามองไปที่ลูเซียนราวกับครั้งนี้ จะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย ฉันเกี่ยวผมของตัวเองด้วยนิ้วมือที่สั่นริกๆ จากนั้นก็ยกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมาเพื่อซับน้ำตา
เขาจะรู้ไหมว่าที่ฉันไม่ยอมออกจากกองทัพก็เพราะอยากที่จะปกป้องเขา ผ่านสนามรบและความทรมานแสนสาหัสเพื่อกลับมาหาเขา แต่ทำไมหลังจากที่ขนาดลืมตาตื่นขึ้นมา คนที่อยู่ข้างๆ ฉันกลับไม่มีใครอยู่เลย
ทำไมคนที่ฉันปรารถนาอยากจะอยู่ด้วยถึงทิ้งฉันไปง่ายดายแบบนี้กัน
“ตัดใจจากฉันมันเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับนายเหลือเกินนะ ใจร้ายเกินไปแล้ว ลูเซียน”
“ผมรู้ว่าทำผิดต่อเธอนะลู เพราะงั้นหลังจากที่รู้ข่าวว่าเธอฟื้น ผมถึงไม่มีหน้าที่จะไปพบเธอไงล่ะ”
“ก็เลยควงผู้หญิงคนใหม่มาเปิดตัวต่อหน้าฉันแทนเนี่ยนะ ช่างเป็นการกระทำที่น่าซาบซึ้งใจจริงๆ”
“ขอโทษ…ผมขอโทษ ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรักเธอนะ”
ประโยคนั้นทำเอาฉันสะท้านไปทั้งตัว
มันช่างเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกกระสุนเวทย์ยิงใส่เป็นไหนๆ ความรู้สึกของฉันได้แตกสลายไป จนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
ฉันรักเขา ฉันเชื่อใจเขา ฉันเสี่ยงชีวิตและจบสงครามบ้าๆ นี้ก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างไม่ต้องห่วงอะไร แต่ทั้งหมดนั้นกลับสูญเปล่าเพียงเพราะเขาคิดว่าฉันตายไปแล้ว
ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังตกลงไปในหลุมที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันทั้งมืดสนิท น่ากลัว แถมยังว่างเปล่า สิ่งที่ฉันหวังไว้ ตอนนี้มันไม่มีทางเป็นจริงได้เลยสักอย่าง หากรู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ สู้ตายไปทั้งอย่างนั้นยังดีเสียกว่า
ทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นแบบนี้ หรือความจริงทุกอย่างมันต้องกลายเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ลูเซียนมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ…แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นอาจจะไม่ใช่ความลำบากใจก็ได้
ฉันไม่อาจเข้าใจได้ว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้ มันหมายความว่าอย่างไร
ตลอดมาฉันคิดเสมอว่าตัวเอง เป็นคนที่รู้จักลูเซียนดีที่สุด…นี่ฉันไปเอาความมั่นใจเหล่านั้นมาจากไหนกัน
ฉันไม่เข้าใจเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ใช่ลูเซียนที่ฉันรู้จัก…ไม่อีกต่อไปแล้ว…
ขอร้องล่ะช่วยปฏิเสธออกมาที เพียงแค่นายบอกว่าทุกอย่างคือความผิดพลาด แล้วจะกลับมาหาฉัน เราสองคนจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เท่านี้ฉันก็พร้อมที่จะกลับไปเป็นคนโง่ที่รักนายอย่างหมดหัวใจคนเดิม
ขอร้องล่ะ ทุกอย่างช่วยกลับมาเป็นเหมือนเดิมที…
“เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะลู ตอนนี้เราสองคนยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมได้จริงไหม?”
ไม่ใช่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแบบนี้!! ไอ้ XxX* เอ๊ย!!
(*XxX แปลว่าอะไรไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นคำด่าก็พอ)
วินาทีนั้นไม่ว่าจะได้ยินคำพูดแบบไหนออกมาจากปากของเขา มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่และรู้สึกสะอิดสะเอียนไปเสียหมด ปกติน้ำเสียงของเขามันชวนให้บาดหูถึงเพียงนี้เชียว
อย่าว่าแต่เสียงเลย แม้แต่หายใจร่วมโลกกัน ฉันก็รู้สึกขยะแขยงจนอยากกำจัดเขาไปให้พ้นๆ หน้าเสียตั้งแต่ตอนนี้
“ถ้าโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีก นายตายแน่ จำคำนี้แล้วรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้ดีล่ะ พันเอกคาร์ดิเนิล…”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันพูดออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นวันทยหัตถ์ราวกับเป็นการขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเรา
จากนี้ไม่มีความสัมพันธ์อะไรระหว่างเราอีกต่อไป แม้แต่ความเป็นเพื่อนฉันก็จะไม่เหลือให้…
พอกันที ฉันเหนื่อยกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้เต็มทนแล้ว
“เดี๋ยวก่อนลู…!!”
พอเห็นว่าฉันกำลังจะเดินจากไป ลูเซียนพยายามที่จะเข้ามาใกล้ น่าเสียดายที่ฉันจับสังเกตได้ก่อน จึงใช้พลังเวทย์แช่แข็งครึ่งร่างของเขาเอาไว้
วางใจได้ก็แค่เวทย์น้ำแข็งง่ายๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงมันก็ละลายหายไปแล้ว เพียงแต่ฉันใส่เวทย์สายฟ้าที่ทำให้เกิดการอัมพาตแบบอ่อนๆ เข้าไปด้วย ดังนั้นเขาคงจะขยับตัวไม่ได้ไปอีกสักพัก
ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีๆ ถึงทุกอย่าง มันจะจบลงในวันนี้แล้วก็ตาม ถ้านายคิดจะทิ้งฉันไปง่ายๆ ฉันก็จะลืมนายไปอย่างไม่เสียดายบ้างแล้วกัน
ฉันดีดนิ้วเพื่อใช้เวทย์เคลื่อนย้าย พาตัวเองวาร์ปไปยังห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งอยู่ภายในราชวัง ใจกลางอาณจักรนิเวีย
ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น เป็นเพราะห้องทำงานนี้ถูกเตรียม หลังจากที่ฉันฟื้นกลับมาได้ไม่นาน จะว่าไปก็ลืมเข้าไปทักพวกลูกน้องในหน่วยเสียสนิทเลย ก่อนหน้านี้ดันทำให้เป็นห่วงขนาดนั้นด้วยสิ
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้วยใบหน้าที่ราวกับใจสลาย ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ที่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น กลับคฤหาสน์เลยดีไหมนะ…ไม่ล่ะ อย่าดีกว่า ถ้าเกิดเจอท่านพ่อเข้า มีหวังครั้งนี้จิตใจฉันได้พังจนไม่เหลือชิ้นดีแน่
เสียงดนตรีบรรเลงอย่างคึกคักดังเข้ามาจากนอกหน้าต่าง เมื่อฉันมองลงไป ก็ได้เห็นเหล่าประชาชนของอาณาจักรกำลังเดินเล่นและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ถนนหนทางเต็มไปด้วยแสงไฟและของประดับตกแต่ง ที่เป็นประกายระยิบระยับ
น่าอิจฉาจัง…
ถ้าเกิดฉันเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง คงจะไม่ต้องมาแบกรับหน้าที่อะไรแบบนี้แท้ๆ ไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงาน ไม่ต้องถูกบีบให้ตัดสินใจในสิ่งที่ไม่อยากทำ
ขอแค่ได้ทานของอร่อยแล้วสนุกสนานไปวันๆ เท่านั้นก็พอแล้ว แต่เรื่องแบบนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้หรอก ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่
วันรุ่งขึ้นทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ฉันต้องตื่นขึ้นมาสวมเครื่องแบบและเข้ามาในห้องทำงานเพื่อจัดการปัญหาต่างๆ ที่อาณาจักรยังทำค้างเอาไว้
แม้ปัญหาใหญ่อย่างการทำสงครามจะจบลงไปแล้ว แต่ปัญหาเก่าที่ยังคงเป็นเหมือนเนื้อร้ายของอาณาจักรก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องการรุกรานจากอาณาจักรอื่นหรือแม้แต่ปัญหามอนสเตอร์บุกรุกจากนอกเมือง มีเรื่องให้จัดการมากมายเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว หลังจากวันนี้ไปมีหวังไม่เหลือเวลาให้พักหายใจกันแน่ๆ
แต่จะว่าไป…
“ปัญหาพวกนั้น ต่อให้ไม่ใช่ฉัน ก็สามารถหาคนมาจัดการแทนได้นี่นา…”
ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว…พอมาลองคิดๆ ดู ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องอยู่ในกองทัพแล้วไม่ใช่หรือ
ตลอดมาฉันก็ทำงานอย่างขยันแข็งขันมาโดยตลอด วันหยุดก็ไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง ถูกเรียกตัวไปทำภารกิจอะไรก็ไม่เคยจะบ่น ได้ค่าแรงน้อยแค่ไหนก็ไม่โวยวายอะไร ที่สำคัญยังช่วยพวกเขาจบสงครามในครั้งนี้อีกต่างหาก
…หายไปทั้งๆ แบบนี้คงไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอกมั้ง?
ฉันคิดพลางนึกถึงคดีประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ฉันยังเป็นแค่ทหารยศสิบโทที่อยู่ในสังกัดทหารภาคพื้นดิน
ตอนนั้นภายในกองทัพมีคนทรยศ ที่คอยแอบส่งข่าวให้กับอาณาจักรอื่นอยู่อย่างลับๆ หลังจากที่ถูกจับได้เลยคิดที่จะหลบหนี แต่ไม่ว่านักแกะรอยพลังเวทย์จะพยายามอ่านกระแสของมานามากแค่ไหน ก็หาไม่พบ
ฉันและสมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยเดียวกันไปเจอหมอนั่นตอนกำลังจะปีนหนีออกไปจากป้อมปราการเข้าโดยบังเอิญ สุดท้ายก็มารู้เข้าตอนหลังว่าคนๆ นั้นได้ฝ่าฝืนข้อห้าม โดยการใช้เวทย์ต้องห้ามเพื่อผนึกพลังเวทย์ของตนเอาไว้ เพื่อหนีจากการแกะรอย ลงทุนขนาดนั้นแต่กลับมาดูจับตัวเข้าในวินาทีสุดท้ายแบบนี้ คิดแล้วก็น่าสงสารเหมือนกันนะ จะรอดอยู่แล้วเชียว…
และแล้วคดีนั้นก็ได้ถูกปิดลง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวทย์ต้องห้าม ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้เก็บเป็นความลับและห้ามแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด
เวทย์ต้องห้าม คือเวทย์ที่เกี่ยวข้องกับความตาย ผู้ที่ใช้มัน ไม่ว่าถูกบังคับหรือด้วยความตั้งใจของตนก็ล้วนแต่มีความคิดทั้งสิ้น หากมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน จะถูกตราหน้าว่าขายวิญญาณให้กับปีศาจ และมีโทษตั้งแต่การเนรเทศจนไปถึงการประหารที่เป็นโทษสูงสุด ถ้าไม่ถูกจับได้ก็ไม่นับว่ามีความผิดหรอก จริงไหม…
เป็นเวทย์ต้องห้ามหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ทำให้ตามหาตัวฉันไม่พบก็พอแล้วล่ะ ปัญหาอย่างอื่นค่อยคิดหลังจากนั้นแล้วกัน
ด้วยความกังวลที่ต้องทิ้งหน่วยที่ตัวเองไป ฉันเลยเขียนจดหมายขึ้นมาสองฉบับพร้อมปิดผนึกอย่างดี
ฉบับหนึ่งฉันจะทิ้งมันไว้บนโต๊ะทำงานตัวนี้
ส่วนอีกฉบับฉันได้ใช้เวทย์ส่งมันไปวางบนโต๊ะของท่านปู่เรียบร้อยแล้ว
นี่ฉันกำลังจะทำมันจริงๆ งั้นหรือ…การตัดสินใจบางอย่างตอนที่อารมณ์ของตัวเองยังไม่คงที่เช่นนี้เป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ…
ฉันเดินไปหยุดลงตรงหน้ากระจกเพื่อมองใบหน้าของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์นี้คือความภาคภูมิใจของตระกูลเรา
‘…ดวงตาสีฟ้าราวกับผืนนภา เส้นผมสีขาวหม่นดุจปุยเมฆ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าลูกคือเรเวนสครอฟต์ ลูกสาวที่น่าภูมิใจของแม่’
ฉันหลับตาพลางนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ท่านแม่เคยพูดไว้ในสมัยที่ฉันยังเป็นเด็ก ดวงตาของท่านเป็นสีน้ำตาลอ่อนละมุน ช่างดูงดงามมากในสายตาของฉัน
แต่ทั้งฉันและเจราห์ เราต่างไม่มีใครที่มีสีตาเดียวกับท่านแม่เลยสักคน นั่นก็เพราะทุกคนในตระกูลเรเวนสครอฟ์นั้นมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก พลังนั้นมากถึงขนาดที่ทำให้สายเลือดทุกคนต้องมีดวงตาสีฟ้าบริสุทธิ์ และเส้นผมสีเงินกันทั้งนั้น
ฉันกัดไปที่ปลายนิ้วเพื่อทำให้เกิดแผล จากนั้นก็วาดอักขระและวงแหวนเวทย์ลงบนพื้น ด้วยเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากตัวของฉัน ยมทูตคงกำหมัดแน่นแน่ หากรู้ว่าฉันมาทำเรื่องแบบนี้หลังจากที่ฟื้นกลับมาจากความตายได้ไม่นานเนี่ย
จากวีรสตรี ตอนนี้ดันอยากกลายเป็นอาชญากรเสียอย่างนั้น
…เอาเป็นว่า ลาก่อนชีวิตที่คอยเอาแต่ผูกมัด
…ลาก่อนชีวิตทหารที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายกลับขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงแบบงงๆ
…ลาก่อนผู้ชายเฮงซวยที่เจอครั้งแรกในชีวิต
จากนี้ฉันจะผนึกพลังเวทย์ทั้งหมดของตัวเอง แล้วรีบหายๆ ไปจากชีวิตพวกเขาเสียที
“ลาก่อน ลูอันน่า…”
เมื่อวงเวทย์เสร็จสมบูรณ์ มานาในร่างเริ่มลดลงเรื่อยๆ พลังเวทย์ในร่างของฉันค่อยๆ อ่อนลง
แม้ว่าพลังจะค่อยๆ หายไป แต่ฉันก็ยังคงเห็นการไหลของกระแสมานาอยู่
…!!!
เมื่อมานาในตัวของฉันอยู่ในปริมาณที่น้อยลงในระดับที่อันตราย หัวใจของฉันอยู่ๆ ถูกบีบอย่างแรง จนถึงกับเข่าทรุด
ฉันเอามือกุมอกตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ยากเกินบรรยาย ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว ฉันรู้สึกเวียนหัวจนแทบจะอาเจียน
แต่ก็ต้องทนเอาไว้! จะมาล้มเลิกกลางคันตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสี้ยวพลังเวทย์ถูกผนึกลง จากนั้นวงเวทย์และความเจ็บปวดทั้งหลายก็หายวับไปกับตา
เฮ่อ~ ดูเหมือนจะยังรอดมาได้นะเนี่ย ฉันพยุงร่างของตัวเองขึ้นแล้วมองตรงไปยังกระจก มีปานรูปจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นบริเวณใต้ดวงตาข้างซ้ายของฉัน
เส้นผมถูกย้อมไปด้วยสีน้ำตาลอ่อนแปลกตา แถมดวงตาของฉันยังเปลี่ยนไปเป็นสีอัลมอนด์ จนดูเหมือนกับท่านแม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เอาล่ะ ไปกันเลยดีไหมตัวตนใหม่ของฉัน
…ลูน่า