ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 16: ฉันกับจิ้งจอก(1)
ฉันเอนตัวลงพร้อมกับยอมแพ้ให้กับความปุกปุยนั้นอย่างช่วยไม่ได้
ได้มานั่งชมท้องฟ้าแล้วเพลิดเพลินไปกับความผ่อนคลายแบบนี้ มันทำให้ฉันมีความสุขเสียจนคิดไปว่าทั้งหมดที่คือความฝัน
“นี่ ลูน่า”
เซนเรียกชื่อฉันพลางยกหางขึ้น อ่ะ…ฉันยังอยากลูบมันต่ออีกหน่อยจัง
ฉันทำแก้มป่องแล้วหันไปมอง ใบหน้าอันแหลมยาวนั้นอย่างไม่พอใจ
“เธอคิดว่าตอนนี้เราสนิทกันหรือยัง?”
คำถามของเขาทำให้ฉันฉุกคิดถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
เซนพยายามถามถึงครอบครัวของฉัน แต่ตอนนั้นฉันบอกปฏิเสธเขาไปเนื่องจากเราพึ่งเจอกันครั้งแรก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกับตอนนั้นแล้ว ฉันก็ไม่สามารถตอบไปตามตรงได้ว่าเราสนิทกันหรือเปล่า เพราะฉันไม่รู้ว่าคำจำกัดความของคำว่า ‘สนิท’ นี่มันต้องขนาดไหนกันแน่ แต่เท่าที่รู้คือตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องตอบคำถามนั้นบ้างแล้ว
“นายอยากถามอะไรฉันใช่ไหม…”
ฉันถามเขากลับพร้อมกับหันไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง
เพราะเขายอมให้ฉันจับหางนุ่มๆ นั่น เพราะงั้นฉันก็จะยอมตอบคำถามเขาเป็นการตอบแทนแล้วกัน
“ลูน่า เธอเป็นจอมเวทย์หรือเปล่า?”
“หมายถึงคนที่มีพลังเวทย์น่ะหรือ…”
“ถ้าจะให้ถามตรง คือฉันอยากรู้ว่าเธอเป็นคลาส Wizard หรือเปล่ามากกว่า”
คลาสทางการของฉันคือ Gunslinger ก็จริงอยู่ แต่คลาส Wizard เองก็ถือเป็นหนึ่งในคลาสที่ฉันเชี่ยวชาญเนื่องจากตระกูลเรเวนสครอฟต์ส่วนใหญ่ถูกสั่งสอนมาแบบนั้น
แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้มีพลังพอที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นจอมเวทย์ได้ เพราะงั้นฉันก็ควรตอบเขาไปตามตรง
“มันค่อนข้างอธิบายลำบากนะ แต่ตัวฉันตอนนี้น่ะไม่มีแม้แต่พลังเวทย์ให้สัมผัสด้วยซ้ำไป”
ฉันไม่ได้โกหกเลยนะ แต่การที่จะบอกว่าฉันเคยเป็นจอมเวทย์ แบบนั้นมันดูน่าสงสัยกว่าเสียอีก
“แล้วทำไมนายถึงถามแบบนั้น”
“เพราะฉันเห็นเธอใช้พลังแช่แข็งพวกวัตถุดิบพวกนั้นไง”
เซนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ว่าแล้วเชียว ตอนนั้นเขาเห็นฉันใช้พลังจริงๆ ด้วย
ฉันหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋า แล้วหลับตาลงพลางรวบรวมสมาธิ จากนั้นก็ควบคุมอากาศรอบตัวให้มีอุณหภูมิลดลงจนเห็นเป็นเกล็ดหิมะเล็กๆ
“นี่เป็นเพียงอุปกรณ์เวทย์ที่ฉันได้รับมาจากคนสำคัญ มันทำได้เพียงควบคุมอุณหภูมิในระยะที่จำกัดเท่านั้น ที่ฉันสามารถใช้พลังเวทย์ได้เป็นเพราะพลังเวทย์ที่คนๆ นั้นใส่เอาไว้”
พูดจบฉันก็ยื่นแหวนวงนั้นให้เขาดู เซนจ้องมันพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่น
“หืม~ นี่หรืออุปกรณ์เวทย์ คนที่กล้าให้ของที่มีราคาขนาดนั้นง่ายๆ หมอนั่นคงเป็นคนที่รวยมากๆ เลยใช่ไหม?”
“อืม ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง”
จะว่าไป ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่าตระกูลตัวเองมีกำลังทรัพย์ขนาดไหน ตั้งแต่เกิดมาเวลาที่ฉันอยากได้อะไร เพียงบอกหัวหน้าพ่อบ้านเขาก็จะไปจัดหามาโดยที่ไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ จะเรียกว่ารวยก็ได้ล่ะ
“จะว่าไป วันนี้เซนไม่ต้องทำงานหรือ? อย่าบอกนะว่านายแอบอู้อีก…”
“ใช่ที่ไหนกัน ฉันทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จแล้วต่างหาก เดี๋ยวนี้นอกจากการกำจัดมอนสเตอร์แล้วยังต้องไปมีปัญหากับเดอะบีสท์แถบอื่นอีก แถมยังมีเรื่องพวกโจรป่าเพิ่มมาด้วย วุ่นวายไปหมดเลยล่ะตอนนี้”
โจรป่า?…นั่นใช่เหตุผลที่สไตน์กังวลก่อนหน้านี้หรือเปล่า
ว่าแต่ทำไมแถวนี้ถึงได้มีโจรป่าได้ล่ะ หมู่บ้านที่มีอยู่มีกินไปวันๆ แบบนี้มีอะไรให้ปล้นกัน หวังว่าจะไม่ใช่โจรป่าที่ฉันเคยเจอเมื่อหลายเดือนก่อนนะ…
ที่สำคัญงานพวกนั้น มันดูจะหนักเกินไปสำหรับพวกเขาที่มีกันแค่สี่คน ถึงแม้ฉันจะพอรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งและมีความสามารถแค่ไหนก็ตาม แต่แบบนั้นมันอาจทำให้พวกเขาฝืนตัวเองเกินไปก็ได้ เจ้าเมืองของที่นี่กำลังคิดอะไรของเขาอยู่กันนะ
“แค่ลูน่าไม่ใช่จอมเวทย์ ฉันก็โล่งอกแล้วล่ะ”
เซนพูดพลางพ่นลมหายใจออกมา
พอได้ยินเขาบอกโล่งอก มันก็กระตุ้นความสงสัยฉันในทันที
“ทำไมนายถึงโล่งอกล่ะ?”
เซนทำท่าเหมือนจะไม่อยากบอก แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมา
“ที่จริงเดอะบีสท์มีความหลังไม่ดีกับพวกจอมเวทย์เท่าไหร่ เคยมีพวกเราบางส่วนถูกจับไปแล้วถูกคนพวกนั้นพยายามทดลองอะไรหลายๆ อย่าง…บางคนถึงขั้นคลุ้มคลั่งจนเสียสติไปเลยก็มี…”
ฉันพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้นะ!! ถูกจับไปทดลองงั้นหรือ!?! ทำไมเกิดเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นฉันถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ ถ้าเกิดฉันรู้ ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยเรื่องพวกนี้ไว้แน่
เรื่องน่ากลัวแบบนี้อย่างน้อยก็น่าจะมีคนส่งเรื่องมาให้บ้างสิ
“เกิดเรื่องขึ้นถึงขนาดนี้แต่อาณาจักรกลับไม่ทำอะไรเลยหรือ?”
เซนที่ได้ยินแบบนั้น เขาก็ขำออกมาอย่างเวทนา
“อาณาจักร? ทำไมอาณาจักรต้องมาช่วยเผ่าปีศาจที่ตัวเองเนรเทศด้วยเล่าลูน่า เจ้าพวกนั้นนอกจากจะเอาแต่คิดเรื่องชนะสงคราม แม้แต่ปากท้องหรือความลำบากของผู้คนแถบนี้ ยังไม่เห็นจะสนใจอะไรเลยแท้ๆ ไม่รู้ว่าทหารของอาณาจักรที่ทุกคนเชื่อมั่นนักหนานั่น ความจริงแล้วกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
ประโยคของเขาทำเอาหัวใจของฉันถูกบีบอย่างแรง เซนพูดถูก พวกฉันเอาแต่ให้ความสนใจกับสงครามจนปิดหูปิดตาไม่สนความเป็นอยู่ของประชาชนเลย
ความเขาจะปลอดภัยไหม…การปะทะกันจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรือเปล่า…ตอนที่อยู่สนามรบฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันคิดเพียงแค่จะทำอย่างไรให้สงครามนั้นจบลง ฉันอยากที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่สนใจเลยว่ามีทหารตายไปในครั้งนั้นกี่นาย เหล่าศัตรูที่ถูกฉันสังหาร ไม่ว่าจะนับเท่าไหร่ก็ไม่มีทางนับหมด
“นาย…เกลียดพวกทหารของอาณาจักร…มากเลยใช่ไหม?”
ฉันถามออกไป ทั้งๆ ที่ใจตัวเองเต็มไปด้วยความกังวล
“ก็ไม่ได้เกลียดหรอก แค่หมั่นไส้นิดหน่อย อันที่จริงก็รู้สึกขอบคุณนิดหน่อยเรื่องที่ช่วยหยุดสงครามนั่นนะ พวกที่ฉันเกลียดจริงๆ คือพวกจอมเวทย์ คลาสWizard ที่จับเผ่าปีศาจไปทรมานนั่นต่างหาก”
คำตอบของเขาไม่ได้ช่วยให้ความกังวลของฉันน้อยลง เพราะฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ นั่นทำให้เซนไม่เห็นสีหน้าที่เป็นกังวลนี้
ตอนนี้ฉันรู้สึกอึดอัดจนตัวเองหายใจลำบากแล้วสิเนี่ย…
“ฉันต้องแยกจากครอบครัวเพราะพยายามที่จะหนี ตอนเด็กๆ พวกเราเผ่าปีศาจยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างตอนนี้หรอกนะ ฉันเป็นเพียงแค่ลูกจิ้งจอกตัวเล็กๆ ที่ยังไม่รู้ประสีประสา หลังจากที่หนีมาได้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ ฉันไม่รู้วิธีที่จะออกหาอาหารด้วยตัวเองด้วยซ้ำ มีวันหนึ่งฉันพยายามเข้าไปขโมยอาหารของพวกมนุษย์จนถูกจับได้ พวกนั้นจับฉันแล้วคิดจะขายให้เป็นสัตว์เลี้ยงของพวกคนรวยๆ หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าขุนนางนั่นล่ะ…”
ฉันไม่รู้มาก่อนว่าช่วงเวลาวัยเด็กของเซนจะลำบากขนาดนี้ บางทีเจอเรื่องขนาดนั้นอาจจะทำให้เขาหวาดกลัวมนุษย์ไปเลยก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกล้าที่จะพูดคุยกับฉันตามปกติ เขากล้าหาญมากจริงๆ
“ก่อนที่จะถูกขายฉันตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาเพื่อหนี แต่นั่นทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะไม่รอด โชคดีที่ตอนนั้นสไตน์ผ่านมาเจอฉันเข้าพอดี หมอนั่นรักษาแผลให้พร้อมกับพาฉันไปหาหัวหน้า พออยู่กับพวกเขาไม่นาน เราก็เจออีวานในสภาพที่ไม่ต่างกัน หัวหน้าคอยดูแลแล้วสอนอะไรหลายๆอย่างให้แล้วตั้งใจจะพาพวกฉันไปส่งที่หมู่บ้านลับแลของเผ่าปีศาจ แต่พวกฉันตกลงกันแล้วว่าจะติดตามหัวหน้าไป ถ้าเขาเลือกที่จะเป็นทหารรับจ้างแล้วสู้อยู่ที่นี่ เราก็จะเอาด้วย ถึงตอนแรกจะโดนค้านหัวชนฝาก็ตาม แต่สุดท้ายหัวหน้าก็ยอมล่ะนะ”
เซนพูดออกมาอย่างติดตลก ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่ก็เอื้อมมือไปลูบหัวของเขาเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ฉันไม่ได้นึกถึงมันแล้วล่ะ”
โกหก…วันนั้นฉันยังเห็นเขาละเมอออกมาเพราะฝันร้ายอยู่เลย อดีตที่ฝังใจ มันไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ฉันพอที่จะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้าง เพราะฉันเองก็มีอดีต ที่ทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับได้อย่างสงบใจเช่นกัน
เสียงกรีดร้องและคำสาปแช่งที่มันยังวนเวียนอยู่ข้างหู ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเสียงเหล่านั้นก็ไม่เคยเบาลงสักที
“ก็อย่างที่เล่าไปนั่นล่ะ หัวหน้าก็เหมือนกับพ่ออีกคนของพวกเรา ถึงจะชอบขี้บ่นแล้วก็กังวลจนเกินเหตุ แต่เขาก็เป็นคนที่อ่อนไหวและใส่ใจคนอื่นมากกว่าใครเลยนะ เป็นไงล่ะ เท่ใช่ไหม?”
เวลาที่เซนพูดถึงคุณจี ฉันรู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลง การที่พวกเขายอมโดนประทับตราแล้วถูกใช้งานอย่างหนักเช่นนี้ ฉันรู้สึกได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าบางอย่าง
บางทีคุณจีอาจจะต้องการปกป้องอะไรบางอย่างที่อยู่แถบนี้ เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่จากไปไหนก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม แต่ฉันก็ขอเป็นกำลังใจให้พวกเขาอยู่ห่างๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน
พอได้ฟังเรื่องราวของเซน ประตูภายในใจของฉันก็ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง ฉันพยายามปกปิดตัวเองมาโดยตลอด แต่ในใจฉันเองก็รู้สึกอยากให้ใครสักคนรับฟังเรื่องราวของฉันอยู่เหมือนกัน
“ฉัน…เสียแม่ไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ คนที่สนิทและพอจะไว้ใจได้ก็มีเพียงท่าน…คุณปู่คนเดียวเท่านั้น”
พอฉันเริ่มเปิดปาก เซนก็เงียบแล้วหันมาตั้งใจฟัง เขากระดิกของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะวางหางนุ่มนิ่มนั้นไว้บนขาของฉันอีกครั้ง
“ฉันมีพี่ชายที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีในสายตาของคุณพ่ออยู่เสมอ คุณพ่อไม่เคยกล่าวชมหรือแม้แต่ยินดีในสิ่งที่ฉันทำ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่แม้แต่จะกอดฉันเลยด้วยซ้ำไป…”
เมื่อพูดถึงท่านพ่อ สิ่งแรกที่ฉันนึกถึงก็คือความเจ็บปวดที่เคยสัมผัสตรงที่แก้มซ้ายนี้ ฝ่ามือของท่านที่กระแทกเข้าที่หน้าของฉันอย่างจัง หลังจากท่านรู้เรื่องที่ฉันสมัครเข้ากองทัพ
สายตาที่เย็นชานั้นทำให้ฉันรู้สึกความเย็นยะเยือกราวกับถูกเขาร่ายผลึกเยือกแข็งมายาตรึงร่างกายเอาไว้ ฉันรีบหนีกลับไปที่ห้องของตัวเองโดนที่ได้ยินเสียงอันเกรี้ยวกราดนั้นดังไล่หลังมา วันถัดมาฉันก็เก็บกระเป๋าแล้วไปอาศัยอยู่ในกองทัพแทนที่จะเป็นคฤหาสน์ พอนึกถึงเรื่องนั้นครั้งนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ขนาดแค่สมัครเข้ากองทัพยังทำให้เขาโกรธถึงเพียงนั้น
แล้วนี่ถ้าฉันถูกส่งตัวกลับไปที่คฤหาสน์ ท่านพ่อไม่ฆ่าฉันให้ตายคามือท่านเลยหรือ
ร่างกายของฉันสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ
“ลูน่า?”
เซนมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง ฉันฝืนยิ้มกลับไปแล้วพูดต่อ
“ฉันอยากเกิดเป็นผู้ชายแทนที่จะเป็นผู้หญิง เพราะว่าคุณพ่อเอาแต่ให้ความรักพี่ชายจนฉันอดที่จะอิจฉาไม่ได้มาตลอด พี่ชายของฉันเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับฉัน เขาเอาแต่เลี่ยงที่จะเจอหรือพูดคุยกับฉันมาเกือบสิบปี ถึงว่าเมื่อไม่นานมานี้เราจะคุยกันบ้างแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังมีบางอย่างในใจ”
“เธอเกลียดพวกเขาหรือ?”
“ใช่ ฉันเกลียดพวกเขา”
สีหน้าของเซนดูจะแปลกใจกับสิ่งที่ฉันพูด ดูเหมือนลูน่าในสายตาเขาจะเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ที่ไม่น่าจะคิดแค้นใครมาก่อน
ขอโทษด้วยที่ทำให้ผิดหวัง แต่ฉันเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นแถมยังนิสัยไม่ดีอีกต่างหาก ถ้าเราได้รู้จักกันอีกสักหน่อย เขาคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันแน่
“นี่คือเหตุผลที่เธอหนีออกจากบ้านมาหรือ? เพราะคุณพ่อใจร้ายคนนั้นใช่ไหม?”
“เรื่องคุณพ่อนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ฉันตัดสินใจหนีมาเพราะอะไรหลายๆ อย่างน่ะ”
อยู่ๆ ภาพของลูเซียนก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน
ตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ หลังจากที่ตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตคู่กับเซเลน่าทำให้เขามีความสุขดีหรือเปล่า ฉันจะไม่ขออวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข แต่ก็จะไม่ขอสาปแช่งให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขาเช่นกัน
เขาเลือกคนอื่นไปแล้ว คนโดนทิ้งอย่างฉันควรที่จะเดินหน้าต่อแล้วลืมเขาไปให้ได้สักที หากยังจมอยู่กับอดีต มันจะทำให้ฉันยิ่งดูน่าสงสารเกินไป
ฉันหันไปลูบหางของเซนเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง และแล้วสายลมพัดมาอีกครั้งเหมือนกับกำลังจะช่วยปลอบโยนจิตใจอันบอบช้ำนี้