ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 1: เหตุผลที่สงครามสิ้นสุดลง
สงครามที่พรากสิ่งสำคัญไปจากทุกคน นำพามาแต่ความเศร้าโศกและการสูญเสีย พวกเขาคิดว่าความเศร้าเหล่านั้นจะถูกเยียวยาได้ โดยการจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างเอิกเกริกเช่นนี้งั้นหรือ
เพราะเป็นงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้น โดยมีราชวงศ์เป็นเจ้าภาพ ดังนั้นเหล่าทหารและขุนนางที่ต่างนำพาชัยชนะมาแก่อาณาจักรนิเวีย ทุกคนต่างได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานกันได้อย่างภาคภูมิใจ
ถึงจะบอกว่าได้รับเกียรติ แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกที่คอยเอาแต่มุดหัวอยู่หลังป้อมปราการอย่างน่าทุเรศ หรือไม่ก็พวกที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ดันเสนอหน้าออกมาแย่งความดีความชอบของคนอื่นอย่างหน้าไม่อายเท่านั้นล่ะ ไม่อยากเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนี้เลยจริงๆ
ท่ามกลางห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราและเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะ
มีเพียง ‘ฉัน’ ที่เอาแต่ยืนควงแก้วไวน์ไปมาด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย ในขณะที่ทุกคนต่างสวมชุดเดรสฟูฟ่อง ฉันกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบทหารเต็มยศเพื่อกันเจ้าพวกที่น่ารำคาญออกไป
ฉันมีชื่อว่า ลูอันน่า เรเวนสครอฟต์ บุตรสาวเพียงคนเดียวของดยุกเรเวนสครอฟต์ ผู้เป็นที่ปรึกษาคนสนิทขององค์จักรพรรดิคนปัจจุบันและยังเป็นหลานสาวของท่านจอมพล ผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งอาณาจักรนิเวีย ท่านปู่นิโค เรเวนสครอฟต์อีกด้วย
เดิมทีแล้วเพื่อหนีจากการหมั้นหมายที่ท่านพ่อเป็นคนจัดเตรียมไว้ ไม่ว่าฉันจะพยายามปฏิเสธมากแค่ไหน ท่านก็ยังดึงดันที่จะให้ฉันแต่งงานให้ได้ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมกองทัพอย่าไม่คิดหน้าคิดหลัง ตั้งแต่เรื่องในคราวนั้น ไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรือถูกทำอะไรมา ท่านพ่อก็ไม่เคยที่จะสนใจฉันอีกเลย ไม่แม้แต่จะชายตามองเลยด้วยซ้ำไป ฉันรู้สึกว่าระหว่างเราได้เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถต่อกันได้ติดอีกต่อไปแล้ว
นี่ฉันถูกเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ช่างน่าน้อยใจที่ต่อให้ฉันจะสร้างความดีความชอบต่อวงศ์ตระกูลมากเพียงใจ ท่านพ่อก็ไม่เคยจะถูกใจหรือกล่าวชมฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ใช่สิ! ใครมันจะไปสู้ลูกชายคนดี คนเก่งของเขาได้ล่ะ ขนาดเข้ากองทัพก่อนฉันแค่ไม่กี่ปี ตอนนี้ก็กลายเป็นพลทหารเอกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรไปเสียแล้ว ขนาดวันที่องค์จักรพรรดิเลื่อนตำแหน่งให้เราสองคน ในขณะที่พี่ชายตัวเองได้รับคทาสตาร์ฟรีซ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในคทาชั้นดี ซึ่งถูกสั่งทำมาเป็นพิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะ ส่วนฉัน…ควรนับว่าการสบตากันในรอบหลายปีนั้นเป็นรางวัลได้หรือเปล่านะ ถึงพยายามจะคิดปลอบใจตัวเองแค่ไหนก็ตามแต่ความจริงก็คือ ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับรางวัลอะไรจากท่านพ่อเลย
ขนาดพวกคนใช้หรือคนสวนในคฤหาสน์ยังได้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นประจำทุกปีเลยด้วยซ้ำ ทำไมทำกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้เนี่ย ที่ท่านเลือกปฏิบัติขนาดนี้ คงเป็นเพราะท่านไม่ชอบใจที่ฉันเอาแต่ขัดคำสั่งเขาอยู่เรื่อยแน่เลย เมื่อไหร่จะยอมเปิดใจแล้วเข้าใจกันบ้างนะ ให้ตายสิ
คนที่ยังคอยยินดีและให้กำลังใจฉันเสมอ ในครอบครัวเห็นทีคงจะมีแต่ท่านปู่คนเดียวนี่ล่ะมั้ง
ฉันได้รับการฝึกและเข้ากองทัพตั้งแต่อายุเก้าขวบ เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันได้พบกับเขาคนนั้น…
ลูเซียน คาร์ดิเนิล บุตรชายคนโตของตระกูลคาร์ดิเนิล หนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กับตระกูลเรเวนสครอฟต์ของเรา ฉันรู้จักกับลูเซียนตั้งแต่ที่พวกเรายังเป็นทหารฝึกหัดใหม่ๆ
เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทั้งฉันและเขาต่างเคยอยู่ในหน่วยเดียวกันมาก่อน และยังผ่านสนามรบร่วมกันมานับไม่ถ้วน จนตอนนี้พวกเราทั้งคู่ก็อายุย่างเข้าสิบแปดปี…เคยคิดมาตลอดว่าระหว่างเราคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
แต่ก่อนที่สงครามสุดท้ายจะเริ่มขึ้น ลูเซียนได้เอ่ยปากขอหมั้นหมายกับฉัน เขาสัญญาว่าหลังจบสงครามนี้จะมาสู่ขออย่างเป็นทางการแล้วเราทั้งคู่ก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
‘เธอคือรักแรกและรักเดียวของผมนะ เมื่อสงครามจบลงแล้ว…เธอจะยินดีมาเป็นภรรยาของผมไหม?’
ประโยคนั้นดังในหัว ฉันทวนนึกถึงคำพูดนั้น ท่ามกลางสนามรบที่ค่อยๆ บั่นทอนชีวิตของทหารไปคนแล้วคนเล่า
ต่อให้เสียงกระสุนและเสียงปะทะของดาบจะดังมาเพียงใดก็ไม่อาจกลบเสียงในหัวนี้ไปได้หรอกนะ
ฉันจะไม่ตาย มีคนที่ฉันต้องกลับไปหาให้ได้อยู่ คนที่ฉันรัก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันจินตนาการว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับใครสักคน ตัวเองที่เป็นดัชเชสธรรมดาๆ คอยปักเย็บผ้าหรือเดินชมสวนดอกไม้แทนการจับดาบและสังหารศัตรู
ลูเซียนทำให้ฉันมีความสุขที่คิดเช่นนั้น เพียงแค่ได้อยู่ข้างเขา ฉันก็ไม่รู้อธิบายความสุขเหล่านี้ออกมาเป็นคำพูดอย่างไรได้หมด
ฉันทั้งรู้สึกสงบ อบอุ่นหัวใจและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันฉันเองก็รู้สึกกลัว…
ลูเซียนกับฉัน เราต่างเป็นทหารที่มียศสูงด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราสองคนต้องไปเป็นแนวหน้าเพื่อนำทัพในสนามรบ
หากสงครามยังคงมีอยู่แบบนี้ ไม่ฉันก็เขา เราคนใดคนหนึ่งอาจจะต้องตายเข้าในสักวันก็ได้
‘เราหนีไปที่ไหนสักแห่งไม่ได้หรือลูเซียน’
‘เธออยากไปที่ไหนล่ะ?’
‘ไม่รู้สิ ที่ไหนก็ได้ที่ไกลจากสงคราม แค่เราสองคน’
‘รู้นี่ว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้ โทษของการหนีทหารมันหนักมากนะรู้ไหมลู’
ลู ชื่อเล่นที่ลูเซียนใช้เรียกฉันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคน ฉันได้นึกถึงใบหน้าของเขาเมื่อคืนก่อนที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ นั่นทำให้ฉันได้รู้ว่าเขาเองก็อยากจะจบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน
และฉันจะเป็นคนจบสงครามนี้ให้เอง
พวกเราคือหน่วยทหาร Alpha-03 ซึ่งเป็นหน่วยทหารอากาศที่มีหน้าที่คอยปกป้องน่านฟ้าของอาณาจักร บนท้องฟ้าแห่งนี้ไม่มีใครที่จะแข็งแกร่งไปมากกว่าฉันอีกแล้ว ในฐานะจอมเวทย์คลาส Gunslinger ฉันต้องปกป้องทุกคนโดยใช้คทาเวทย์ในมือยิงโจมตีศัตรูจากด้านบนแถมยังต้องคอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือจากระยะไกลอีก ถึงสถานการณ์จะดูตึงมือ แต่ฉันเชื่อว่าลูกน้องในหน่วยทุกคนจะสามารถทำหน้าที่ในส่วนของฉันต่อได้
แม้ใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่กี่วินาที แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะทิ้งหน่วยของตัวเอง แล้วบินขึ้นไปเหนือชั้นก้อนเมฆ
“นั่นท่านจะไปไหนกันครับ!?!”
“ท่านลูอันน่า อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ นะครับ!”
ทหารในหน่วยคนอื่นๆ พยายามที่จะบินตามฉันมา แต่ก็ถูกศัตรูยิงสกัดขวางทางเอาไว้ จนไม่สามารถตามมาได้
ฉันบินต่อไปข้างหน้า ไม่นานฉันก็ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าของอาณาจักรลัซได้สำเร็จ
ทางเดียวที่จะจบสงครามได้ ก็มีแต่ต้องทำให้กองทัพของเราเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียก่อน ไม่ว่าจะอาวุธ กลยุทธ์ หรือแม้แต่กำลังรบ อาณาจักรนิเวียมีมากกว่าอาณาจักรลัซหลายเท่าตัว แต่เหตุผลที่อาณาจักรของเรายังไม่เคยชนะ แถมยังต้องทำศึกกันต่อมากว่าสิบปี เหตุผลก็เป็นเพราะบาเรียนั่น…
บาเรียที่มีพลังมหาศาล มันคือไพ่ตายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือพลังเวทย์ พวกจอมเวทย์ที่สังกัดในกองทัพวิเคราะห์กันว่าบาเรียนี้ ถูกสร้างขึ้นมาโดยการเชื่อมต่อกับผลึกมานา ที่ฝังอยู่ใต้อาณาจักรลัซโดยตรง ดังนั้นพลังเวทย์ของบาเรียจะไม่มีทางหมดลงตราบใดที่ผลึกมานายังอยู่
ทางที่ดีที่สุดคือต้องทำลายผลึกมานาที่เป็นแหล่งพลังงานของบาเรียนั้นเสียก่อน จากนั้นกองทัพก็จะสามารถบุกโจมตีและยึดครองอาณาจักรได้โดยง่าย แต่ว่ากันตามจริง เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้แต่แรกแล้ว
ที่ดิอาร์คแห่งนี้มีสิ่งที่มานา ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักสำคัญในการขับเคลื่อนพลังเวทย์ บนโลกใบนี้มีการไหลเวียนของกระแสมานาอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีเพียงผู้ใช้พลังเวทย์เท่านั้นที่จะสามารถเห็นการไหลของกระแสเหล่านี้ได้ และผลึกมานาก็คือเศษเสี้ยวของพลังงานที่ตกผลึกและรวมตัวกัน จนกลายเป็นก้อนคริสทัลขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ใต้พื้นดินไปกว่าสองพันเมตร
เหตุผลที่แท้จริงในการทำสงครามครั้งนี้ก็คือการแย่งชิงผลึกมานาที่ว่านั่นต่างหาก เพราะนอกจากมันเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ได้ไม่มีสิ้นสุดแล้ว ยังมีพลังงานแฝงที่ส่งผลให้ผืนดินที่อยู่แถบนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้า หรือสมุนไพรชนิดต่างๆ ไม่ว่าชนิดไหนก็สามารถเพาะปลูกได้อีกต่างหาก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นผลึกมานาคือแหล่งพลังงานที่ไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายให้สูญสลายหายไปได้
ถึงจะบอกว่าทำให้สูญสลายหายไปไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผลึกจะไม่สามารถถูกทำลายได้ หากถูกพลังเวทย์โจมตีด้วยพลังที่มากพอจะทำให้กระแสของมานาปั่นป่วน ถึงตอนนั้นเองกระแสจะเกิดการไหลย้อนกลับ จนทำให้ผลึกมานานั้นเกิดรอยร้าวและแตกออกในที่สุด แต่เวลาเพียงไม่นานมันก็จะฟื้นฟูตัวเอง แล้วกลับมาเป็นผลึกคริสทัลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสำหรับอาณาจักรลัซแล้ว การที่ผลึกมานาแตกออกจะทำให้บาเรียที่กางไว้สลายหายไปเช่นกัน
ต่อให้ผลึกฟื้นตัวกลับมา แต่ในช่วงเวลานั้นก็คงถูกอาณาจักรนิเวียเข้าโจมตีจนไม่มีเวลาออกมากางบาเรียอีกรอบแล้วล่ะ นั่นถือเป็นโอกาสที่จะพลิกกระดานของสงครามครั้งนี้
ลองเสี่ยงดูสักตั้งแล้วกัน!
[[ คิดจะทำอะไรของเธอน่ะ!? ออกจากตรงนั้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ]]
ใครบางคนใช้เวทย์โทรจิตตรงมาหาฉัน เมื่อก้มลงไปมอง ก็พอเข้ากับสีหน้าอันตกใจของลูเซียน เจราห์ รวมไปถึงท่านปู่ที่กำลังสู้อยู่ในทัพแนวหน้า
อุตส่าห์บินขึ้นมาเหนือเมฆแล้วแท้ๆ พวกเขาเห็นได้อย่างไรกันเนี่ย แต่ถ้าหากพวกเดียวกันยังสังเกตเห็น เกรงว่าฉันคงต้องทำเวลาหน่อยแล้ว
ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากพร้อมกับฉีกยิ้ม…
‘ไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ’
ฉันตั้งสมาธิพร้อมกับจับคทาในมือมั่น จากนั้นก็รวบรวมอณูมานาจากบริเวณรอบข้างให้มารวมอยู่ในจุดๆ เดียว แต่พลังเวทย์เพียงแค่นี้ไม่พอที่จะยิงทะลุไปจนถึงจุดที่ผลึกมานาฝังอยู่ได้หรอก ดังนั้นฉันจึงดึงพลังเวทย์ทั้งหมดในร่างกายออกมา เพื่อสร้างวงแหวนเวทย์ขึ้นอีกสามชั้น นั่นทำให้อณูมานาที่รวมเอาไว้นั้น มีพลังงานมากขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังเวทย์ขนาดใหญ่
ฉันยิงมันออกไป ก่อนที่ศัตรูจะสังเกตเห็น
ลำแสงขนาดใหญ่ได้ทะลวงผ่านพื้นดินไปด้วยการระเบิดพลังทำลายล้างอันมหาศาล ฝุ่นผงและสะเก็ดหินกระจายปลิวว่อนรอบทิศทาง ศัตรูที่อยู่ภายในบริเวณนั้นเองก็กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทางด้วยเช่นกัน
พื้นดินถูกทะลวงไปจนกลายเป็นหลุมที่ลึกสุดลูกหูลูกตา หลังจากทำลายชั้นหินที่เกะกะออก มีแสงสว่างบางอย่างส่องออกมาจากปลายความมืดนั้น มันก็คือผลึกมานาที่ว่านั่นเอง
ขนาดใช้พลังทั้งหมดไปขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ยังไม่มากพอที่จะทำให้ผลึกเกินรอยร้าวได้เลยหรือเนี่ย
ฉันใช้พลังเวทย์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด บินพุ่งลงไปในหลุมนั้น แล้วหยุดลงตรงหน้าผลึก
แม้จะรู้สึกเหนื่อยหอบจนไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองจะร่วงไปเมื่อไหร่ มาถึงขนาดนี้แล้ว ใครมันจะไปยอมแพ้กันล่ะ
อีกนิดเดียว….อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น…
ฉันจ่อปลายคทาไปทางคริสทัล โดยที่เว้นระยะห่างออกมาเล็กน้อย พลังเวทย์ตอนนี้ก็แทบจะไม่เหลือ กระแสมานาที่อยู่ตรงนี้ มีมากเกินไปจนทำให้จับสัมผัสทิศทางที่แน่นอนไม่ได้เลย
รู้สึกได้ถึงความร้อนที่สัมผัสได้จากฝ่ามือ เพราะการยิงระเบิดพลังเมื่อครู่นั้น รุนแรงจนทำการเกิดบาดแผลลากยาวไปจนถึงหัวไหล่
พอรู้สึกตัวอีกทีเลือดก็ได้อาบแขนทั้งสองของฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวียนหัวจัง ดูเหมือนว่าเลือดจะไหลออกมามากกว่าที่คิด ตอนนี้ฉันแทบไม่มีแรงประคองสติของตัวเองแล้วด้วยหรือเนี่ย
ก่อนที่สติของตัวเองจะหลุดลอยไป ฉันได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายทำบางอย่าง หากไม่เหลือพลังเวทย์แล้ว ใช้อย่างอื่นแทนเสียก็หมดเรื่อง
…!!!
วงแหวนเวทย์ทั้งสามปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉัน แต่มันไม่ใช่พลังเวทย์
กลุ่มก้อนพลังงานขนาดใหญ่จากไหนไม่รู้รวมตัวอยู่ที่ปลายคทาของฉัน ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด แต่ฉันก็เลือกที่จะสลัดความลังเลทั้งหมดทิ้งไป พร้อมกับยิงพลังปริศนานี้ตรงเข้าไปที่ผลึก
ไม่ว่าจะเป็นพลังแบบไหน ถ้ามันสามารถทำลายผลึกตรงหน้าล่ะก็…ต่อให้เสี่ยง ฉันก็ยินดีที่จะใช้!
ทันทีที่ลำแสงนั้นถูกยิงออกไป ฉันรับรู้ได้ทันทีว่ามันแรงกว่า เร็วกว่า และทรงอานุภาพมากกว่าลำแสงก่อนหน้านี้มาก คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นหลังจากแรงระเบิดนั้นทำให้แผ่นดินสั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
ผลึกมานานั้นแตกสลายออกต่อหน้าต่อตา ไม่นานร่างอันร่อแร่ของฉันก็ล้มลง…
เมื่อแรงสั่นสะเทือนสงบลง บาเรียที่กางอยู่ล้อมรอบอาณาจักรลัซก็คลายออก เมื่อนั้นกองทัพของอาณาจักรนิเวียจึงรีบทำการบุกเข้าไปโจมตีในทันที
ฉันถูกช่วยเหลือได้ทันอย่างหวุดหวิด โดยที่ไม่ถูกทหารฝ่ายศัตรูชิงลงมือไปได้เสียก่อน
ไม่นานผลึกที่แตกออกก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นผลึกคริสทัลอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเอง ทางอาณาจักรนิเวียก็สามารถเข้ายึดครองอาณาจักรลัซได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชัยชนะที่แลกมาด้วยความเป็นความตายของฉัน…
หลังจากสงครามจบลง ฉันถูกส่งตัวไปเข้ารับการรักษาในทันที แม้จะเสียเลือดและพลังเวทย์ไปมากจนเกือบจะไม่รอด
ในช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่ฉันนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ๆ กระแสมานาในร่างกายของฉัน ก็เกิดการต่อต้านจนทำให้หัวใจหยุดเต้นไปหลายต่อหลายครั้ง ในขณะที่แพทย์ต่างลงความเห็นกัน ว่าฉันอาจจะไม่มีทางรอดหรือฟื้นขึ้นมาได้อีกต่อไป ตอนนั้นเองฉันกลับลืมตาตื่นขึ้นมาราวกับมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แถมกระแสมานาในร่างกายยังไหลเวียนได้ตามปกติอีก
ร่างกายของฉันฟื้นตัวหลังจากที่ลืมตาตื่นมาเพียงไม่กี่วัน ท่านปู่ได้มารับฉันเพื่อที่จะไปรักษาตัวต่อที่คฤหาสน์ แต่เมื่อมีข่าวว่าฉันได้ฟื้นกลับมาอาการโคม่าแล้ว ทางอาณาจักรก็ได้ส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงมาให้ทันที
ถึงท่านปู่จะไม่อยากให้มา แต่ฉันเบื่อที่จะนอนอืดอยู่บนเตียงแล้วนี่นา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวฉันถึงได้มายืนอยู่ในที่แห่งนี้
“ใส่ชุดอะไรของเธอมากันเนี่ย?”
บุรุษผมสีเงินทอประกาย ดวงตาสีฟ้าสดใสงดงามราวกับท้องฟ้ายามเช้าที่เป็นลักษณะเฉพาะของคนตระกูลเรเวนสครอฟต์เช่นเดียวกับฉัน
ชายคนนี้ก็คือเจราห์ เรเวนสครอฟต์ พี่ชายของฉันนั่นเอง
“ในบัตรเชิญเขียนว่าสามารถสวมชุดอะไรมาร่วมงานก็ได้นี่คะ”
“หึ นั่นเขาพูดถึงนายทหารทั่วไปต่างหาก ขุนนางกับผู้ดีคนอื่นเขาก็แต่งเสื้อผ้าอาภรณ์หรูอย่างสมเกียรติมากันทั้งนั้น ที่เธอเลือกชุดเครื่องแบบแทนที่จะเป็นเดรสที่เหล่าคนใช้เตรียมให้…คงเพราะตั้งใจจะยั่วโมโหท่านพ่อมากกว่าล่ะมั้ง”
“ฉันจะไปยั่วโมโหท่านพ่อทำไมกันคะท่านพี่”
“ไม่รู้สิ คงเพราะท่านพ่อไม่ยอมเอ่ยปากชมทั้งๆ ที่เธอเป็นคนหยุดสงครามครั้งนี้ได้กระมังนะ”
พอถูกพูดจี้ใจดำแบบนี้แล้ว ฉันก็อดเบ้ปากใส่พี่ชายจอมกวนคนนี้ไม่ได้
“…วันนี้ท่านพี่ดูดีมากเลยนะคะ”
“หึๆ น้องสาวเอ๋ย~ ในที่สุดก็รับรู้ถึงความหล่อของพี่ชายคนนี้แล้วหรือเนี่ย~”
“แน่นอนสิคะ~ ใบหน้าไร้ที่ติยากจะหาใครเทียบ แบบนี้แล้วอีกไม่นานเหล่าคุณหนูคงต่างพากันส่งจดหมายเชิญดูตัวมาให้ท่านพี่อีกเพียบแหงเลยค่ะ”
ฉันพูดจิกกัดพลางยิ้มออกไปอย่างเจ้าเล่ห์ เจราห์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเหงื่อตกเพราะกลัวว่ามันจะเป็นไปตามนั้น
สิ่งที่เราสองพี่น้องมีเหมือนกัน ก็คือเราไม่อยากถูกจับแต่งงานโดยการจัดเตรียมของท่านพ่อเนี่ยล่ะ
“พี่ตัดสินใจไปแล้วว่าจะแต่งงานหลังจากเธอออกเรือนไปแล้ว แบบนี้คงไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิตแล้วมั้งเนี่ย”
“ตายจริง…ฉันเกรงว่าท่านพี่อีกไม่นาน เวลานั้นคงใกล้มาถึงแล้วล่ะค่ะ”
ฉันพูดออกไปพลางยิ้มเยาะ เจราห์มองฉันอย่างเสียอาการ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาแล้วกระซิบที่ข้างหู
‘อย่าบอกนะว่าหมอนั่นขอเธอแล้วน่ะ?’
ฉันไม่ตอบ แล้วควงแก้วไวน์ไปมาอย่างอารมณ์ดี
จะกังวลเรื่องแต่งงานไปทำไมในเมื่อลูเซียนเขาขอฉันตั้งแต่ก่อนออกไปรบขนาดนั้น
แม้ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ฉันจะไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาเลยก็ตาม แต่ฉันยังพอเข้าใจได้ว่าหลังจากที่สงครามจบลง ในฐานะทหารระดับสูง เขาคงมีเรื่องที่ต้องจัดการ
เมื่อวานฉันเองก็พึ่งจะจัดการเรื่องเงินช่วยเหลือและจดหมายแสดงความเสียใจให้กับครอบครัวของเหล่าทหารที่เสียชีวิตไปในสงครามครั้งนี้ด้วย
แต่ลูเซียน…นายยังมีเรื่องที่ต้องพูดกับฉันหลังสงครามจบลงไม่ใช่หรือไง จนป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่มาสักทีล่ะ
ขณะที่คิดถึงเขาแก้มของฉันก็ร้อนผ่าว หัวใจเองก็เต้นเร็วจนไม่อาจที่คุมได้ คิดถึงนายเหลือเกิน
… … …
ไม่นานภายในงานก็เริ่มมีเสียงซุบซิบอะไรบางอย่าง
ฉันและเจราห์ต่างให้ความสนใจและมองไปที่ทางเข้างาน
เมื่อฉันเห็นลูเซียนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยชุดทางการสีขาวเตะตา เลยฉีกยิ้มออกมากว้าง
“ละ…”
ก่อนที่จะโบกมือแล้วเรียกชื่อเขา ตัวฉันได้หยุดชะงักลงในทันที เมื่อได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินคล้องแขนเคียงคู่มาพร้อมกับเขา
“พันเอกลูเซียน คาร์ดิเนิลและคู่หมั้นของเขา คุณหนูเซเลน่า ไพร์ดเนอร์ได้มาถึงแล้ว!”
เมื่อเสียงประกาศจบ ภายในงานก็เริ่มมีเสียงฮือฮาเกิดขึ้น ผู้คนต่างให้ความสนใจและเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยความตื่นเต้น
ตรงข้ามกับฉันที่ในหัวมีแค่คำถามอยู่เต็มไปหมด…กลางอกก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก…ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นจนไม่อาจอธิบายได้…
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย