ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 51 ไม่เจอกันแป๊บเดียว จำผมไม่ได้แล้วเหรอ?
ตอนที่ 51 ไม่เจอกันแป๊บเดียว จำผมไม่ได้แล้วเหรอ?
ตอนที่ 51 ไม่เจอกันแป๊บเดียว จำผมไม่ได้แล้วเหรอ?
ซูเถาคิดไม่ถึงว่าในตอนเย็นจะมีผู้เช่าแจ้งมาในกลุ่มว่าไม่มีไอศกรีมแล้ว เมื่อไปดูก็พบว่ามันว่างเปล่าจริง ๆ เธอเลยรีบเติมอย่างรวดเร็วด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว
กำไรสุทธิของเครื่องไอศกรีมค่อนข้างสูง และการขายหมดในหนึ่งครั้งได้กำไรสุทธิ 1,200 เหลียนปัง
เพิ่งจะเติมของเสร็จ จู่ ๆ จวงหว่านก็โอนเงินมาให้เธอ 400 เหลียนปัง ซูเถาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือเงินค่าไอศกรีมมื้อกลางวันสำหรับลูกทั้งสองของเธอ
เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธและส่งข้อความไปถามเธอว่า
“เจี่ยนไคอวี่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้กลับมาพร้อมกับพวกของสือจื่อจิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยรักษาใบหน้าของเฉินซีได้ พี่จะเอายังไงต่อไปดีคะ?”
จวงหว่านรู้สึกไม่สบายใจมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “ฉันรู้ ฉันต้องรักษาเฉินซีให้หาย แต่ว่าตอนนี้เราเป็นศัตรูกับเขตตะวันออกไม่ใช่เหรอ? ผู้ที่ใช้พลังในการรักษาแซ่จงน่าจะเป็นพวกเดียวกับกู้หมิงฉือ”
ซูเถาไม่สนใจ “พวกเขาเป็นศัตรูกับเราฝ่ายเดียว แต่เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเขา ถ้าเราจ่ายเงินให้เขามากพอ คนแซ่จงจะมีปัญหากับเงินนี้เหรอ?”
มุมปากของจวงหว่านกระตุก “ที่กู้หมิงฉือทำลายชื่อเสียงของพวกเรา คุณไม่สนและไม่เก็บมาใส่ใจจริง ๆ สินะ แล้วถ้ากู้หมิงฉือเขาไม่ยอมล่ะ”
“ถ้าพี่ไม่ลองก็ไม่มีทางรู้ว่ากู้หมิงฉือจะยอมหรือไม่ยอม พวกเขาเป็นนักธุรกิจ พวกเราเป็นลูกค้า ไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ คืนนี้พี่เขียนจดหมายปรึกษาแพทย์แล้วพรุ่งนี้ให้คนส่งไปที่เขตตะวันออก เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องกังวลนะคะ”
จวงหว่านตกตะลึงกับเธอเล็กน้อย แต่ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล แต่ก็รู้สึกอีกว่ากู้หมิงฉือนั้นไม่น่าพูดคุยด้วย
ช่างมันเถอะเขียนไปก่อนแล้วกัน ลองดูสักตั้ง
ช่วงกลางดึก ซูเถานกฮูกกลางคืนและลูกแมวน้อยทั้งสองตัวปรากฏตัวขึ้นที่สวนสาธารณะเพื่อเริ่มทำงาน
ซูเถาถือแบบร่างแล้วเริ่มต้นสร้างอย่างเมามัน น้ำพุนั้นไม่ใช่ทรงวงกลมธรรมดา แต่เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบมุมโค้งมน ท่อที่พ่นน้ำถูกติดไว้ที่มุมทั้งสี่ และน้ำที่พ่นออกมาจะมารวมกันตรงจุดศูนย์กลาง
มีการเพิ่มราวจับทั้งสองฝั่งของน้ำพุ เพื่อที่เวลาเล่นนั้นจะได้สะดวก เรียกได้ว่าเป็นทั้งบ่อน้ำและน้ำพุ
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งไฟใต้น้ำซึ่งสามารถส่องสว่างได้แม้ในเวลากลางคืน
มีเก้าอี้ผ้าใบทั้งสองด้านของน้ำพุ สามารถนอนอาบแดดได้หลังจากว่ายน้ำ นอกจากนี้ยังมีศาลาที่มุมล่างขวาของน้ำพุ ซึ่งสามารถเพลิดเพลินไปกับความเย็นของน้ำ นั่งรับลมและสนทนาได้
หลังจากสร้างน้ำพุเสร็จ คลังเก็บเงินเล็ก ๆ ของซูเถาก็เหลือเพียง 30,000 เหลียนปัง
นอกจากนี้น้ำพุยังต้องจ่ายค่าน้ำและค่าการฆ่าเชื้อ 6,000 เหลียนปังทุกเดือน และระบบจะจัดการเปลี่ยนน้ำและฆ่าเชื้อทุก ๆ 3 วัน
หลังจากตรวจสอบรายละเอียดแล้ว ซูเถาพอใจมาก แค่เธอต่อเข้ากับระบบก็สามารถเปิดปิดน้ำพุได้
ทันทีที่เปิดน้ำพุทั้งสี่มุม ซูเถาก็รู้สึกว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลงมาก แต่ก็จะเย็นเกินไปหากเผชิญกับลมเย็นยามค่ำคืน
เจ้าปุกปุยทั้งสองใช้อุ้งเท้าน้อย ๆ จุ่มน้ำจากข้างสระแล้วเลียอุ้งเท้าของมันเพื่อดื่มน้ำ
กลับมาที่อาคารที่พัก ซูเถาใช้เวลาตกแต่งห้องชุด 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน มีพื้นที่ทั้งหมด 120 ตารางเมตร มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วน ห้องนั่งเล่น ระเบียง ห้องน้ำ และห้องนอนอีก 2 ห้องพร้อมกับห้องแต่งตัว เรียกได้ว่ากว้างขวางและครบครันที่สุดในบรรดาห้องพักทั้งหมด
เมื่อพิจารณาแล้วว่าแม่ของเฉินเทียนเจียวนั้นมีอายุมากแล้ว ขาของเธอคงเดินไม่ค่อยสะดวกนัก ซูเถาจึงเปลี่ยนให้ห้องชุดนี้วางไว้ที่ชั้นหนึ่งของอาคารหมายเลข 2
ซูเถายังจำได้อีกว่าคุณป้าชอบทำอาหาร ดังนั้นเธอจึงจัดห้องครัวแบบมาตรฐานก่อนวันสิ้นโลกไว้ มีเครื่องใช้ทั้งหมดเช่น เตา เตาอบ และไมโครเวฟ
ห้องนอนทั้งสองห้องมีแสงสว่างเพียงพอ เธอจัดให้ทั้งสองห้องนั้นเป็นเตียงคู่ ห้องที่ใหญ่กว่าหน่อยสงวนไว้ให้คุณป้า มีโต๊ะกาแฟขนาดเล็กวางไว้ริมหน้าต่าง ซึ่งสามารถดื่มชาและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ได้
ห้องแต่งตัวติดตั้งชั้นล็อกเกอร์สูงจากพื้นจรดเพดาน ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุด
ส่วนห้องอื่น ๆ ตกแต่งแบบพื้น ๆ ธรรมดาตามมาตรฐานแบบห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น
ค่าตกแต่งโดยรวมอยู่ที่ 12,000 เหลียนปัง ระบบแจ้งว่าค่าเช่ารายไตรมาสอยู่ที่ 80,000 เหลียนปังสามารถอาศัยได้ 4 คนหรือน้อยกว่า
หากเฉินเทียนเจียวพบกับคู่ชีวิต เขาก็สามารถพามาอาศัยได้ แต่ค่าเช่าเฉลี่ยต่อคนก็ยังถือว่าค่อนข้างสูง
ซูเถาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าในอนาคตเธอมีคู่ครองและลูก เธอก็คงย้ายไปอยู่ห้องประเภทนี้
เมื่อเธอคิดถึงตรงนี้ ความคิดของเธอก็ล่องลอยไปอย่างช่วยไม่ได้
วันรุ่งขึ้นเมื่อจวงหว่านเห็นห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นได้รับการปรับปรุงใหม่ ดวงตาเธอก็เต็มไปด้วยความอิจฉา คิดในใจว่าเมื่อเฉินซีและเฉินหยางโตขึ้น พวกเขาควรแยกห้องนอนกัน ถึงเวลานั้นเธอก็ต้องย้ายไปอยู่ในห้องที่ใหญ่ขึ้น
เธออดไม่ได้ที่จะถาม “เถ้าแก่ ในอนาคตเราจะมีห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นหรือ 3 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่นไหม?”
ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น่าจะมีนะคะ พี่วางแผนว่าเด็ก ๆ โตแล้วจะขยับขยายใช่ไหมคะ?”
เมื่ออัปเกรดเป็นเลเวล 5 ก็จะมีแบบพิมพ์เขียวของแบบบ้าน ดูเหมือนว่าจะมีห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่น และห้องชุดแบบ 4 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่น
จวงหว่านพยักหน้า “สุดท้ายแล้ว เด็ก ๆ โตไปก็ต้องแยกห้องนอน ไม่สามารถนอนห้องเดียวกับฉันไปได้ตลอด ถ้ามีห้องเมื่อไหร่เก็บไว้ให้ฉันห้องหนึ่งนะ”
ซูเถายิ้มอย่างขมขื่นในใจ การอัปเกรดเป็นเลเวล 5 ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดเพียงอย่างเดียวต้องใช้เงินถึง 1 ล้านเหลียนปัง และมีเงื่อนไขว่าต้องมีผู้เช่าอย่างน้อย 200 คน
มันมีความยุ่งยากเล็กน้อย
ในขณะที่พูดอยู่นั้น จู่ ๆ เครื่องมือสื่อสารของซูเถาก็ดังขึ้น และเสียงที่แจ่มใสของสือจื่อจิ้นก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง
“พวกเรากลับมาแล้ว มองลงมาข้างล่างสิ”
ซูเถาวิ่งออกจากห้องทำงานแล้วมองลงไปข้างล่างเห็นกลุ่มพวกเขาที่ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบทหาร
ความทรงจำย้อนไปในคืนที่พบพวกเขามาที่บ้าน เป็นฉากเดียวที่เธอได้พบกับพวกเขาครั้งแรก
ซูเถาตระหนักได้ว่า ครั้งนี้พวกเขาออกไปเป็นเวลานาน
จวงหว่านเห็นพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข เธอก็รีบวิ่งลงไปต้อนรับและทักทายพวกเขาทันที
ซูเถาก็วิ่งตามมาติด ๆ เธอเห็นสือจื่อจิ้นจากระยะไกลเธอก็กำลังจะวิ่งไปหา แต่จู่ ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงรัศมีแปลก ๆ
หญิงสาวหยุดฝีเท้าลง เธอรู้สึกว่าคนที่กลับมาค่อนข้างแตกต่างจากสือจื่อจิ้นในความทรงจำของเธอ
ใบหน้าของเขาซีดเซียวเล็กน้อย ซูเถาก็ยังแอบคิดว่าหรือเป็นเพราะเขาทำงานหนักเกินไป
ใบหน้าดูไม่มีชีวิตชีวา ซูเถาคิดว่าตาของเธออาจจะพร่ามัวหรือไม่ก็ดวงอาทิตย์นั้นใหญ่เกินไป
ท่าทางของเขาดูเย็นชาและเศร้าหมอง ซูเถาก็คิดอีกว่าเพราะเขาเพิ่งผ่านเวลาที่ยากลำบากมาก็เลยยังปรับอารมณ์ไม่ได้
แต่เธอก็ยังไม่ก้าวไปข้างหน้า
เมื่อสือจื่อจิ้นเห็นเธอ เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง สายตาของทั้งสองสบกัน ทั้งคู่มองกันและกัน ซูเถาเริ่มรู้สึกคุ้นกับดวงตาคมคู่นั้น ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย ในใจของเธอรู้สึกอ่อนไหว
“กลับมาแล้วเหรอ? จะกินข้าวก่อนหรือว่าจะไปอาบน้ำก่อน?” ซูเถาพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด
เฉินเทียนเจียวเป็นคนโผงผางและหยาบกระด้าง เขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเลย จึงเอ่ยตอบเสียงดัง
“ขอดื่มน้ำก่อน อากาศนี่มันร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนขากลับพวกเราแทบจะกลายเป็นปลาตากแห้ง”
ซูเถาไม่พูดอะไร เธอจ้องไปที่สือจื่อจิ้น มองสำรวจเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
สื่อจื่อจิ้นไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ท่าทางของอีกฝ่ายนั้นน่ารักมาก เขาเลยหัวเราะออกมา “ไม่เจอกันแป๊บเดียว จำผมไม่ได้แล้วเหรอ?”
ซูเถาไม่เคยเห็นเขายิ้มแบบนี้มาก่อน มันสดใสกว่าพระอาทิตย์วันนี้เสียอีก เธอตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วหลุดหัวเราะออกมา
ที่แท้เธอก็คิดมากไปเอง