ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 203+204 ซอมบี้แม่ลูกและอลิซ/หมวกปานามาสีแดง
ตอนที่ 203+204 ซอมบี้แม่ลูกและอลิซ/หมวกปานามาสีแดง
ตอนที่ 203 ซอมบี้แม่ลูกและอลิซ
หม่าต้าเพ่าทนไม่ได้ เลยพูดประโยคนั้นออกมา ถานหย่งปฏิบัติต่อชวีจิ้งอวิ๋นอย่างไร เขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนนอกที่รู้เรื่องทั้งหมด
เธอทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับคนเลว ๆ แบบนี้ได้ยังไง?
เมื่อชวีจิ้งอวิ๋นได้ยิน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หันศีรษะของเธอเพื่อมองไปที่หม่าต้าเพ่าแล้วถามว่า “…ว่าอะไรนะ?”
เมื่อเห็นว่าซูเถาไม่แสดงออกอะไร หม่าต้าเพ่าก็ไม่กล้าพูดอะไร
ชวีจิ้งอวิ๋นอยากจะถามออกมาอีกครั้ง แต่การสูญเสียเลือดมากเกินไปจนเธอวิงเวียนศีรษะ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ร่างกายของเธอล้มลงบนพื้นและหมดสติภายในไม่กี่วินาที
ซูเถาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าชวีจิ้งอวิ๋นคงไม่ไหวแล้ว
หม่าต้าเพ่าเห็นความคิดของเธอทันทีและรีบพูดว่า
“เถ้าแก่ ให้ผมลองดูว่าผมจะทำให้เธอยอมจำนนต่อเราได้ไหม ชวีจิ้งอวิ๋นมีความสามารถมากทีเดียว เธอเป็นคนธรรมดา และเธอสามารถเป็นรองผู้บังคับบัญชาได้ ทั้ง ๆ ที่เธอถูกรายล้อมไปด้วยผู้ชาย และปราศจากพลังวิเศษ ยังไม่สายเกินไปที่จะฆ่าเธอ หากไม่สามารถโน้มน้าวใจเธอได้”
ซูเถาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นฝากคุณด้วยแล้วกัน ระวังเธอหนีไปล่ะ…”
หม่าต้าเพ่าพูดทันที “ถ้าเธอหนี ผมคงต้องทิ้งภูเขาผานหลิว เพื่อไปตามเธอกลับมาไม่ว่าเธอจะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาม!”
ซูเถาโบกมือ “พาเธอไปที่เถาหยาง ให้หมอจงช่วยดู”
เมื่อหม่าต้าเพ่าได้รับคำสั่ง เขาก็รีบไปอุ้มชวีจิ้งอวิ๋นที่หมดสติทันที
เว่ยเสียงและคนอื่น ๆ ยังไม่ค่อยเชื่อว่าถานหย่งตาย ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
“ถานหย่งตายแล้วจริงเหรอ? ทำไมพวกคุณถึงไม่เอาตัวเขามาแลกกับผลประโยชน์”
หม่าต้าเพ่าชำเลืองมองเขา “ที่พวกคุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ จะเอาประโยชน์อะไรมาแลก?”
เว่ยเสียงรู้สึกอับอายและรู้สึกมากขึ้นในใจว่าซูเถาโหดร้ายและไร้ความปราณี มันจะไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนหากเขายังอยู่ที่นี่ต่อไป
เขาสะกิดสวีฉีที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ และกระซิบว่า
“เหล่าสวี คุณวางแผนที่จะอยู่ต่อจริง ๆ เหรอ ผมขอพูดอะไรหน่อยนะ แม้ว่าสถานีเก่าจะพัฒนาได้เช่นเดียวกับภูเขาผานหลิว บางทีหลังจากคุณหมดผลประโยชน์แล้วเธออาจจะฆ่าคุณทิ้งก็ได้”
“ถ้าเราไปด้วยกัน ด้วยความสามารถของพี่น้องเรา ไม่ว่าเราจะไปที่ฐานหรือองค์กรไหนก็ต้องมีคนต้อนรับพวกเรา และผลประโยชน์คงไม่เลวแน่นอน หรือถ้าเราจะออกไปพึ่งพาตนเอง ก็สามารถตั้งทีมทหารรับจ้างหรือซื้อที่ดินสำหรับสร้างฐาน ทางเลือกก็ยังดีกว่าการเลือกอยู่ที่นี่”
สวีฉีไม่ได้มองไปด้านข้าง “แผนของนายค่อนข้างดีนะ ฉันขอให้นายประสบความสำเร็จ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่คุยต่อ เว่ยเสียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อย และพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“รอดูกันต่อไป อย่าลบข้อมูลติดต่อกันล่ะ ถ้ามีวันนั้น ผมยังจำมิตรภาพที่เราเคยร่วมงานกันได้ และเราสามารถกลับมาร่วมงานกันได้เหมือนเดิม”
สวีฉีกล่าวว่า “นายลองเกลี้ยกล่อมอลิซและเนี่ยซือป๋อดูสิ”
เว่ยเสียงเย้ยหยัน
สองคนนี้ คนหนึ่งบ้า อีกคนขี้ขลาด เขามีเกณฑ์คัดเลือกคน ไม่เหมือนกับถานหย่งที่ยอมรับผู้ที่มีพลังวิเศษทุกชนิด
ดังนั้นเขาจึงบอกลาพี่น้องคนอื่น ๆ ก่อนที่จะจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ซูเถาสแกนคนที่เหลืออีกห้าคนแล้วถามว่า “มีใครต้องการจากไปอีกไหม”
หลังจากเงียบไปสองนาที คนอีกสองคนก็ออกไป และพวกเขาก็ไล่ตามเว่ยเสียงและคนอื่น ๆ ออกไป
หม่าต้าเพ่าพูดด้วยความโกรธ
“ที่เราถามพวกเขาว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ก็ถือว่าไว้หน้าพวกเขาแล้ว ตอนนี้ใครที่ฉลาดก็ล้วนต้องการเข้าสู่เถาหยางกันทั้งนั้น”
ในที่สุดก็เหลือชายสองหญิงหนึ่ง
ชายทั้งสองอยู่ในวัยสี่สิบเศษ คนหนึ่งคือ สวีฉีและอีกคนคือเนี่ยซือป๋อ
หม่าต้าเพ่ากระซิบกับซูเถา “สวีฉีอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ก่อนที่ชวีจิ้งอวิ๋นจะมาเสียอีก ต่อมาไม่รู้ว่าเขาถูกกีดกันหรือเขามีอายุที่มากขึ้น เขาจึงลาออกจากผู้บริหารหลัก”
ซูเถาพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
สวีฉีมีผมขาวไปแล้วครึ่งหนึ่ง คำพูดและการกระทำของเขามั่นคงมาก ไม่มีการเยินยออะไรเป็นพิเศษ เขาแสดงให้ซูเถาเห็นถึงความสามารถเหนือธรรมชาติของเขา เขาสามารถสร้างภาพในหัวของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ได้
ซูเถาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วกับซอมบี้ล่ะ?”
สวีฉีพยักหน้า “ในทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ผมไม่เคยลองซอมบี้ที่มีชีวิต เมื่อไม่กี่ปีก่อนเราออกไปค้นหาเสบียงข้างนอก แล้วเจอซอมบี้ตัวเล็กที่ยังเด็กมาก เราเดาว่าน่าจะเป็นซอมบี้เด็กแรกเกิด หรือไม่ก็เป็นหญิงท้องที่กำลังจะคลอดแล้วลูกในท้องก็กลายเป็นซอมบี้ตามแม่ไป”
“หลังจากที่เราฆ่าซอมบี้ตัวเล็กตัวนี้ ผมก็แสดงภาพชีวิตของมันขึ้นมาผ่านพลังความสามารถนี้ คือ เมื่อมันกำเนิดมามันก็กลายเป็นซอมบี้แล้ว”
ซูเถาขมวดคิ้วและถามว่า
“แปลว่าแม่ลูกกลายเป็นซอมบี้ทั้งคู่เหรอ? ฉันได้ยินมาว่านี่เป็นสิ่งที่จัดการยากที่สุด ถ้าฆ่าตายทั้งแม่ทั้งลูกจะไม่เป็นไร แต่ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งรอด มันก็จะตามล่าและแก้แค้น”
สวีฉีพูดว่า “ใช่ แต่ว่าต่อมาพวกเราก็ฆ่าทั้งคู่ แต่ซือป๋อจิตใจอ่อนโยน เขาช่วยฝังทั้งแม่และลูกให้อยู่ด้วยกัน”
เนี่ยซือป๋อรู้สึกประหม่าเมื่อชื่อของเขาถูกเรียก
ซูเถาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และถามเขาว่าความสามารถของเขาคืออะไร
ใบหน้าของเนี่ยซือป๋อเปลี่ยนเป็นสีแดง ดูลังเลที่จะพูดออกมา
สวีฉีพูดกับเธอโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เขาสามารถทำให้คนขับถ่ายได้ตลอดเวลา”
ซูเถายิ้มและโชว์ฟันขาวซี่เล็ก ๆ ของเธอ
“คุณนี่เองที่มีพลังนี้ ไม่มีอะไรน่าอายหรอก ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้ที่มีพลังวิเศษ บางคนไม่มีโอกาสที่จะปลุกพลังได้ อีกอย่าง ในวันสิ้นโลกแบบนี้ การที่มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มีใครแยกแยะสูงต่ำหรอก
เนี่ยซือป๋อมักจะไม่กล้าพูดเรื่องพลังความสามารถของเขา เพราะเขามักจะถูกถานเหล่าต้าและเพื่อนร่วมทีมดูถูกเหยียดหยาม นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดคำเหล่านี้กับเขา เขาตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อมองไปที่รอยยิ้มของซูเถา
รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของสวีฉี “เถ้าแก่ซูไม่ได้ใจร้ายอย่างที่ข่าวลือพูด”
เนี่ยซือป๋อพยักหน้าอย่างรุนแรง
ซูเถายิ้มและถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงเลือกที่จะอยู่ต่อ”
สวีฉีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ผมเชื่อว่าบอสกู้มองคนไม่ผิด เขาไม่ใช่คนประเภทที่เลิกคบกับถานหย่งเพราะผู้หญิงจริง ๆ ในเมื่อเขาเลือกที่จะยืนข้างคุณ แสดงว่าคุณก็ต้องไม่แย่ไปกว่าถานหย่ง”
“อีกอย่าง หม่าต้าเพ่าก็สุขสบายดีเมื่ออยู่กับคุณ”
หม่าต้าเพ่าหัวเราะและพูดว่า
“คุณเดาถูกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เถ้าแก่ของเราปฏิบัติต่อพนักงานอย่างดี อีกไม่กี่วันคุณก็รู้”
เนี่ยซือป๋อพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมแค่ไม่อยากไปกับเว่ยเสียงและคนอื่น ๆ ผมมีภรรยาและลูกที่นี่ ดังนั้นผมจึงไม่อยากย้ายไปไหน”
ซูเถามองดูเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ส่ายหัวและหลบมุมอยู่ เธอมีผมสีบลอนด์ ผิวขาว ตาโต จมูกเชิดเล็กน้อย และริมฝีปากสีเชอร์รี่
ถ้าไม่ใช่เพราะท่วงท่าที่ตลกและเกินจริงของเธอ เธอคงเป็นสาวงามแน่ๆ
ซูเถาเริ่มถามคำถามกับเธอ แต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แค่เอียงศีรษะและยิ้มโง่ ๆ ไม่แน่ใจว่าได้ยินเธอหรือไม่
สวีฉีกล่าวว่า
“เถ้าแก่ซูไม่ต้องแปลกใจ เธอชื่ออลิซ ชื่อนี้เธอน่าจะเป็นคนตั้งให้ตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าชื่อจริงของเธอคืออะไร เธอถูกพาตัวมาโดยหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่เป็นแขกของโรงแรม แต่เมื่อเธอเช็คเอ้าท์ในวันรุ่งขึ้น เธอก็ทิ้งอลิซไว้เพียงลำพัง เมื่อพวกเราเห็นว่าเธอมีพลังวิเศษ ก็เลยเลี้ยงเธอเอาไว้”
ซูเถาฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยท่าทีนิ่ง ๆ
ในเวลานั้นเหลยสิงบอกเธอว่า ถานหย่งมี ‘อลิซ’ อยู่ภายใต้การดูแลของเขา หัวของเธออาจใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงได้ตลอดเวลา และดูเหมือนเธอจะพูดว่าเธอมองทุกคนเป็นกระต่าย คำพูดและการกระทำของเธอไร้สาระ
เหลยสิงบอกว่าพลังของเธอเหมือนกับโรคทางระบบประสาท และความสามารถก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
ซูเถาไม่รังเกียจคนแบบนี้เลย เมื่อเห็นว่าอลิซมีตัวกลม ๆ จ้ำม่ำ หญิงสาวก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นน่ารักไม่หยก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบลูกอมนมห่อหนึ่งออกมาจากพื้นที่ของหลินฟางจือ และลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ พร้อมกับปล่อยให้เธอออกไปวิ่งเล่น
……
ตอนที่ 204 หมวกปานามาสีแดง
อลิซดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกอมนมที่ซูเถามอบให้ เธอพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นเริ่มคลำไปทั่วร่างของตนเอง
ซูเถามึนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร สิบวินาทีต่อมา อลิซก็นำหมวกปานามา*[1]สีแดงออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วยื่นให้ซูเถา
“ให้ฉันเหรอ” ซูเถาถามอย่างไม่แน่ใจ
อลิซพึมพำ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วคลี่ยิ้มกว้าง
ซูเถารับมันเป็นของขวัญจากเธอ และรับมันด้วยรอยยิ้ม
สวีฉีผู้มั่นคงมาโดยตลอดแสดงความประหลาดใจ และมองไปที่เนี่ยซือป๋อที่ตกใจไม่แพ้กัน
อลิซปรบมืออย่างมีความสุข แต่ก็รีบคว้าหมวกคืนจากมือของซูเถา พร้อมกับสวมมันบนหัวของตนเอง จากนั้นส่ายหัวอย่างลนลานในสภาพตัวกระตุก
ซูเถาตกใจกับพฤติกรรมไร้สาระของเด็กคนนี้อย่างกะทันหันและถอยหลังไปสองก้าว
แม้แต่เจียงอวี่ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีใครมองเห็นมาโดยตลอดก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เพราะกลัวว่าผู้หญิงที่บ้าคลั่งคนนี้จะทำร้ายซูเถา
หม่าต้าเพ่าจ้องตาเขม็ง คิดว่าคนที่อยู่คงไม่ใช่คนปกติแน่ ๆ
สวีฉีกล่าวว่า
“เถ้าแก่ซู เธอกำลังบอกคุณว่าหมวกใบนี้ไม่ใช่หมวกธรรมดา คนที่ได้สวมมันจะร่างกายกระตุก หมวกใบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของเธอ แขกในโรงแรมเคยรังแกเธอมาก่อน แต่แล้วก็ถูกหลอกให้สวมหมวกใบนี้ และแขกคนนั้นก็เสียชีวิตอยู่ตรงทางเดิน”
ซูเถาตกใจ “ถ้าอย่างนั้น ที่เธอส่งมาให้ฉันมันหมายความว่าไง”
สวีฉีส่ายหัว “ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะเธอชอบคุณมากและต้องการให้หมวกเป็นของขวัญแก่คุณ”
อลิซเต้นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ถอดหมวกออกแล้วยื่นให้ซูเถา ดวงตาของเธอเปล่งประกายแวววาว
ซูเถายื่นช็อกโกแลตถั่วให้เธอทันทีเมื่อเห็นดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้น
อลิซหยิบมันมาแล้วหมุนตัวสองรอบ จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นไปทั่ว
ซูเถาถือหมวกปานามาสีแดงและถามสวีฉี
“ถ้าฉันเอาไปมันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเธอใช่ไหม? เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของเธอไม่ใช่เหรอ?”
สวีฉียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และส่ายหัว “ผมไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ คุณก็เห็นว่าเธอเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่มักจะแสดงออกด้วยร่างกายเท่านั้น เราไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ และเรื่องความสามารถของเธอเราเองก็รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ซูเถาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บหมวกใบนี้เอาไว้ชั่วคราว
“เถ้าแก่ซูมีแผนสำหรับอนาคตไหม” สวีฉีถาม
ซูเถาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะสร้างห้องให้พวกคุณก่อน ยังไงพวกคุณก็แจ้งกับหม่าต้าเพ่าเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวของคุณหรือเรื่องอื่น ๆ นะ”
สวีฉีไม่แน่ใจเล็กน้อย “สร้างห้องใหม่ให้เราและครอบครัวงั้นเหรอ”
ซูเถาพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้พวกคุณมีที่อยู่อาศัยแล้วไม่อยากย้ายเหรอ? ไม่เป็นไร งั้นฉันก็จะจ่ายเงินเดือนให้พวกคุณเต็มจำนวน”
สวีฉีตะลึงเล็กน้อย ถ้าเขาได้ยินไม่ผิด เธอจะสร้างห้องให้ครอบครัวเขาฟรี ๆ เหรอ?
หม่าต้าเพ่ารู้ว่าเขากำลังลังเลอะไรด้วยความตกใจ จึงเอ่ยเสริมว่า
“ก็แบบนี้แหละ พนักงานของเราโดยทั่วไปมีสองทางเลือกเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการ ทางแรกรับเงินเดือนเต็ม เงินอุดหนุนเยอะ อีกทางรับเงินเดือนส่วนหนึ่ง เงินอุดหนุนเยอะเหมือนกัน แต่พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการพนักงานได้ฟรีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี ผมขอแนะนำให้คุณเลือกตัวเลือกที่สอง”
เนี่ยซือป๋อก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเขาได้ยินดังนั้น
“ผมอยากย้าย ผมอยากย้าย แต่ยอดมนุษย์ไร้ประโยชน์อย่างผมจะมีห้องได้ใช่ไหม”
ถานหย่งไม่ชอบเขาเป็นอย่างมากและเงินเดือนที่เขาได้ ก็เพียงพอสำหรับเช่าห้องเดี่ยวเล็ก ๆ ภรรยาและลูก ๆ ของเขาก็ต้องทนใช้ชีวิตในห้องเล็ก ๆ อย่างแออัดด้วยสภาพอุดอู้
แม้ว่ารายได้ของสวีฉีจะค่อนข้างดี แต่สถานีเก่าก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ห้องขนาดเล็ก ได้รับการปรับปรุงใหม่จากศูนย์กระจายสินค้าที่หลงเหลืออยู่ก่อนวันสิ้นโลก ส่วนห้องอื่น ๆ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นเองทีละหลัง
วัสดุสำหรับบ้านสร้างเองมีจำกัด และการตัดงบประมาณก็เป็นเรื่องปกติ
บ้านที่สวีฉีซื้อเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาเป็นบ้านที่ทรุดโทรมอยู่แล้ว และกำลังจวนเจียนต้องเปลี่ยนบ้านใหม่พอดี
[1] หมวกปานามา