ฉันเป็นเป้าหมายการจีบลับ แต่จะขอรับคู่หมั้นของพวกนายไปแทนละกัน - ตอนที่ 4: เซอร์ไพรส์ที่ไม่ต้องการ
- Home
- ฉันเป็นเป้าหมายการจีบลับ แต่จะขอรับคู่หมั้นของพวกนายไปแทนละกัน
- ตอนที่ 4: เซอร์ไพรส์ที่ไม่ต้องการ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ฉันเชือดไก่ให้ลิงดู แล้วมาพูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่ ก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย จนพวกท่านเริ่มคิดได้ ฉันจึงกลับห้องไปนอนแต่ประตูไม่มีแหละนะ
“หืม?…แสง?”
ฉันตื่นขึ้นมาเพราะมีแสงส่องผ่านหน้าต่างที่หน้าจะถูกปิดอยู่ ดูท่าพวกท่านพ่อจะสั่งให้คนเอาไม้กั้นออกแล้ว ส่วนประตูก็…ยังไม่ได้ซ่อมแหะ
“องค์ชายคะ ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ”
เมดคนเดิมที่ฉันเคยทำเธอสลบไป ก็เดินมาปลุกฉันแต่ด้วยท่าทางที่กล้าๆกลัวๆล่ะนะ
“อืม เอ่อ ผมขอโทษที่ทำร้ายคุณไปเมื่อคืนด้วยนะครับ”
“อะ องค์ชายได้โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ! “
ฉันเดินไปก้มหัวขอโทษเธอ เพราะที่จริงฉันก็มีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างปรับความเข้าใจกันได้ฉันก็ไปทำตามตารางเวลาเหมือนอย่างเคย
“ขอโทษที่มาสายครับ”
ฉันเดินมาที่ห้องอาหารหลังจากที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ภายในห้องก็มีท่านพ่อกับท่านแม่กำลังรอฉันอยู่ พวกท่านมีสีหน้าเป็นปกติแต่ก็ดูดีกว่าเดิมมาก
“อลัน คือพ่อกับแม่”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ คือผม”
“”ขอโทษ!””
“เอ๊ะ!?”
หลังจากที่กินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ฉันก็ตั้งใจว่าจะขอโทษพวกท่านที่พูดไม่ดีออกไป แต่พวกท่านก็ขอโทษฉันด้วยเหมือนกันพวกเราเลยได้ปรับความเข้าใจพ่อแม่ลูกกันอีกครั้ง
“พ่อกับแม่น่ะ สำนึกผิดแล้วเรื่องที่ไม่เคยคิดจะแยแสประชาชนของตัวเองเลย ก็เลยคิดว่าจะขอแก้ตัวเรื่องปัญหานี้ทั้งหมด”
“ผมเองก็คิดอยากจะแก้ปัญหานี้เหมือนกันครับ อยากจะแก้ไขให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะอายุสิบขวบ”
“สิบขวบ? ถ้าทำสำเร็จทันแล้วลูกจะทำอะไรต่อล่ะ?”
ฉันพูดถึงเป้าหมายคร่าวๆเกี่ยวกับความคิดจะไปหักเดธแฟลกออก ท่านแม่เลยเกิดสงสัยขึ้นมา
“เอ่อคือ ถ้าหากผมไม่ได้คิดจะแก้ปัญหาและฟื้นฟูอาณาจักรภายในตอนนี้ละก็ ผมก็ไม่มีเวลาได้ไปงานเลี้ยงเปิดตัวลูกขุนนางของอาณาจักรเอเลฟน่ะสิครับ”
“อลัน หรือว่าลูกจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว?”
ท่านพ่อก็พูดขึ้นมา เรื่องนั้นที่พูดถึงก็คือการส่งฉันในตอนอายุสิบหกออกไปศึกษาเรียนที่อาณาจักรเอเลฟแล้วพาภรรยากลับเพื่อให้ช่วยกันฟื้นฟูอาณาจักร
“คิดว่าแค่เดาก็น่าจะรู้น่ะครับ เพราะเล่นยัดเนื้อหายากๆใส่หัวผมตั้งแต่อายุสามขวบเลยนี่นะ แต่เรื่องที่จะส่งผมให้ออกไปศึกษาที่อาณาจักรเอเลฟน่ะ แน่นอนว่าผมจะไปและพาภรรยากลับมาเพื่อช่วยกันดูแลอาณาจักร ยังไงผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะครับ”
“พ่อขอโทษด้วยที่บังคับให้ลูกทำตามความเอาแต่ใจของพ่อกับแม่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้างั้นช่วยทำตามความเอาแต่ใจของผมด้วยได้รึเปล่าครับ?”
ฉันยิ้มถามพวกท่าน ความเอาแต่ใจของฉันที่ขอพวกท่านไปก็คือการฟื้นฟูอาณาจักรนี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นพวกท่านก็เรียกประชุมใหญ่กัน โดยอนุญาตให้ฉันเข้าร่วมด้วยได้เพราะจะให้จดจำบรรยากาศในห้องประชุมให้ได้มากที่สุด ก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ ในเนื้อหาที่ประชุมก็คือเรื่องยาเสพติด และปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ โดยเรื่องเศรษฐกิจนั้นต้องหาของมีค่าที่ไม่จำเป็นนำไปขายให้อาณาจักรอื่น แต่ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าสิ่งใดควรขายสิ่งใดไม่ควรขาย ส่วนเรื่องยาเสพติดพวกเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้กันเลย ดังนั้นจึงเป็นจังหวะเหมาะที่ฉันจะพูดขึ้น
“ถ้าหากไม่รู้ว่าใครเสพยาละก็ ทำไมไม่ลองตรวจปัสสาวะดูล่ะครับ?”
ฉันพูดเสนอขึ้นทั่วทั้งห้องประชุมต่างตกในที่ฉันพูดขึ้นมาจริงๆในโลกปัจจุบันมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจขนาดนั้น
“อลันนี่ลูกรู้อะไรงั้นหรอ?”
ท่านพ่อหันไปถามฉันนี่เก้าอี้อยู่ข้างๆ
“ผมขออธิบายนะครับ น้ำปัสสาวะ โดยปกติ จะมีระดับที่สีใสจนเข้มถึงสีเหลือง ส่วนสีปัสสาวะของคนที่เสพยาจะมีสีม่วง “
“โอ้ องค์ชายสมแล้วที่ท่านเรียนหนังสือมาตั้งแต่สามขวบ ช่างดูมีความรู้ สง่างามจริงๆ”
ทั่วทั้งห้องต่างพากันเชื่อที่ฉันพูด แต่ก็ไม่ต้องยอกันขนาดนั้นก็ได้
“อะแฮ่ม ยอกันพอแค่นี้ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจในความเห็นของผมคือ พวกทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไม่ควรจะขายแต่เราจะสร้างพิพิธภัณท์จัดแสดงของที่สามารถจัดแสดงได้โดยเราจะให้เข้าชมฟรีไปก่อนเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นค่อยเพิ่มราคาที่เหมาะสมกับทุกคนในอาณาจักร ส่วนพวกเครื่องประดับแนะนำให้ขายอย่างยิ่ง ถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้”
“แต่ว่านะครับ องค์ชาย พวกเครื่องประดับหากไม่มีสวมใส่ คนอื่นเขาจะมองเราว่าเป็นขุนนางที่ต่ำต้อยได้นะครับ”
“แล้วในบทเรียนที่พวกท่านเคยศึกษาเรียนมา หรือได้รับคำสั่งสอนจากผู้ให้กำเนิด ที่ว่า ‘ ไม่ควรมองคนที่ภายนอก ‘ ถ้าพวกท่านมีอาวุธคือความรู้รูปร่างภายนอกที่ไร้เครื่องประดับ มันก็แค่กับดักหลอกตาคนโง่เท่านั้นแหละ”
ฉันพูดในหลักความเป็นจริงอีกอย่างออกไปให้ขุนนางคนหนึ่งฟัง
“หระ หรือก็คือ พวกที่มองเราไม่ออกและดูถูกเรามัยก็คือคนโง่ ใช่มั้ยครับ?”
“ใช่เข้าใจถูกแล้วล่ะ จงใช้ความรู้ที่ท่านมีมาเพื่อพัฒนาอาณาจักรไปพร้อมกันเถอะ”
“……..”
ขุนนางทุกคนในห้องต่างพากันคุกเข่าก้มหัวให้กับฉัน เดี๋ยวสิฉันแค่พูดเชิงจิตวิทยาเฉยๆเองนะ
“องค์ชาย อลัน เฟอร์สิโน ขอให้พวกเราได้รับใช้ท่าน และได้เฝ้าอาณาจักรนี้ไปพร้อมกับท่านด้วยเถอะครับ!”
“…..เอาสิ ผม อลัน เฟอร์สิโน จากนี้ไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ฉันตกใจหันไปหาท่านพ่อ ท่านก็ผงกหัวตอบ ก็มีแต่ต้องยอมรับที่ตัวเองทำล่ะนะ
หลังจากประชุมกันเสร็จแล้ว ฉันก็ไปกินข้าวเที่ยงซึ่งพอกินเสร็จท่านแม่ก็เรียกฉันไปบ่นเรื่องที่พังประตูห้องก็โดนบ่นจนหูชาเลยล่ะนะ
“อลัน วันนี้ลูกจะไม่ไปหรอ?”
“เอ๊ะ…ท่านแม่หรือว่าจะ?”
“แต่ว่าต้องกลับมาก่อนมื้อเย็นนะ และลูกต้องเลิกปิดบังตัวเองด้วย”
หลังจากที่ท่านบ่นเสร็จฉันก็กำลังจะกลับไปที่ห้องตัวเอง ท่านแม่ก็ถามฉันขึ้นมา ดูท่าจะยอมอนุญาตให้ฉันได้ออกไปแล้ว ท่านก็กำชับฉันก่อนจะออกไป เรื่องที่ปิดบังตัวเองที่จริงก็คิดว่าจะเลิกแล้วนั่นแหละเพราะสถานการณ์เริ่มเป็นไปตามที่คิดไว้
“ครับ…งั้นผมขอออกไปข้างนอกนะครับ!”
ฉันยิ้มตอบแล้วเปลี่ยนเส้นทางไปที่ทางประตูแทนเพราะได้รับอนุญาติแล้ว
“องค์ราชินีคะ จะดีหรอคะ? ที่ไม่ให้ทหาาตามไปคุ้มครอง”
“ดีแล้วล่ะ เพราะทหารสำหรับเด็กคนนั้นเปรียบเสมือนโซ่ที่รั้งเขาแทนน่ะสิ”
○ ● ○
ฉันวิ่งออกมานอกปราสาทผ่านประตูครั้งแรก รอบนอกนั้นก็มีทหารกำลังช่วยกันเรื่องก่อสร้างและรื้อบ้านเมืองใหม่ทั้งหมด โดยมีที่พักชั่วคราวให้กับพวกเขาจนกว่าบ้านเรือนจะถูกสร้างเสร็จทั้งหมด
“ขอให้พวกเจ้าเชื่อใจ!! นี่คือคำสั่งขององค์ชายที่จะช่วยพวกเจ้าทุกคน ท่านจะฟื้นฟูอาณาจักรนี้ทั้งหมด!!”
ทหารคนนึงตะโกนให้ชาวเมืองที่กำลังโวยวาย และกำลังปะท้วง ขอโทษด้วยคำพูดนั้นน่ะมันแฝงไปด้วยความต้องการส่วนตัวของฉันเองคนเดียว ฟื้นฟูอาณาจักรมันก็แค่เรื่องรองแค่นั้นแหละ
“พวกนาย ขอบคุณที่เหนื่อยนะ!”
“ครับท่าน!”
ฉันวิ่งผ่านมาก็ตะโกนพูดให้ทหารทุกคนที่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาเลยทำท่าเคารพก่อนจะกลับไปทำงานต่อ
○ ● ○
“เรย์ เมื่อวานขอโทษที่ไม่ได้มา! แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ว่าฉัน…”
“เรย์?….ลุงทอร์น”
ฉันวิ่งมาจนถึงหน้าบ้านของเรย์ในระหว่างทางก็มีทหารกำลังตรวจปัสสาวะของคนในสลัม ฉันตะโกนเรียกเรย์ที่หน้าบ้าน ซึ่งเรย์ไม่ได้ยืนรออยู่เหมือนอย่างที่เคยทำ ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับมา ทั้งเรย์และลุงทอร์นพ่อของเรย์
“…ขอรบกวนด้วยครับ”
ฉันเดินไปเปิดประตูบ้านเข้าไปซึ่งไม่ได้ล๊อคไว้ พอเดินไปเปิดทุกห้องก็ไม่มีอยู่ จนเหลือแค่ห้องฝึก พอเปิดเข้าไปก็พบลุงทอร์นอนมีเลือดออกจากปากและเรย์กำลังนั่งร้องไห้อยู่
“ฮึก ฮึก พ่อเค้า “
“เรย์ใจเย็นก่อน ค่อยๆพูด!?”
ฉันถึงกับช๊อคภาพตรงหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
“พ่อเค้าน่ะ ไม่…ไม่หายใจ…แล้ว ฮรืออออ “
“อือ…เข้าใจแล้วล่ะ”
ฉันรีบเข้าไปกอดเรย์ไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่น พลางกัดปากคิดว่าทำไมฉันถึงไม่มาให้เร็วกว่านี้ ทำไมฉันถึงไม่ทำเรื่องเมื่อเช้าให้เร็วกว่านี้
หลังจากที่เรย์หยุดร้องเขาก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฉันฟัง เรื่องของเรื่องก็คือ ลุงทอร์นกำลังยืนกำชับการฝึกให้เรย์อยู่ ซักพักเขาก็เริ่มไอออกมาเป็นเลือดอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงไป เรย์ที่เห็นจึงรีบไปดูอาการ ถึงอยากจะตะโกนให้คนมาช่วยแต่ก็ไม่มีหรอก เพราะไม่มีใครคิดจะช่วย แล้วลมหายใจของลุงทอร์นเริ่มจะโรยรินลงจนสุดท้ายก็หยุดลง แล้วคำพูดสุดท้ายของเขาคือกระดาษที่เรย์ถืออยู่ ซึ่งเรย์อ่านไปแล้ว ในเนื้อหานั้นมีอยู่ว่า
「 ถึงเรย์ และ เจ้าหนูลัน ไม่สิ องค์ชาย อลัน เฟอร์สิโน ขออภัยที่สามัญชนอย่างกระผมเขียนจดหมายโดยไม่มีระเบียบ หากถามว่ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ตั้งแต่ที่เรย์พาท่านมาที่บ้าน ถึงจะไม่รู้ว่าเพราเหตุใดทำไมท่านถึงมาที่สลัมโดยไม่มีคนคุ้มกัน จนกระทั่งเรย์บอกว่าวิชายิวยึตสุเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับชนชั้งสูง แต่ท่านกลับฟังและไม่แสดงสีหน้าแบบนั้น ท่านพูดด้วยตาเป็นประการเพราะอยากฝึกจนกระผมคิดได้ท่านอาจจะเปลี่ยนอาณาจักรนี้ได้ก็ได้ มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ตัวกระผมในตอนนี้มีโรครักษาไม่หายที่ไม่ได้บอกให้เรย์และท่านทราบ หากวันใดวันหนึ่งกระผมจากโลกไปแล้ว ได้โปรดดูแลและทำให้เรย์มีความสุขด้วย ปล.พ่อรักลูกนะเรย์ 」
ฉันได้อ่านเนื้อหาจดหมายจนครบ ไม่นึกเลยว่าเขาจะรู้แต่ยังยอมให้เรามาเจอ และไม่รู้เลยว่าเขาจะปิดบังเราได้ขนาดนี้
“จะทำอะไรกับฉันก็เชิญเลย…องค์ชาย”
“เรามาทำหลุมศพให้ลุงทอร์นกันก่อนเถอะ”
หลังจากนั้นฉันก็ไปเรียกทหารให้มาช่วยแบกร่างของลุงทอร์นออกมาไปฌาปณกิจต่อแล้วนำเถ้ากระดูกไปฝังดินแล้วสร้างป้ายหลุมศพโดยสลักชื่อของลุงทอร์นไว้ ทั้งที่เรากะจะเซอร์ไพรส์เรย์ แต่กลับโดนเซอร์ไพรส์ที่เจ็บปวดกลับมาแทน
“นี่เรย์….”
“คะ…ครับ องค์ชาย?”
“พวกเราน่ะ…ยังเป็นเพื่อน…กันอยู่มั้ย?”
ก่อนกลับเรย์ก็ถูกทหารพาไปที่ที่พักชั่วคราว ฉันก็ถามเรย์ซึ่งเขาหันตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เศร้า
“…มะ…ไม่มีทางที่….”
เรย์เริ่มพูดกระอักกระอวนออกมาพยายามจะฝืนปฏิเสธ ราวกับว่าเขากำลังกลัวที่จะเสียคนสำคัญอีกคนไปนั่นก็คือฉัน
“ไม่ล่ะ! มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้หรอก พวกเราน่ะ….จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
ฉันวิ่งเข้าไปกอดเรย์เพราะเข้าใจว่าเริ่มรู้สึกยังไง เพราะกลัวว่าจะสูญเสียเพื่อนเพียงคนเดียวไปเช่นกัน
“อื้ม!…”
พวกเรากอดกันก่อนจะจากกันไป
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จบลง ฉันได้ขอร้องท่านพ่อกับท่านแม่เรื่องที่อยากจะให้เรย์มาอยู่ด้วย ก็เสียเวลาอธิบายไปอยู่ซักพักจนพวกท่านยอมให้จึงเรียกให้ทหารพาเรย์มาอยู่ด้วย เหล่าเมดจึงพาเขาไปทำความสะอาดและแต่งตัวก่อนจะมาพบ
“ขะ ขออนุญาติค่ะ”
(ค่ะ?)
เรย์พูดขออนุญาติก่อนจะเปิดประตูเข้ามาด้วยหางเสียงของผู้หญิง ตรงหน้าของฉันคือเรย์ในชุดเมด ที่กำลังแสดงสีหน้าเขินอายแบบเด็กสาว ขอพูดก่อนเลยว่า เรย์ที่ฉันรู้จัก คือ เด็กผมสีดำ ตาสีดำ มีผมปิดตาข้างขวา ถึงแม้จะดูหน้าหวาน และมีท่าทางแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ชาย แต่ตอนนี้ตรงหน้าคือเรย์ในชุดที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะเห็น และท่าทางผู้ชายก็หายไปจากหัวของฉันจนหมด
______________________________________________