ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 83 สู้ไม่ได้
บทที่ 83 สู้ไม่ได้
ไป๋โม่ฮัวลูบไหล่ของหนวนหน่วนอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเกลี้ยกล่อมเธอเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ”
ซูหรานเองก็เข้ามาลูบหัวของเธอ ใบหน้าเล็ก ๆ ของหนวนหน่วนแดงก่ำ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น พอพบว่าทุกคนยังคงมองมาที่เธอ นิ้วอ่อนนุ่มเรียวบางของเธอก็คว้าไปที่ชายเสื้อของไป๋โม่ฮัวทันที ทุกคนรอบ ๆ มองเด็กน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพี่ชายเงียบ ๆ เจ้าตัวโผล่หัวน้อย ๆ พร้อมกับความน่ารักออกมาเพียงครึ่งเดียว ดูราวกับหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยขนปุยที่ขี้อายไม่มีผิด
“พี่ซูหราน”
ไป๋โม่ฮัวเรียกเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาเบา ๆ แล้วส่งเค้กชิ้นเล็กที่หนวนหน่วนกินไม่เสร็จให้คนข้างตัวอีกครั้ง
เด็กหญิงตัวน้อยอ้าปากโดยไม่รู้ตัวแล้วกัดเค้กคำเล็ก ๆ กินอย่างอร่อย เธอดูไม่เขินอายเลยเวลากำลังเคี้ยว เด็กน้อยกำลังนั่งตรงกลางระหว่างไป๋โม่ฮัวกับซูหราน ดวงตาของเธอเป็นประกาย ปากพร่ำชื่นชมซูหรานอย่างจริงใจ
“พี่ซูหรานเก่งจังเลยค่ะ เพลงที่เล่นก็เพราะ คนในงานชื่นชมพี่ทุกคนเลย”
จู่ ๆ ซูหรานก็โน้มเข้ามาใกล้ “อยากเรียนกู่ฉินไหมล่ะ?”
หนวนหน่วนกะพริบตาปริบ ๆ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“หนู… หนูเรียนได้ด้วยเหรอคะ?”
ซูหรานอดใจไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มน้อย ๆ ของเธอ “ได้สิ ตราบใดที่เธออยากเรียน ฉันจะสอนให้เอง”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังและชัดเจน
หนวนหน่วนรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย เธอชอบเสียงของกู่ฉินตัวนั้นมาก แต่…
“แต่หนวนหน่วนกำลังจะกลับแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ไป๋โม่ฮัวก็รู้สึกว่าของในมือเขาเหี่ยวเฉาไปทันที ใช่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยกำลังจะกลับไปหลินเฉิงแล้ว เขาจะเล่นกับเธอแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว!
“ไม่เห็นจะยากเลย”
มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับซูหรานแต่อย่างใด “วิดีโอคอลกันก็ได้ หาเวลาที่ตรงกัน แล้วฉันจะสอนกู่ฉินให้เอง หรือถ้าเธออยากเรียนเครื่องดนตรีอื่น ๆ ฉันก็พอจะสอนได้บ้างนิดหน่อย”
หนวนหน่วนตาเป็นประกายทันที เธอหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
“พี่ซูหรานคะ เราเพิ่ม WeChat กันเถอะค่ะ”
จากนั้นทั้งสองก็เพิ่มเพื่อนได้สำเร็จ หนวนหน่วนมองไปในรายชื่อแล้วครุ่นคิด
“แล้วตอนนี้พี่ซูหรานเป็นอาจารย์ของหนวนหน่วนเหรอคะ?”
ซูหรานใคร่ครวญพลางเลิกคิ้วเข้มดูเป็นทรงขึ้นเล็กน้อย “เธอจะเรียกฉันอย่างนั้นก็ได้นะ”
“อาจารย์~”
หนวนหน่วนยกคิ้วโก่งสูงขึ้นทันที และเรียกอาจารย์ของตนเองด้วยเสียงเอ่ยอันแผ่วเบา
เมื่อมองไปที่เด็กหญิงผิวขาวบางตัวน้อย ๆ อย่างกับเกี๊ยวสีน้ำนมที่อยู่ตรงหน้า ซูหรานรู้สึกว่าหัวใจของเขาอ่อนยวบลง ศีรษะที่ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผมหนา ๆ ของเธอกำลังถูกมืออันเรียวขาวราวหยกสีขาวลูบอย่างแผ่วเบา หนวนหน่วนเอียงหัว โค้งรับสัมผัสจากฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาอย่างนุ่มนวล
เด็กน้อย…
“ในเมื่อเธอเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันก็มีบางอย่างจะให้ก่อนกลับ”
หนวนหน่วนรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เธอพูดออกไปเบา ๆ “แต่หนูยังไม่ได้ให้ของขวัญอาจารย์เลย”
ซูหราน “ฉันไม่ต้องการของจากเธอเลย”
ไป๋โม่ฮัวรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อมองดูพวกเขา มันกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ได้อย่างไรเพียงแค่พูดคุยกันเพียงเท่านี้?
แต่หนวนหน่วนชอบเรียนรู้สิ่งพวกนี้ ซูหรานจึงไม่เสียแรงที่เอ่ยปากสอนเธอ
วันนี้ซูหรานยุ่งมาก เขาแวะมาทักทายหนวนหน่วนและไป๋โม่ฮัวได้เพียงครู่เดียวแล้วจากไป
เด็กหญิงตัวน้อยเปลี่ยนรายชื่อของซูหรานเป็นอาจารย์อย่างมีความสุข หลังจากนั้นก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มของสาว ๆ ที่อยู่ภายในงานอีกรอบ
หนวนหน่วน : กะ… เกินไปแล้วนะ
ในที่สุดเธอทนเสียงชื่นชมของสาว ๆ ตรงนั้นไม่ไหว หนวนหน่วนจึงจูงมือลูกพี่ลูกน้องออกไปอย่างเงียบ ๆ และก่อนจากไป พวกผู้ใหญ่ก็กังวลใจถึงขนาดส่งข้อความไปบอกคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอ
ไป๋โม่ฮัวยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วหายใจเข้าลึก ๆ “ฟู่… ที่นี่ดีกว่าตั้งเยอะ ฉันรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่มีคนมากมายในห้องโถงนั่น”
ทั้งสองแอบออกไปนั่งข้างน้ำพุในสวน ไป๋โม่ฮัวหยิบขนมต่าง ๆ ออกมาจากกระเป๋าสูทของเขาอย่างแยบยลรวมถึงผลไม้เคลือบน้ำตาลด้วย
หนวนหน่วนเบิกตาขึ้นแล้วร้องว้าวทันที
“เยี่ยมไปเลยค่ะ”
ไป๋โม่ฮัวพอใจมากที่เขาได้หยิบองุ่นมาป้อนให้กับลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของเขา เขารู้ว่านี่เป็นของโปรดของเด็กหญิงตัวน้อย
“ขอบคุณค่ะ พี่ใจดีจัง”
ปากเล็ก ๆ ของหนวนหน่วนแย้มรอยยิ้มหวานเยิ้ม เธอกล่าวขอบคุณเขาด้วยแก้มกลม ๆ และสวมกอดเขาเบา ๆ
ไป๋โม่ฮัวยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ที่นี่ไม่มีใครมารบกวน แถมยังเงียบสงบมาก นักชิมสองคนจึงยัดของว่างเข้าเต็มท้องจนอิ่ม แต่แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุย
หนวนหน่วนและไป๋โม่ฮัว “…”
ทำไมถึงมีคนออกมาที่นี่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าการแอบฟังการสนทนาของคนอื่นจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
สองพี่น้องมองหน้ากัน วางแผนจะออกจากงานไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ลืมที่จะคว้าขนมเหลือติดมือไปด้วย
หนวนหน่วนเอียงหูฟัง เสียงนั่น… ดูเหมือนจะเป็นเสียงของพี่ซูหราน
“นั่นพี่ซูหรานนี่”
เด็กหญิงตัวน้อยดึงเสื้อของลูกพี่ลูกน้องอย่างตื่นเต้นแล้วบอกเขาด้วยเสียงแผ่ว
“ไปดูกันเถอะ”
แต่อีกเสียงหนึ่งฟังดูไม่สุภาพเลย พวกเขาทั้งสองกลัวว่าซูหรานกำลังแย่
“ฉันเป็นพ่อแกนะ!”
ทันทีที่เดินไปถึง พวกเขาก็ได้ยินเสียงชายวัยกลางคนตะโกนอย่างหยาบคาย
“แค่จัดการเรื่องงานให้พี่ชายของแกทำไม่ได้เหรอ? ใช่สิ เขาไม่ใช่พี่ชายจริง ๆ ของแก เป็นแค่พี่น้องร่วมสายเลือดแกเท่านั้น แต่ในภายหน้าตระกูลนี้ก็ต้องการญาติของแกมาช่วยเหลือเกื้อกูลให้บริษัทก้าวหน้าขึ้น คนภายนอกจะเทียบกับคนในตระกูลไม่ได้หรอก แค่ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปให้พี่ชายของแกมันไม่เพียงพอหรอก”
อา… เขาช่างกล้าพูดเรื่องไร้ยางอายด้วยความมั่นใจแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
ไป๋โม่ฮัวดูตื่นตระหนก รู้สึกว่าเขายังรู้อะไรน้อยเกินไป
หลังจากสิ้นเสียงของชายวัยกลางคน เสียงของซูหรานก็ดังขึ้น
“ผมไม่ทำ”
ซูหมินห่าว “ทำไม่ได้ก็ต้องทำ ฉันจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย!”
ซูหราน “งั้นผมจะบอกคุณปู่เดี๋ยวนี้”
“แก…”
ซูหมินห่าวมองไปยังลูกชายของเขาด้วยสายตาที่ดูไม่ดีนัก เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ทำไมปู่ของแกต้องมายุ่งกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ปู่แกแก่มากแล้ว แกไม่รู้จักเกรงใจบ้างเหรอ”
นัยน์ตาสีเข้มของซูหรานมองชายที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความโกรธเคือง
“พ่อเป็นลูกชายที่ไม่เคยเข้าใจพ่อของตัวเองเลย แต่พ่อกลับอยากให้ผมเข้าใจพ่ออย่างนั้นเหรอ”
ซูหมินห่าวแทบช็อก แต่เขาก็ยังไม่ยอม “ยังไงก็ตาม แกต้องจัดการตำแหน่งงานในบริษัทให้พี่ชายของแก เขาต้องไม่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผู้จัดการทั่วไป อย่าให้เขาถูกเอาเปรียบได้ล่ะ”
ซูหรานย้ำอย่างจริงจังว่า “แม่เป็นเพียงผู้ให้กำเนิดผมเท่านั้นสินะ”
ซูหมินห่าวมองเขาด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกรำคาญ
“แต่ยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของแก! และฉันก็เป็นพ่อของแก ส่วนเรื่องของฉันยังไม่ถึงเวลาที่จะให้คนมาจัดการให้ แกทั้งคู่มีสายเลือดของตระกูลซูของฉันอยู่ในตัวของแก จะบาดหมางกันอย่างนี้ได้ยังไง”
“แกยังเด็กมาก จะดูแลเรื่องต่าง ๆ ได้มากมายขนาดนี้ได้ยังไง ให้พี่ชายของแกมาช่วยไม่ดีกว่าเหรอ เทียนจื่อเองก็จบจากมหาวิทยาลัยแล้ว น่าจะช่วยแกดูแลบริษัทได้”
สายตาที่แสดงความเย้ยหยันในดวงตาของซูหรานไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
“เบื้องหลังความสำเร็จของซูเทียนจื่อที่พ่อต้องบริจาคอาคารเพื่อให้เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยน่ะเหรอ พ่อไม่รู้สึกละอายบางเหรอที่พูดออกมา ไม่พอยังกล้าดูถูกตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปอีก คิดว่าผมโง่มากเหรอ”
“พ่อไม่รู้อะไรบ้างเลย ลูกน้องจะทำงานได้ดีถ้าได้รับเงินเดือนค่าจ้างขั้นต่ำ ผมจะหาตำแหน่งให้ซูเทียนจื่อไปทำไม คิดว่าเขามีความสามารถอะไรเหรอ อยากให้เขาเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ผม หรืออยากให้เขามาปล้นทรัพย์สินผมล่ะ?”
“พ่อบอกผมทีว่า ครอบครัวไหนบ้างที่ลูกนอกสมรสกับลูกชายของภรรยาแท้ ๆ จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้อย่างแท้จริง ผมไม่ยุ่งกับพวกเขาเลย เชิญมีความสุขกันไปเถอะ ถ้าพ่อทำให้ผมลำบากใจอีก คราวหน้าผมจะหาคนมาทำร้ายซูเทียนจื่อให้เละไม่เหลือชิ้นดี”
“แก แก… ไอ้สารเลว!” ซูหมินห่าวโกรธจัด เขาเงื้อมือขึ้นหมายจะตบให้รู้สำนึก
ซูหรานมองเขาอย่างใจเย็น “ตบผมสิ แล้วผมจะให้คนไปจัดการซูเทียนจื่อ ไม่ต้องนึกถึงเม็ดเงินในวันข้างหน้านะ ผมจะถอนตัวออกจากโครงการของบริษัท พ่อลองคำนวณมูลค่าการสูญเสียของการตบครั้งนี้ด้วยนะ ว่ามันเท่าไหร่”
ซูหมินห่าว “…”
เขาสู้เด็กคนนี้ไม่ได้เลย