ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 74 เด็กหนุ่มซูหราน
บทที่ 74 เด็กหนุ่มซูหราน
เด็กหนุ่มดูเหมือนจะชะงักไปเมื่อได้ยินคำอธิบายนั้น สายตาของเขาสบเข้ากับเจ้าหมาตัวใหญ่ข้างตัวหนวนหน่วน
“ต้องขอโทษด้วย”
น้ำเสียงเยือกเย็นตอบกลับมาจากเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตรงมาอย่างช้า ๆ จากศาลานั้น ผมของเขาตัดสั้นดูเรียบร้อย เช่นเดียวกับชุดเสื้อคอจีนกระดุมถักสีดำปักลายไผ่เองที่ดูประณีต รูปร่างและท่าทางของเขาดูราวกับต้นไผ่เพรียวงดงาม ให้ความรู้สึกสดชื่นยามได้มอง
ถ้าไม่ใช่เพราะผมที่ตัดสั้นแบบสมัยนิยม ไป๋โม่ฮัวก็อดคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่าเจ้าหมากับลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยได้พาเขาทะลุมิติมาสมัยโบราณเสียแล้ว เขานึกว่าตนได้พบกับคุณชายจากขุนนางตระกูลใหญ่ในอดีตเสียอีก
แม้ว่าคนตรงหน้าจะยังไม่โตเต็มที่ ใบหน้ายังมีแววของความเป็นเด็กอยู่บ้าง แต่ท่าทางการพูดจากลับดูราวกับพวกผู้ใหญ่ มีท่าทางสุขุมน่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก
เท่าที่ไป๋โม่ฮัวเคยได้พบมา คนคนนี้คงเป็นคนที่สองที่พร้อมไปด้วยหน้าตา ท่าทางและความสามารถราวกับหลุดมาจากภาพวาด
แน่นอนว่าคนแรกที่เขาได้พบก็คือลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกันนี่เอง แม้ว่าเธอจะยังเด็กมาก แต่ก็น่ารักน่าดึงดูดเป็นที่สุด
“สิงอวิ๋น”
เพียงเขายกมือขึ้น เจ้าหมาตัวใหญ่ข้างหนวนหน่วนก็กระดิกหางแล้วเดินตรงเข้าไปหาเจ้านาย มันเอียงหัวให้เด็กหนุ่มลูบไล้แล้วนั่งลงข้าง ๆ อย่างมั่นคง
“ฉันชื่อซูหราน นี่หมาฉันเองชื่อสิงอวิ๋น”
หนวนหน่วนที่ยืนข้างลูกพี่ลูกน้องเริ่มแนะนำตัวอย่างเขิน ๆ
“หนูชื่อกู้หนวนหน่วนค่ะ ใคร ๆ ก็เรียกว่าหนวนหน่วน”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้า ๆ “สวัสดีหนวนหน่วน คุณปู่บอกฉันว่ามีแขกมา น่าจะเป็นพวกเธอสินะ”
ไป๋โม่ฮัว “ฉัน… ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย”
ซูหรานตอบด้วยเสียงนุ่มทุ้ม “ฉันรู้จักนาย ไป๋โม่ฮัว ลูกชายของตระกูลไป๋ เมื่อสองปีก่อนนายกลัวสิงอวิ๋นจนร้องไห้ ฉันยังพามันไปขอโทษนายอยู่เลย”
ไป๋โม่ฮัวรีบตอบ “…ไม่ต้องเล่าเรื่องนั้นก็ได้”
หมดกัน ภาพลักษณ์พี่ชายเข้มแข็งของน้องสาวตัวน้อยที่อุตส่าห์สร้าง
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ศาลา ซูหรานจึงปิดม่านไม้ไผ่ลงให้อากาศข้างในเริ่มอบอุ่นขึ้น
เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี บรรจงรินน้ำชาให้แขกทั้งสองราวกับเป็นการรับแขกผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีขนมเล็ก ๆ น่าทานอยู่บนโต๊ะอีกคนละจาน
ไป๋โม่ฮัวจับแมวส้มให้ห่างจากเจ้าหมาใหญ่ที่นั่งอยู่ในศาลานี้พลางลอบมองมันอย่างระมัดระวัง
ซูหรานเอ่ยอย่างนิ่ง ๆ “สิงอวิ๋นไม่ทำร้ายใครหรอก เวลาพาออกมาจะเรียบร้อยมาก ตอนนี้ก็ล่ามมันไว้แล้วด้วย”
คนกลัวหมายังคงพึมพำกับตัวเอง “ใครใช้ให้ตัวใหญ่ขนาดนั้นเล่า ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี”
ซูหรานมองไปทางเด็กหญิงตัวจ้อยที่กำลังนั่งจิบชา เจ้าตัวประคองถ้วยชาไว้ในมือน้อย ๆ ส่วนสิงอวิ๋นขยับหัวของมันเข้ามาใกล้ เด็กน้อยไร้ซึ่งความกลัว เพียงแค่ลูบหัวโต ๆ ของมันด้วยรอยยิ้ม
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “บางทีความกล้าก็อาจจะไม่เกี่ยวกับอายุสินะ”
เป็นคำพูดที่ทำให้ไป๋โม่ฮัวรู้สึกราวกับถูกแทงจึ้กเข้ามาตรง ๆ
เจ้าเด็กนี่มันปากกรรไกรชัด ๆ
“เข้ามาที่บ้านฉันได้ยังไงกัน”
ซูหรานเริ่มถาม หนวนหน่วนจึงเล่าเรื่องลูกแมวที่ตกลงไปหลังกำแพงและสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว คำพูดเด็กน้อยฉะฉานน่าฟัง มือของเธอพลางลูบหัวเจ้าสิงอวิ๋นไปด้วย ระหว่างนั้นก็ลอบมองใบหน้ารูปสลักของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างอดไม่ได้
“สิงอวิ๋นไม่ทำร้ายแมวหรือใคร ๆ หรอก มันเคยเป็นสุนัขทหาร ตอนนี้ปลดประจำการแล้วเพราะได้รับบาดเจ็บ”
ดวงตากระจ่างดั่งลูกแก้วของหนวนหน่วนฉายแววงุนงงขึ้นมา “พี่ซูหราน สุนัขทหารคืออะไรคะ”
ซูหรานมีใบหน้าอ่อนโยนงดงามแบบโบราณ แต่เขาก็ยังดูเด็ก แม้อารมณ์จะค่อนข้างสุขุม แต่ก็ทำให้เกิดบรรยากาศของความสบายใจยามได้อยู่ใกล้
“สุนัขทหารก็เหมือนคนที่เป็นทหาร เป็นฮีโร่ คอยปกป้องประเทศ…”
เจ้าบ้านเริ่มอธิบายความหมายของสุนัขทหารด้วยคำอธิบายแบบง่าย ๆ ให้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าใจได้ และเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสิงอวิ๋นด้วย
ได้ยินแบบนั้นหนวนหน่วนก็มองไปทางเจ้าตัวใหญ่ด้วยสายตาชื่นชมพร้อมกับความเป็นห่วงอยู่ในที
“ตอนนี้สิงอวิ๋นยังเจ็บอยู่ไหมคะ”
อ้อมแขนเล็ก ๆ โอบรอบคอเจ้าหมาใหญ่เอาไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอแนบเข้าไปใกล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนปุยของมัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมาใหญ่ก็ชอบเด็กน้อยน่ารักคนนี้มากเหมือนกันจึงได้ขยับตัวมาแนบร่างเล็กของหนวนหน่วนด้วย มันเองก็อยากปลอบใจเด็กน้อยเช่นกัน
ดวงตาลึกล้ำสีดำสนิทของซูหรานจับจ้องไปที่เด็กน้อยและอดีตสุนัขทหารของเขา
“บางทีมันก็เจ็บ”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็พูดต่อ “สิงอวิ๋นชอบเธอมากเลย”
ตอนที่สิงอวิ๋นถูกรับมาที่บ้าน เด็กหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเจ้าหมาใหญ่ จนเรียกได้ว่ากลายเป็นคู่หูกันแล้ว เพราะเขามีเพื่อนเพียงคนเดียวเป็นเจ้าหมาใจดีตัวนี้
หนวนหน่วนขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ ดวงตาที่มีแต่ความบริสุทธิ์สดใสของหนวนหน่วนทำให้ซูหรานเม้มปากเข้าหากัน
“ฉันเองก็มีน้องสาว”
จู่ ๆ ซูหรานก็มองไปทางไป๋โม่ฮัว
คนถูกมองจึงจ้องกลับไปอย่างไม่เข้าใจ “นาย… จะอวดน้องสาวเหรอ”
การมีน้องสาวน่ารักเป็นเรื่องน่าอวดนั่นแหละ ว่าแต่นี่เขามีน้องสาวอยากจะอวดด้วยเหรอเนี่ย
เด็กหนุ่มส่ายหน้าเรียบ ๆ ไม่คาดว่าเขาจะขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันไม่ค่อยถูกกับน้องสาว เธอไม่ได้น่ารักบริสุทธิ์เหมือนหนวนหน่วนหรอก แล้วก็มักจะแย่งอะไร ๆ ไปจากฉัน ถ้าเลือกได้ก็อยากจะแลกน้องสาวกับนายมากกว่า”
เรื่องนั้นทำเอาคนฟังต้องนิ่งไป ”…”
หนวนหน่วนเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา “…”
เอ๊ะ! มันใช่อะไรที่ขอกันแบบนี้ได้หรือยังไงกัน ทำไมถึงพูดเรื่องแปลก ๆ แบบนั้นออกมาได้อย่างจริงจังเหมือนเป็นเรื่องปกติแบบนี้
คนเป็นพี่ชายรีบคว้าแขนน้องน้อยเข้ามาหาตัวแล้วจ้องไปทางซูหรานอย่างระแวดระวังเหมือนที่เคยมองสิงอวิ๋น
“นี่น้องสาวฉันนะ”
จงใจเน้นคำว่า ‘น้องสาวฉัน’ ให้ชัด ๆ เผื่อว่าคนตรงข้ามจะไม่ได้ยิน
ซูหรานตอบนิ่ง ๆ “ก็มาเป็นน้องสาวฉันแทน”
พูดราวกับเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปได้!
ไป๋โม่ฮัวคิดขึ้นในใจ ‘นี่มันคนทั้งคนนะ พูดอย่างกับเป็นลูกหมาลูกแมว’
“พี่ซูหราน พี่เปลี่ยนน้องสาวพี่ไม่ได้นะคะ”
หนวนหน่วนรีบโบกมือห้าม เปลี่ยนไม่ได้จริง ๆ นะ หนวนหน่วนยังอยากจะเป็นลูกสาวของคุณพ่อกับคุณแม่อยู่
ซูหรานมีสีหน้าเจือความผิดหวัง “แต่เธอเรียกฉันว่าพี่แล้วนี่”
หนวนหน่วนรีบอธิบายด้วยเสียงหวานใส “นั่นเพราะว่าพี่ซูหรานอายุมากกว่าหนวนหน่วนนี่คะ”
ไป๋โม่ฮัวรีบบอกอย่างไม่พอใจ “ถ้าน้องสาวทำตัวไม่ดี ทำไมไม่บอกให้พ่อแม่ช่วยล่ะ พวกเขาต้องช่วยลูกแก้ปัญหาสิ”
ซูหรานเม้มริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้ง “พ่อฉันไม่สนใจหรอก เขาก็จะบอกให้ฉันยอม ๆ เธอ เดี๋ยวน้าคนนั้นจะพูดอะไรแปลก ๆ ให้พ่อไม่พอใจฉันมากกว่าเดิมอีก”
ระหว่างเล่าเรื่องแบบนั้นซูหรานเพียงแค่ขมวดคิ้วน้อย ๆ ราวกับเป็นเพียงเรื่องของคนอื่น ดวงตาของเขาสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
ส่วนไป๋โม่ฮัวชะงักไปครู่หนึ่ง “เดี๋ยวนะ น้องสาวนายคนนั้นคือ…”
“ใช่แล้ว คนที่เป็นลูกสาวของเสี่ยวซาน”
หลังจากหยุดไปพักหนึ่งก็เริ่มเล่าต่อ “ฉันได้ยินมาว่าทั้งคู่แอบคบกันก่อนที่พ่อกับแม่ฉันจะหย่ากันซะอีก ผู้หญิงคนนั้นชื่อเสี่ยวซาน”
ไป๋โม่ฮัวอยากจะเข้าไปปิดปากอีกฝ่ายเพราะเรื่องที่กำลังเล่า เมื่อเห็นว่าดวงตาใสซื่อของหนวนหน่วนกำลังจับจ้องอย่างตั้งใจฟัง เขาก็แอบขยิบตาให้ซูหรานเป็นการห้ามเขาเล่าเรื่องชู้สาวแบบนี้ต่อหน้าเด็กน้อย นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะให้เด็กเล็ก ๆ มารับรู้ด้วยเลย
แต่ซูหรานไม่ได้เข้าใจการส่งสัญญาณนั้นแม้แต่น้อย เขานึกว่าอีกฝ่ายมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ดวงตา
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเป็นห่วง “นายอยากให้ฉันขอให้หมอประจำบ้านช่วยตรวจตาให้ไหม”
ไป๋โม่ฮัวหมดคำจะพูด “…ไม่เป็นไร”
นี่ต้องเป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย เรื่องที่เล่ามันก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่เลี้ยงลูกชายมาให้เป็นคนไม่มีเซนส์แบบนี้ยังไงกัน
หรือบางทีเขาอาจจะยังฉลาดไม่พอที่จะส่งสัญญาณให้ซูหรานเข้าใจ