ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 69 พี่ชายของแม่
บทที่ 69 พี่ชายของแม่
คุณหญิงกู้ก็แต่งตัวให้หนวนหน่วนแล้วพาเธอเดินทางออกจากหลินเฉิงไป
“คุณแม่ บ้านอากู๋อยู่ตรงไหนคะ?”
เนื่องจากว่าคุณแม่และคุณพ่อจะพาเธอไปบ้านของอากู๋ ตากับยายเสียไปนานแล้ว ตอนนี้อากู๋จึงอยู่ดูแลครอบครัวใหญ่ที่บ้านของคุณตาคุณยายเพียงลำพัง ดังนั้นต่อให้รู้ว่าหนวนหน่วนกลับมาแล้วก็ไม่ได้เจอได้ง่าย ๆ
คุณแม่จึงพาเธอมาหาด้วยตนเอง
คุณหญิงกู้ลูบหัวของเธอ “เดี๋ยวขึ้นเครื่องบินไปไม่นานก็ถึง บ้านของอากู๋อยู่ที่เจียงหนาน”
“ต้องขึ้นเครื่องบินเหรอคะ?”
หนวนหน่วนมองคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยสายตาเป็นประกาย
กู้หลินโม่พยักหน้ายืนยัน “ใช่ เครื่องบินส่วนตัวของครอบครัวเรา”
หนวนหน่วนที่เพิ่งจะได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก เธอเลยรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเล็กน้อย และเมื่อได้เห็นเครื่องบินกับตาครั้งแรก เธอก็พูดอะไรไม่ออกนอกจากอ้าปากค้างอย่างทึ่ง ๆ
ปรากฎว่าเครื่องบินที่เห็นว่าลำเล็กเมื่ออยู่บนท้องฟ้า แท้จริงแล้วมีขนาดใหญ่มาก!
การตกแต่งและจัดวางภายในเครื่องบินยังหรูหรามากอีกด้วย มีของกินและเครื่องดื่มทุกอย่าง นอกจากนี้หนวนหน่วนไม่มีอาการเมาเครื่องบินเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งคุกเข่าบนโซฟานุ่ม ๆ แล้วมองออกไปข้างนอกพร้อมกับจับขอบหน้าต่างไว้
เมื่อขึ้นบินไปแล้ว เธอก็เห็นตัวอาคารและผู้คนกลายเป็นจุดสีดำราวกับมด จนกระทั่งมองไม่เห็นในที่สุด
พอเครื่องบินทะยานเหนือก้อนเมฆ หนวนหน่วนก็พบว่าปุยเมฆที่ดูเหมือนปุยฝ้ายแท้จริงแล้วหนามาก อีกทั้งยังขาวราวกับหิมะ มันลอยอยู่ทั้งใกล้ ๆ และไกล ๆ สุดลูกหูลูกตา ไร้ขอบเขตราวกับทะเล เด็กน้อยมองกลุ่มเมฆที่เคลื่อนผ่านตาไปทีละน้อย
นับตั้งแต่ที่ขึ้นเครื่องบิน เธอก็อยู่ในอาการตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นไปหมด มองนู่นนี่นั่นไปเรื่อยจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็ลดน้อยลง เด็กน้อยนั่งเงียบบนเก้าอี้โซฟาแสนนุ่มแล้วก้มศีรษะเล่นโทรศัพท์ของตนเองแทน
“เสี่ยวอ้าย?”
น้ำเสียงเสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกขึ้นอย่างแผ่วเบา
[ฉันอยู่นี่] เสียงเอไอดังขึ้น ก่อนจะปรากฎรูปใบหน้ายิ้มขึ้นบนจอโทรศัพท์
หนวนหน่วนกระพริบตาปริบ ๆ “เสี่ยวอ้ายออกมาได้ด้วยเหรอ?”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเซียวอ้ายดูบูดบึ้งขึ้นทันที [คุณหนูน้อยไม่ชอบเสี่ยวอ้ายเหรอ?]
หนวนหน่วนรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าไม่ใช้โทรศัพท์บนเครื่องบินจะดีที่สุด”
เสี่ยวอ้ายกลับมายิ้มเผล่ [ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าของต้องการ เสี่ยวอ้ายก็สามารถออกมาได้]
หนวนหน่วนยิ้มอย่างอ่อนโยนจนคิ้วขมวด ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน เธอก็ได้คุยกับคุณพ่อ คุณแม่ ไหนจะเสี่ยวอ้ายอีก ไม่น่าเบื่อเลย
เมื่อลงจากเครื่องแล้ว เธอก็ได้กินอาหารหลากหลายอย่างจนอิ่มท้อง
“ใกล้จะถึงแล้วนะ อากู๋อาจจะเข้มงวดหน่อย เพราะว่าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเลยต้องรับมือกับลูกศิษย์ ถ้าไม่เข้มงวดก็จะไม่สามารถคุมนักศึกษาได้ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนอ่อนโยนมากเลยนะจ๊ะ”
“หนูยังมีลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนที่อยู่ต่างประเทศด้วย ลูกพี่ลูกน้องคนแรกเป็นหมอตอนนี้เก็บตัวทำวิจัยอยู่ ลูกพี่ลูกน้องคนที่สองเป็นจิตรกร วาดรูปเก่งมากเลยนะ หนวนหน่วนเห็นภาพพวกเราตรงทางเดินไหม นั่นเป็นภาพวาดรูปของคุณพ่อกับคุณแม่ที่เขาวาดให้ แต่น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่ค่อยวาดรูปเหมือน เราก็เลยมีแค่รูปนั้นรูปเดียว”
หนวนหน่วน “!!!”
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ภาพวาดตรงหน้าเหมือนคุณพ่อและคุณแม่ของเธอทุกส่วน สวยงามราวกับภาพถ่าย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นภาพวาด
“สวยมากเลยค่ะ” แววตาของเด็กหญิงปลาบปลั่งไปด้วยความชื่นชม
พี่น้องของเธอช่างเก่งอะไรเช่นนี้!
คุณหญิงกู้ยิ้ม เธอจับเข้าที่ใบหน้ากำลังยิ้มแย้มของลูกสาว ดูเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นแล้ว ผิวเด็กน้อยทั้งเรียบเนียนและอ่อนโยน เริ่มขาวผุดผ่องขึ้นเป็นสีขาวน้ำนม มองไปมองมาเหมือนคุณย่ามากขึ้นเรื่อย ๆ
ครอบครัวของคุณหญิงกู้เป็นตระกูลนักวิชาการ ผู้อาวุโสหลายรุ่นในครอบครัวเป็นถึงอาจารย์และมีอิทธิพลในด้านหน่วยงานการศึกษา แต่ก็ยังเทียบกับตระกูลฉินไม่ได้
ตระกูลฉินเป็นตระกูลบรรพบุรุษของหนวนหน่วน ซึ่งเป็นตระกูลนักวิชาการที่มีอายุเก่าแก่นับศตวรรษ ตั้งแต่สมัยโบราณได้อุทิศตนให้กับพระสันตปาปาเพื่อการศึกษา ตระกูลนี้จึงค่อนข้างเข้มงวด แม้ว่าจะมีผู้ชายอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็รักษากฎของครอบครัวและทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด
เมืองทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเป็นเมืองที่สวยงาม อาคารส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นเหมือนศาลา ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์แบบสวน
บ้านเก่าของตระกูลไป๋ตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีภูเขาสวยงามและน้ำทะเลใส ในลานบ้านมีคานแกะสลักและอาคารทาสี ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งปลูกสร้างในอาณาจักรเซี่ยตั้งแต่สมัยโบราณ
สิงโตหินสองตัวบริเวณหน้าประตูใก้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และมีอำนาจ เมื่อเดินผ่านประตูหลักเข้าไปจะพบกับต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ที่ต้องใช้คนถึงสี่คนโอบล้อม
ณ เวลานี้เป็นช่วงที่ใบของต้นแปะก๊วยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองพอดี ลักษณะของใบมีรูปร่างคล้ายใบพัดขนาดเล็กที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม ให้ความรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
อิฐสีฟ้าและพื้นหินใต้ต้นแปะก๊วยปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเหลืองทอง เผยให้เห็นความงามตามธรรมชาติ
หนวนหน่วนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้เงยหน้าขึ้นมอง ขาสั้น ๆ ของเธอแทบไม่ขยับ
เด็กหญิงตัวเล็กไร้เดียงสาดวงตาเบิกกว้าง ม่านตาที่กระจ่างสว่างไสวของเธอสะท้อนไปด้วยภาพใบแปะก๊วยขนาดใหญ่เหนือศีรษะ
“ยังสวยอยู่เลย ลานนี้ค่อนข้างเก่า ผลัดเปลี่ยนเจ้านายมาหลายชั่วคน ต้นไม้ต้นนี้อยู่มาก่อนที่เราจะย้ายเข้ามาเสียอีก”
หนวนหน่วนจับมือคุณพ่อกับคุณแม่แล้วพยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง ลานบ้านช่างสวยงามจริง ๆ
“หนวนหน่วนอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ไหม?”
หนวนหน่วนเงยหน้ามองคุณหญิงกู้ “ไปได้เหรอคะ?”
“ไปเถอะจ้ะ”
เมื่อสาวน้อยได้รับแรงสนับสนุนจากผู้เป็นแม่ เธอก็ก้าวเหยียบพื้นลานบ้านอันเก่าแก่อย่างระมัดระวัง เธอพยายามจะไม่เหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นเหล่านั้น แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินไปทางต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่
หนวนหน่วนค่อย ๆ วางฝ่ามือขาวอันบอบบางของตนลงบนลำต้นที่มีพื้นผิวขรุขระด้วยความระมัดระวัง
เมื่อลมพัดผ่าน ใบของต้นแปะก๊วยก็พากันส่งเสียงกรอบแกรบ เด็กน้อยรู้สึกว่า สายลมที่พัดผ่านทำให้ดูเหมือนกับว่าใบไม้พวกนั้นกำลังโบกมือทักทายเธอ
รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนดวงตาของหนวนหน่วน ทันทีที่เธอเงยศีรษะขึ้นก็ราวกับว่าจะได้ยินเสียงแผ่วเบาดังเล็ดลอดออกมา เสียงของใบไม้ที่นับไม่ถ้วนนี้คงกำลังเอ่ยทักทายเธออยู่
‘สวัสดี’
หนวนหน่วนเม้มปากสีชมพูเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ยิ้มกว้าง คิ้วและดวงตาของเธอยกราวกับพระจันทร์ที่ส่องแสงกระจ่าง มันขับประกายสีทองอันอบอุ่นออกมา ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
“สวัสดี”
เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยทักทายต้นไม้ใหญ่อย่างนุ่มนวล
“พี่”
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแม่ของตนเรียกหาใครบางคน เมื่อหันกลับไปก็พบเข้ากับชายวัยกลางคนผู้มีดวงตาและใบหน้าที่เคร่งขรึมคนหนึ่ง
เขาเป็นคนเที่ยงตรง แต่ไม่ใช่พวกความเที่ยงตรงเหมือนทหารหาญ มันคือความเย่อหยิ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ นอกจากนี้ร่างกายของเขาก็สูงเหยียดราวกับต้นสนที่ทั้งตรงดิ่งและไม่ยอมใคร
บรรยากาศรอบตัวของเขากดดันเคร่งเครียด ทั้งท่าทางที่เอามือไพล่หลังและสวมชุดสีเทาเข้มนั้น ช่างดูคล้ายกับอาจารย์ที่น่านับถือที่ในยุคสาธารณรัฐจีนเหลือเกิน นอกจากดูสง่าผ่าเผยแล้ว ก็ยังดูน่าเชื่อถือมากเช่นกัน