ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 6 นิสัยเด็กน้อยของคุณปู่และคุณพ่อ
บทที่ 6 นิสัยเด็กน้อยของคุณปู่และคุณพ่อ
ผู้เฒ่ากู้เฝ้ามองลูกชายและลูกสะใภ้อย่างอิ่มเอมใจ หารู้ไม่ว่าตนแสดงสีหน้าสดใสออกมาโดยไม่ตั้งใจ บนหน้าแทบจะเขียนว่า ‘หนวนหน่วนคนโปรดของปู่’
กู้หลินโม่ยังไม่ยอมแพ้ “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราไปเดินเล่นด้วยกันนะหนวนหน่วน”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วยิ้มเผล่ออกมา แม้ว่าผิวของเธอจะคล้ำแต่ก็ไม่สามารถซุกซ่อนความน่ารักน่ามองเอาไว้ได้ ยิ่งยิ้มหนวนหน่วนก็ยิ่งขับความน่ารักออกมา
เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
กู้หลินโม่เงยหน้ามองชายชราด้วยสายตาเรียบ ๆ
ผู้เฒ่ากู้ “…”
ไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้นี่!
เมื่อเห็นสายตาของทั้งคู่ คุณหญิงกู้ก็แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่ สองผู้อาวุโสในบ้านเริ่มทำตัวไร้เดียงสาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“คุณแม่ แล้วพี่ล่ะคะ?”
ซาลาเปาในมือของหนวนหน่วนถูกกัดกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวไปแล้ว มันอร่อยมากจนทำให้ตาหนวนหน่วนเป็นประกายกระจ่างยิ่งกว่าธารน้ำใส
หนวนหน่วนทานอย่างมีความสุข แม้ว่าตัวเธอจะผอมบางแต่ก็ไม่อาจซ่อนความน่ารักเอาไว้ได้
เมื่อมองดูหลานสาวกำลังทานอาหาร ความอยากอาหารของผู้เฒ่ากู้ก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
“ช่างเขาเถอะ คงกำลังหลับอยู่ เจ้านั่นไม่ตื่นจนกว่าสิบโมง”
หนวนหน่วนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะแลบลิ้นเพื่อเลียริมฝีปากจัดการกับซาลาเปาที่เหลือ แก้มของเธอพองราวกับหนูแฮมเตอร์ตัวน้อยกำลังอยากอาหาร มองอย่างไรก็น่าหยิกน่าฟัดเป็นที่สุด
เดิมทีการหักห้ามใจเป็นนิสัยหลักของหนวนหน่วน เมื่อก่อนตอนอาศัยที่หมู่บ้าน เธอไม่ค่อยกล้าทานเยอะสักเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าจะถูกผู้คนรังเกียจ และในวันนี้ก็เช่นกันเธอพยายามหักห้ามใจตนเองไม่ให้ทานมากจนเกินไป
แต่อาหารเช้านี้อร่อยเหลือเกิน รู้สึกตัวอีกทีซาลาเปาก็โดนเธอจัดการไปแล้วรวมถึงพวกโจ๊กทะเลชามเล็ก ๆ และขนมจีบสองสามชิ้นพวกนี้ด้วย
หนวนหน่วนวางตะเกียบลงด้วยท่าทีเกร็ง ๆ และปรายตามองคนอื่นบนโต๊ะด้วยความรู้สึกผิด
อยากกินอีกจัง จะน่าเกลียดไหมนะ
หนวนหน่วนทำสีหน้าเคร่งเครียด สองนิ้วพันวนกันอยู่ใต้โต๊ะอาหาร
“หนวนหน่วน อิ่มแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเธอหยุดทาน คุณหญิงกู้จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “กินให้เยอะกว่านี้ได้ไหมจ๊ะ เอาให้เยอะกว่าที่เคยกินมาเลย แต่อย่าให้มากเกินไป ไม่อย่างนั้นลูกจะปวดท้องเอาได้ รู้ไหม”
ผู้ใหญ่อีกสองท่านบนโต๊ะก็ร่วมแสดงความห่วงใยเธอด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้รังเกียจตน หนวนหน่วนจึงยอมคลายความกังวลลงในที่สุด เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเชื่อฟังก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย
“อื้ม กินอิ่มแล้วค่ะ”
ผู้เฒ่ากู้เช็ดปากอย่างละเมียดละไมแล้วพูดกับหนวนหน่วนด้วยรอยยิ้มใจดี
“ปู่เห็นหนวนหน่วนกินข้าวอร่อยมาก งั้นกินโจ๊กเพิ่มอีกชามด้วยนะ”
ผู้ดูแลคฤหาสน์ส่งยิ้มให้หนวนหน่วนเช่นกันก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าหลังจากคุณหนูกลับมาที่นี่ สุขภาพของท่านจะดีขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นพรจากนางฟ้าตัวน้อยสินะครับ”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ชายชราอยากอาหารและทานได้น้อยลง ทุกคนจึงแอบกังวล แต่ ณ ตอนนี้ ชายชรากลับมาทานอาหารได้มากขึ้นแล้ว ใครเห็นย่อมสบายใจ
หนวนหน่วนหัวเราะชอบใจก่อนจะเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “คุณปู่ควรทานให้เยอะกว่านี้นะคะ”
ชายชราปรบมือหัวเราะชอบใจยกใหญ่ “ตกลง ตกลง จากนี้ไปปู่จะกินข้าวกับหนวนหน่วน เราสองคนมากินกันให้เยอะ ๆ เลยนะ”
หนวนหน่วนพยักหน้าอย่างหนักแน่น แน่นอนว่าเธอมีความสุขมาก
“ไปกันเถอะหนวนหน่วน ปู่จะพาหมากับแมวสองตัวของหนูไปเดินเล่น”
กู้หลินโม่ไม่ยอมน้อยหน้า “อะไรกัน เราตกลงกันแล้วว่าจะให้ผมพาไปไม่ใช่หรือไง”
ผู้เฒ่ากู้มองไปที่เขาก่อนจะจับมือเล็กของหนวนหน่วน “แกควรไปทำงานที่บริษัทได้แล้ว”
กู้หลินโม่เดินมาจับมือหนวนหน่วนอีกข้าง “ผมไม่รีบ ยังไม่ถึงเวลา อีกอย่างผมเป็นประธานบริษัท ใครจะกล้าติผมที่เข้าทำงานสาย? เปรียบเทียบความสำคัญแล้ว ลูกสาวของผมย่อมสำคัญกว่า”
กู้หลินโม่จงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ลูกสาวของผม’ หนักแน่นเป็นพิเศษ
ผู้เฒ่ากู้บ่นเสียงดัง เขาเคยคิดว่าลูกชายของตนเป็นคนสุภาพและสุขุม แต่ตอนนี้เหมือนจะถูกพรากความสุขุมนั้นไปเสียแล้ว!
“ลูกสาวของแกอย่างนั้นเหรอ? แล้วไม่ใช่หลานสาวของฉันหรือไง!”
สองพ่อลูกเริ่มทะเลาะกันอย่างจริงจังหลังจากมีความเห็นไม่ลงรอยกัน สถานการณ์แบบนี้พบเจอได้ค่อนข้างยาก เรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งพ่อบ้านและคุณหญิงกู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพูดอะไรไม่ออก ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นเด็กไร้เดียงสากันได้ถึงเพียงนี้
หนวนหน่วนมองดูสถานการณ์ กำมือแน่นแล้วพูดว่า
“คุณพ่อ คุณปู่ พวกเราไปด้วยกันนะคะ”
เด็กน้อยยืนคั่นอยู่ตรงกลาง ไม่ได้เบียดเบียนพื้นที่ของพวกเขาแม้แต่น้อย
“ก็ได้ เพื่อหนวนหน่วน ปู่จะทำเป็นไม่ใส่ใจนิสัยเด็กน้อยของพ่อหนูก็ได้”
ชายชราร่าเริง เขาก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉง ไม่หลงเหลือร่างความชราออกมาเลยแม้แต่น้อย
กู้หลินโม่อดกลอกตาแทบไม่ได้ คนที่เด็กน้อยคือใครกันแน่
ทั้งสองพาหนวนหน่วนไปหาต้าหวงกับเหม่ยฉิวที่อาศัยอยู่ในบ้านไม้ในสวน บ้านไม้หลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าบ้านที่หนวนหน่วนเคยอาศัยอยู่มาก แถมยังสวยมากเสียด้วย
“ปกติตรงนี้เป็นห้องสำหรับเก็บของจิปาถะ หลังจากที่ย้ายของทั้งหมดออกไป ก็ถูกสร้างขึ้นให้เป็นห้องของพวกมัน มีทุกอย่างเหมือนที่สัตว์เลี้ยงของคนอื่นมีเลย”
ยังไม่ทันก้าวไปถึงหน้าประตู แมวกับหมาทั้งสองที่หูตาไวก็เดินกระดิกหางออกมาหาหนวนหน่วนด้วยท่าทางสุขล้น
ก่อนที่มันจะเดินไปถึงตัวหนวนหน่วนก็มีเงาอะไรบางอย่างพุ่งลงมาจากฟ้า เหยียบหัวเจ้าตัวขนสีน้ำตาลไหม้ก่อนจะกระโดดขึ้นมาเข้าสู่อ้อมแขนของหนวนหน่วนด้วยท่วงท่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ส่วนต้าหวงได้แต่เดินโซซัดโซเซ ยอมนอนลงแต่โดยดี
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!!!
ต้าหวงเห่าแมวดำที่อยู่ในอ้อมแขนของหนวนหน่วนอย่างบ้าคลั่ง!
เจ้าแมวขนสีดำหมอบลงในอ้อมแขนของหนวนหน่วน เลียอุ้งเท้าด้วยท่าทางงดงาม ก่อนจะเหลือบมองต้าหวงด้วยสายตาเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม
‘เอาอีกแล้วเจ้าตัวดี แบบนี้ไม่ได้การแล้ว’
ต้าหวงกำลังจะกระโดดขึ้นมากัดเหม่ยฉิว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าแมวดำก็ไม่ได้ยอมเป็นฝ่ายกระทำง่าย ๆ มันใช้เวลาเพียงสองวินาทีในการยกอุ้งเท้าของตัวเองขึ้นมาแล้วตบเข้าที่หน้าของต้าหวงอย่างรุนแรง
ผู้เฒ่ากู้และลูกชายที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกเป็นกังวลว่าหนวนหน่วนจะบาดเจ็บ แต่อันที่แล้วพวกเขาเพียงคิดมากไป แม้ว่าทั้งสองจะชอบกัดกัน แต่พวกมันก็ดูแลหนวนหน่วนเสมอ ไม่ได้คิดทำร้ายเธอเลยแม้แต่น้อย
หนวนหน่วนห้ามทั้งคู่เอาไว้ ทั้งสองตัวจึงยอมหยุดลงอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้ากันอยู่ดี
“หยุดตีกันได้แล้ว!”
หนวนหน่วนวางเหม่ยฉิวลงไว้ข้าง ๆ ต้าหวง ก่อนจะใช้มือลูบลงบนลำตัวของมัน ต้าหวงใช้ดวงตากลมโตมองกลับมา ก่อนจะนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
หนวนหน่วนดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างของเด็กน้อยมาก เธอใช้นิ้วน้อย ๆ จิ้มไปยังบริเวณหน้าผากที่มีขนปุกปุยทั้งสองข้างแล้วเริ่มอบรมสั่งสอน
“บอกกี่ครั้งแล้ว ต้าหวงกับเหม่ยฉิวเป็นครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวต้องไม่รังแกหรือทะเลาะกัน ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง? มันจะเจ็บเอามาก ๆ นะ ต้าหวงกับเหม่ยฉิวไม่เชื่อฟังกันเลย เป็นเด็กไม่ดีทั้งคู่ เด็กดื้อแบบนี้จะต้องโดนตี!”