ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 291 พี่อาหนานไม่ต้องการหนวนหน่วนแล้ว
บทที่ 291 พี่อาหนานไม่ต้องการหนวนหน่วนแล้ว
ประธานหวังโกรธมากจนแทบต้องเข้าโรงพยาบาล เขาส่งคนไปสืบหาคำตอบว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากนั้นก็โทรไปต่อว่าลูกชายด้วยความโกรธ บอกให้เขารีบกลับมาในทันที
ภรรยาของประธานหวังได้ยินเข้า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมสามีถึงโกรธ แต่จิตใต้สำนึกกลับนึกถึงลูกชายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเป็นอะไร? ถ้าเด็กทำผิดก็แค่อบรมสั่งสอนให้ปรับปรุงตัวใหม่ จะไปโมโหลูกให้มันได้อะไร…” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็โดนตบหน้าเข้าอย่างจัง
“เด็กเหรอ! ลูกของคุณอายุสามสิบแล้วยังบอกว่ามันเด็กอีกเหรอ คุณรู้ไหมว่ามันไปทำอะไรมา? มันทำโครงการพัฒนาเกมที่ผมตั้งใจลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับนายน้อยตระกูลกู้พังหมดแล้ว! ทั้งหมดก็เพราะผมโง่ที่เชื่อคุณให้พามันไปลองทำงานในบริษัท ผมให้มันลองทำ แล้วดูสิ่งที่ได้กลับมาสิ!”
ภรรยาของประธานหวังยกมือขึ้นจับใบหน้า “คุณตบฉัน!”
จู่ ๆ โทรศัพท์ของประธานหวังก็ดังขึ้น มันเป็นสายเรียกเข้าจากคนที่เขาใช้ให้ไปตรวจสอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซิงรุ่ยเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดเป็นความลับอยู่แล้ว พวกเขาจึงสืบเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย
ประธานหวังที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น “…”
เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนแทบจะต้องถุยน้ำลายออกมา
“หวังกุ้ย คุณเป็นบ้าเหรอ กล้าดียังไงถึงมาตบฉัน!”
หญิงคนนั้นโดนทุบตีอย่างหนัก เธอจ้องเขากลับตาเขม็ง หวังจะสู้กลับ
“ผมเสียโครงการที่ร่วมลงทุนไปหลายร้อยล้าน เกือบจะได้ลงเรือลำเดียวกันกับตระกูลกู้อยู่แล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้มันพังไปหมดแล้ว! แค่ตบนี่มันยังน้อยไป ตอนนี้ผมแทบอยากจะฉีกคุณออกเป็นชิ้น ๆ ซะด้วยซ้ำ ไหนคุณลองบอกความจริงผมหน่อยซิว่า ไอ้ลูกบ้านั่นมันเอาใบปริญญามาจากไหน!!!”
ยิ่งคิดหวังกุ้ยก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก เขาเห็นลูกชายของตัวเองมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาเก่งมาก ผลการเรียนดีเยี่ยมไปหมด หากว่าเขาเก่งจริงแล้วทำไมถึงได้ทำตัวโง่ ๆ แบบนี้ เหมือนพวกกุ๊ยข้างถนนไม่มีผิด
แม้แต่เด็กมัธยมต้นยังรู้เลยว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แล้วทำไมไอ้ลูกชายของเขาถึงทำตัวแบบนี้ได้?
เงินแค่ไม่กี่สิบล้าน คิดว่าคนอย่างตระกูลกู้จะไม่มีปัญญาจ่ายเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าหุ้นส่วนคนอื่นเขายังไม่ผลีผลามว่ากล่าวอะไรเลย สุดท้ายก็เป็นตัวตลกอยู่คนเดียว
เขาไม่สนหรอกว่าลูกชายจะสร้างผลงานอะไรเอาไว้บ้างในสองวันที่ผ่านมา แต่ไอ้ลูกเวรนี่มันกำลังจะทำให้ครอบครัวเป็นหนี้ก้อนโต!
เมื่อได้ยินสามีพูดถึงเรื่องผลการเรียนของลูกชาย ใจเธอก็เต้นแรงขึ้นมาราวกับกลัวความผิด
เมื่อหวังกุ้ยเห็นสีหน้าของภรรยา หัวใจของเขาก็บีบรัด เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ “บอกความจริงมาว่ามันเป็นยังไง!”
หลังจากกดดันอยู่เนิ่นนาน หวังกุ้ยก็ได้รู้ว่าผลการเรียนตั้งแต่เล็กจนโตของลูกชายนั้น ทั้งหมดเป็นของปลอม และการที่ออกไปเรียนต่างประเทศนั้นก็ไม่ใช่ว่าต้องการปรับสภาพแวดล้อมตามที่เคยแอบอ้าง แต่เป็นเพราะหวังเส่ารู้ว่าตนไม่มีทางสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่
เจ้าเด็กนี่มันก็แค่เอาตัวรอด!
ทั้งแม่และลูกต่างแอบทำเรื่องพวกนี้ลับหลัง!
แม่ก็โอ๋ลูกเกิน ทั้งหมดมันเป็นเพราะหล่อนกับลูกชายแท้ ๆ
เมื่อคุณนายหวังรู้ว่าลูกชายของตัวเองทำธุรกิจของครอบครัวขาดทุนไปหลายร้อยล้าน แถมยังทำให้ตระกูลกู้ขุ่นเคืองด้วย เธอก็ลมแทบจับ
ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขายังพอมีเงิน แต่ก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่ล้านเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นตระกูลกู้ด้วย
ไม่นานหวังเส่าก็กลับมาถึงบ้าน โดยปกติแล้วเขาจะไม่กังวลเลยในทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน แต่ครั้งนี้สิ่งที่ทักทายหลังกลับมาถึง ไม่ใช่แค่คำพูดต่อว่าจากผู้เป็นพ่อเท่านั้น แต่มันมาจากทั้งพ่อและแม่ด้วย
หลังจากรู้ว่าครอบครัวของพวกเขากำลังจะสูญเสียโครงการชิ้นใหญ่ในมือไป เขาก็ต้องตกตะลึง
เขาคิดว่าเรื่องที่นายน้อยตระกูลกู้มีอำนาจมากนั้นเป็นเพียงข่าวลือ แต่เมื่อรู้ความจริงเข้า หวังเส่าก็พบว่าตัวเองนั้นช่างโง่เง่ายิ่งนักที่หวังเอาแต่จะได้ ประสบการณ์ครั้งนี้ จึงสอนให้เขาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเสียที
หลังจากนั้น ไม่ว่าตระกูลหวังจะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไร ก็ไม่สามารถกลับมาคบค้าสมาคมกับตระกูลกู้ได้อีก มันเป็นเพราะว่าพวกเขาทำให้กู้หนานขุ่นเคือง
นอกจากนี้หุ้นส่วนธุรกิจรายอื่นก็พยายามหลีกเลี่ยงการคบค้ากับพวกเขาเช่นกัน
กู้หนานทิ้งตระกูลหวังเอาไว้ข้างหลัง เขาต้องจัดการกับงานหลายอย่างในทุก ๆ วัน จะให้เก็บเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยเสียเปล่า เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะจับตาดูตระกูลหวังเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเรื่องนั้นเอาไว้จัดการทีหลังก็ย่อมได้
หนวนหน่วนยังไม่ได้กลับเข้าไปเรียน เธอเอาแต่วิ่งวุ่นไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลเธอมักจะนำดอกไม้สวย ๆ มาใส่แจกันในห้องพักของคนไข้เสมอ จะได้เพิ่มสีสันให้กับวอร์ด
เธอมักจะพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับเหลียงฉือทุกวัน หรือแม้แต่อ่านหนังสือกับเขาในวอร์ด และคอยเฝ้าจนกว่าเขาจะรู้สึกง่วงและหลับไป
ไป๋โม่ซูพยายามชะลออาการของเหลียงฉือด้วยการสกัดยาจากโสมห้าร้อยปี แต่มันก็ให้ผลอยู่ได้ไม่นานนัก มันบรรเทาอาการปวด และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในร่างกายของเขาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว โสมนี่ก็ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ หรือรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทั้งหมด
“พี่อาหนานคะ หนวนหน่วนมาหาแล้วนะ”
เด็กหญิงก้าวขาเดินเข้าไปในวอร์ด พลางมองดูชายหนุ่มที่กำลังโดนใส่ท่อซึ่งบรรจุยาต่าง ๆ ไว้ ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเผือดทันที เธอเม้มปากกลั้นใจก่อนจะเดินเข้าไป
และแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของหนวนหน่วนก็จางหายไป
หลังจากเหลียงฉือกลับมา สภาพร่างกายของเขาก็แย่ลงไปเรื่อย ๆ เซลล์มะเร็งในร่างกายของเขาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทุก ๆ วันดูเหมือนจะเป็นการทรมานเขามากกว่า
ยาที่ไป๋โม่ซูทำออกมา ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลแล้ว
แต่เหลียงฉือก็อดทนกว่าคนปกติทั่วไปมาก ถึงแม้จะเจ็บปวดจนตัวสั่นมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยร้องออกมาเลยสักแอะเดียว แต่แบบนี้มันยิ่งทำให้น่ากังวลใจเข้าไปใหญ่
“พี่อาหนานเจ็บตรงไหนคะ หนวนหน่วนจะเป่าเพี้ยง ๆ ให้ เพี้ยงเดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว”
ใบหน้าของเหลียงฉือซีดราวกับกระดาษ ผิวหนังบนเรือนร่างบางจนเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน เมื่อมองดูก็ช่างคล้ายกับหุ่นเชิดไร้ชีวิต
หนวนหน่วนเห็นว่านิ้วของเขาเริ่มซีดลง ขนตาก็สั่นระริก นอกจากนี้ยังมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตรงหน้าผากด้วย
เธอเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของเหลียงฉือด้วยแววตาแดงก่ำ ก่อนจะใช้สองมือประคองจับฝ่ามือที่แสนเย็นเฉียบ พลางเอ่ยถามว่าเจ็บตรงไหนไหม
“ฉัน… ไม่เป็นอะไร”
เขาฝืนยิ้ม หนวนหน่วนรู้สึกทุกข์ใจมาก เธอสวมกอดเขาอย่างระมัดระวัง “ถ้าเจ็บก็อย่ายิ้มสิคะ”
น้ำตาอุ่นไหลรินออกมาโดยที่เหลียงฉือไม่ทันได้มองเห็น ขนตาโค้งงอนได้รูปของเด็กหญิงเปียกแฉะ น้ำตาไหลเปื้อนลงบนเสื้อของเหลียงฉือด้วยเช่นกัน
“พี่อาหนาน หนวนหน่วน… หนวนหน่วนร้องเพลงให้ฟังเอาไหมคะ”
นิ้วมือของหนวนหน่วนกำเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ด้วยความที่กำแน่นมาก นิ้วมือจึงเริ่มกลายเป็นสีขาว
ใบหน้าเล็กของเธอโน้มลงไปซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา เด็กหญิงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับว่า หากเธอเสียงดังมากกว่านี้ อาจทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเกิดตกใจแล้วจากเธอไปได้
เหลียงฉือวางมือที่เต็มไปด้วยรอยเข็มลงบนศีรษะของเด็กหญิง เขาพยายามลูบมันเท่าที่จะทำได้ พลางตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
น้ำเสียงของเขาดูไร้เรี่ยวแรงมาก
“ระยิบ ระยับ ฟากฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว….”
หนวนหน่วนร้องเพลงออกมาช้า ๆ ทีละคำ คล้ายจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในใจตื่นตระหนก น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
เหลียงฉือมองไปยังเด็กหญิงที่อยู่ข้าง ๆ มุมปากพลันยกยิ้มขึ้น ดวงตาสั่นระริก ไม่นานนักดวงตาก็ปิดลงด้วยความหนักอึ้ง น้ำตาไหลออกมาจากหางตา
ไม่รู้เลยว่ามือที่วางอยู่บนศีรษะนั้นร่วงหล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำตาของหนวนหน่วนไหลรินอย่างไม่ขาดสาย เสียงร้องของเธอยิ่งสั่นเครือมากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหญิงไม่กล้ามองไปที่เตียงเลยแม้แต่น้อย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจภายในห้องเปลี่ยนเป็นเส้นตรงพร้อมกับเสียงตี๊ดที่ดังออกมา เสียงดังจนทำให้ผู้คนใจเสีย
“ระยิบ…ระยับ ฟากฟ้า…เต็มไปด้วยหมู่ดาว…ฮืออ”
นี่คือสิ่งที่ไป๋โม่ซูเห็นเมื่อเขาเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลและหมอคนอื่น ๆ
น้องสาวของเขากำลังร้องไห้ และร้องเพลงอยู่อย่างนั้นเบา ๆ เธอโน้มตัวลงไปอย่างระมัดระวังในอ้อมแขนของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง น้ำตาที่เอ่อล้นนั้นทำให้ดวงตาพร่ามัว นอกจากนี้มันยังเปื้อนลงบนเสื้อผ้าของเหลียงฉือด้วย
“หนวนหน่วน”
ไป๋โม่ซูพูดขึ้น ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปกอดคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้
“พี่โม่ซู ฮือออ หนวนหน่วนเสียใจ พี่… พี่อาหนานเขาไม่ต้องการหนวนหน่วนแล้ว ฮืออ”
หนวนหน่วนสวมกอดพี่ชายแล้วร้องไห้เสียงดัง เอาแต่พูดว่าพี่อาหนานไม่ต้องการเธอแล้ว คนตัวเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดอากาศหายใจไปได้ทุกเมื่อ