ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 246 ไอริสทับหลังคารถ
บทที่ 246 ไอริสทับหลังคารถ
เช่นเดียวกับที่ไคน์ได้พูดไว้เอง โอทิสมีความตระหนักเรื่องอาณาเขตอย่างมาก มันทั้งเผด็จการและลึกลับ ภาพที่ถ่ายได้ไม่กี่ภาพล้วนพร่ามัวมองเห็นตัวมันได้ไม่ชัดเจน เวลากลางวันส่วนใหญ่จะซ่อนตัวอยู่ในที่ลับของมัน แม้แต่โดรนก็หาไม่พบ ตกกลางคืนถึงจะออกมาล่าสัตว์ แต่มันว่องไวมาก แม้ว่าบางครั้งที่โชคดีได้พบก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่จากภาพที่พร่ามัวไม่กี่ภาพก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและท่วงท่าดุจราชาของมัน
อุทยานส่วนตัวของไคน์มีพื้นที่กว้างใหญ่มากและมีสภาพแวดล้อมทางระบบนิเวศวิทยาที่แตกต่างกัน ภายในนั้นนอกจากสัตว์ร้ายที่เขารับเลี้ยงดูแล้ว ยังมีสัตว์กินพืชหลากหลายชนิดที่เขาซื้อมาด้วย
ที่นี่ก่อตัวเป็นวัฏจักรทางนิเวศวิทยาตามธรรมชาติ โดยปกติแล้วไคน์จะไม่ไปรบกวนพวกมันมากนัก สัตว์ที่อยู่ภายในนั้นสามารถเติบโตได้อย่างอิสระ
แน่นอนว่าหากสัตว์ป่าที่เขารับเลี้ยงไว้ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เขาก็ต้องเข้าไปยุ่งและพยายามช่วยพวกมันอย่างเต็มที่
ถึงอย่างไรสัตว์ป่าทุกตัวที่เขารับเลี้ยงและช่วยเหลือนั้นเขาก็เป็นคนตั้งชื่อเอง จึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก
ตลอดทางหนวนหน่วนและคนอื่น ๆ ยังเห็นเสือชีตาห์พักผ่อนอยู่บนต้นไม้ ช้างอาบน้ำในสระ ไปจนถึงกวางซีกาและนกนานาชนิด
“ที่นี่คืออาณาเขตของไอริส ทั่วทั้งบริเวณนี้ นอกจากไอริสแล้วจะไม่มีสัตว์ร้ายอื่นใดย่างกรายเข้ามาที่นี่ได้”
รถออฟโรดแล่นไปถึงหุบเขาที่มีทิวทัศน์สวยงาม ไคน์ตั้งใจสร้างถนนราบเรียบรอบขอบอาณาเขตของสัตว์ป่าทุกตัวที่เขาชอบ ตนจะได้ขับรถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูกรักของเขาได้ทุกครั้ง
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ไอริสไปอยู่ที่ไหนแล้ว เจ้านี่ซ่อนตัวเก่ง หากมันไม่แสดงตัวออกมาเองก็หาไม่พบ ต่อให้เป็นเวลากลางวันก็ตาม แต่พอตกกลางคืนถึงจะเป็นสนามล่าเหยื่อของมัน”
เพราะตัวมันเป็นสีดำสนิท พอถึงเวลากลางคืน ตราบใดที่มันไม่ส่งเสียงสักแอะ จะไม่มีใครหรือสัตว์ตัวใดที่หามันเจอ
ไคน์ถือกล้องส่องทางไกลเกาะขอบหน้าต่างมองหาไปทั่วสักพัก ก่อนจะกล่าวอย่างผิดหวัง “ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง”
หนวนหน่วนถือกล้องส่องทางไกลไว้ในมือ หมอบกับกระจกรถมองไปรอบ ๆ เธอไม่พบเสือดาวดำไอริส แต่พบสัตว์ขนาดเล็กอื่น ๆ มากมาย
ส่วนใหญ่เป็นสัตว์กินหญ้า อย่างเช่นกระต่าย ไก่ป่า กวางซีกา พวกสัตว์กินพืชเหล่านี้จะมีความระแวดระวังสูง รีบวิ่งแจ้นทันทีที่เห็นรถยนต์ของพวกเขามาแต่ไกล
สัตว์กินพืชในอาณาเขตของไอริส ส่วนใหญ่เป็นอาหารของมัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของมันด้วยว่าจะกินตอนไหน
ไคน์เลี้ยงพวกไอริสมาไม่เคยลดทอนสัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกมัน เขาสร้างอุทยานแห่งนี้ด้วยกำลังทรัพย์และอำนาจมากมาย เพื่อให้พวกมันได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
“ไปเถอะ ไปจุดหมายต่อไปของพวกเรากันเถอะ”
ไคน์พูดพลางกำลังจะขับรถออกไป แต่ทันทีที่สตาร์ตเครื่องยนต์ พลันเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมาจากบนหลังคารถ เหมือนมีของหนักกดทับอยู่
“เกิดอะไรขึ้น!”
คนในรถสะดุ้งตกใจ อีวานถามด้วยความตื่นตระหนก
ไป๋โม่ซูมือไวตาไวพุ่งเข้าไปคว้าหนวนหน่วนกลับมากอดไว้ให้เธอนั่งดี ๆ
ไคน์ “มีบางอย่างอยู่บนหลังคารถ”
ทันทีที่เขาพูดจบ หางฟูยาวหนาสีดำก็ห้อยลงมาจากหลังคารถ มันบังเอิญตกลงข้างหน้าต่างที่หนวนหน่วนอยู่พอดี
ทุกคน “!!!”
วินาทีต่อมาหางก็หายไป ปรากฏอุ้งเล็บทั้งสองพาดอยู่ด้านบนของหน้าต่างแทน ไม่นานหัวปุยสีดำขนาดใหญ่ก็โผล่ลงมาจากหลังคารถ
คนบนรถ “!!!!”
อีวาน “ฉิบ!!!”
จางเหลียง “เชี่ย!!!”
ในเวลานี้แม้แต่ไคน์ก็ตกใจเจ้าไอริสจนสะดุ้งโหยง
ไป๋โม่ฮัว “วิญญาณแทบหลุดออกจากร่างแน่ะ”
รูม่านตาของเหลียงฉือและไป๋โม่ซูหดลง มือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแตะมีดผ่าตัดด้วยสัญชาตญาณ
หนวนหน่วน “ไอริส!”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาจับจ้องเป็นประกาย
ไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้จะไม่มีผู้ใหญ่คนใดมีจิตใจกล้าหาญเท่าเด็กคนหนึ่ง
ดวงตาสีเขียวมรกตของไอริสมองหนวนหน่วนผ่านหน้าต่าง เมื่อเธอเรียกชื่อเสือดาวดำ ไอริสก็ส่งเสียงคำรามออกมา
ฟังดูไม่ได้เป็นการข่มขู่ใด ๆ แต่เหมือนกำลังทักทายหนวนหน่วนอยู่
พอไคน์ได้สติก็ตื่นเต้นมาก ดวงตาเปล่งประกายราวกับหมาป่า
“ลูกรัก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกจะขึ้นมาบนรถของฉันเอง เป็นเกียรติแก่ฉันจริง ๆ ลูกรัก ขอฉันสัมผัสแกหน่อย แกสวยเหลือเกิน”
คำพูดนี้ออกจะหยาบคายไปหน่อย
แม้แต่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดแบบนี้ อีวานก็อดดูถูกเพื่อนรักของเขาในใจไม่ได้
ไคน์ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขายื่นมือออกไปสัมผัสไอริสอย่างอดใจไม่ไหว
ไอริสยอมให้เขาสัมผัสขนเสือดาวอันสูงศักดิ์ของมันอย่างฝืนใจเพื่อเป็นการไว้หน้า จากนั้นก็คำรามออกมาอย่างรังเกียจให้เขาถอยห่างจากมันหน่อย
“เอาละ เอาละ ไอริส แกยังใจแคบเหมือนเดิมเลยนะ”
จากนั้นเขาก็เห็นไอริสเอาอุ้งเล็บตะกุยมือของเด็กหญิงตัวน้อย แถมยังหุบเล็บอันแหลมคมของมันอย่างระมัดระวัง
ตอนแรกไป๋โม่ซูยังเป็นห่วงว่าไอริสจะทำให้หนวนหน่วนบาดเจ็บ แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็โล่งใจ
เด็กหญิงตัวน้อยก็ประคองอุ้งมือใหญ่ของเสือดาวดำด้วยมือขาวนุ่มทั้งสองเช่นกัน
“ฮึ่ม!”
“ไอริส นี่เธอมาเล่นกับฉันเหรอ?”
หนวนหน่วนมองมันตาปริบ ๆ พลางพูดคุยกับเสือดาวดำด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน ถึงขนาดผละจากอ้อมกอดของญาติผู้พี่ไปที่หน้าต่างพลางใช้มือน้อยเกาคางของมัน
เนื่องจากในเวลานี้เสือดาวดำกำลังนอนขวางอยู่บนรถ ดังนั้นหางยาวสีดำจึงห้อยลงมานอกหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ปลายหางกำลังกวัดแกว่งอย่างมีความสุข
มันส่งเสียงกรนออกมาจากลำคอ หรี่ตาลงอย่างเพลิดเพลิน พยายามลอดตัวเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งอยากกระตือรือร้น
คนในรถ “…”
ไม่ได้เลยจริง ๆ!
พื้นที่ภายในรถเล็กเกินไปที่จะรองรับร่างกายอันใหญ่โตของมันได้ แถมข้างในยังมีคนนั่งอยู่หลายคน!
ในหัวใจของไคน์เต็มไปด้วยความอิจฉา บ่นพึมพำกับอีวานว่าไอริสไม่ยุติธรรมกับเขา เขายังเกาคางไอริสไม่ได้เลย!
อีวานตบไหล่เขาอย่างเห็นอกเห็นใจ พูดตามตรงคนรัสเซียมียีนความกล้าสู้กับหมีอยู่ในสายเลือด อันที่จริงตนเองก็ต้องการสัมผัสไอริสอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ถ้าไอริสไม่ใช้อุ้งเล็บใหญ่ทักทายใบหน้าของเขาอย่างใกล้ชิดเสียก่อนละก็นะ
ไอริสชอบหนวนหน่วนมากจริง ๆ มันยังแลบลิ้นที่มีหนามเล็ก ๆ ออกมาเลียมือของเด็กหญิงตัวน้อยด้วย
เธอเหมือนลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ*[1] หากเป็นคนอื่นที่เพิ่งคลุกคลีกับแมวใหญ่ตัวนี้เป็นครั้งแรกคงรีบชักมือกลับด้วยความตกใจ เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่แค่กล้าหาญ แต่ยังเก่งกล้าเหมือนเสืออีกด้วย ก่อนที่ทุกคนจะได้สติกลับมา หนวนหน่วนก็ยื่นมือเข้าไปในปากของไอริสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไป๋โม่ซูและเหลียงฉือ “!!!”
พวกเขาแทบจะคว้าตัวหนวนหน่วนกลับมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เหงื่อแตกพลั่กด้วยความตกใจ
โชคดีที่เรื่องที่พวกเขากังวลไม่ได้เกิดขึ้น เสือดาวดำไม่เพียงไม่กัด แต่กลับเอาหัวเข้ามาคลอเคลียมือของเธอพลางส่งเสียงครางในลำคออีกด้วย
ดูเหมือนแมวเวอร์ชันตัวใหญ่ไม่มีผิด
ไคน์ร้องไห้ให้กับความไม่เท่าเทียมนี้…
ไอริสไม่ยอมออกไป สุดท้ายหนวนหน่วนก็ขอพี่ชายของเธอลงจากรถอย่างน่าสงสาร
ไป๋โม่ซูแตะมีดผ่าตัดพลางบุ้ยปาก “มันอันตรายมากนะ”
ท้ายที่สุดมันก็เป็นสัตว์ป่า ต่อให้ตอนนี้จะเชื่อฟังและไม่เป็นอันตรายแค่ไหน หากคิดจะกัดผู้คนขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในระยะใกล้แบบนี้ แม้ว่ามีดผ่าตัดของเขาจะว่องไว แต่เขาก็ไม่อยากให้หนวนหน่วนออกไปเสี่ยง
ไคน์ถามไป๋โม่ฮัวว่าหนวนหน่วนกำลังพูดอะไร พอรู้แล้วก็รีบสนับสนุนหนวนหน่วนทันที
“คุณหมอไป๋ ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ไอริสเป็นเด็กดี ฉันกล้ารับรองได้ว่าเด็ก ๆ ที่นี่ไม่เคยทำร้ายใครก่อน ฉันอยู่กับพวกมันมานานแล้ว พวกมันเฉลียวฉลาดและปลอดภัยมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วงว่าหนวนหน่วนจะถูกทำร้ายเลย…”
หนวนหน่วนมีสีหน้าลังเล เธอรู้ว่าญาติผู้พี่หวังดีกับเธอ แต่เธอก็ชอบไอริสมากจริง ๆ
“ไปสิ”
ในที่สุดเมื่อหนวนหน่วนตัดสินใจที่จะเชื่อฟังลูกพี่ลูกน้องคนโตของเธอ ไป๋โม่ซูกลับตอบตกลงทันที
เขาบีบจมูกกระจุ๋มกระจิ๋มของหนวนหน่วนด้วยนิ้วอันเรียวยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูและจนปัญญา “แต่เธอต้องอยู่ข้าง ๆ พี่ตลอดเวลา”
หนวนหน่วนมองญาติผู้พี่ของเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย รีบพูดเสียงใสอย่างเฉลียวฉลาดทันที
“ตกลงค่ะ หนวนหน่วนจะเชื่อฟังคำพูดของพี่!”
นอกจากไคน์ ไป๋โม่ซู และหนวนหน่วน ไคน์ก็ห้ามคนอื่น ๆ ลงจากรถ เขากลัวว่าถ้ามีคนมากเกินไปไอริสจะตกใจ
ทันทีที่ทั้งสามลงจากรถ ภายในรถก็สั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบางอย่างที่อยู่บนหลังคารถได้หายไปแล้ว
ไอริสกระโดดลงจากหลังคารถอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องทั้งสาม ตอนที่มันเดินแฝงไว้ด้วยการวางอำนาจตามธรรมชาติของสัตว์ป่าอย่างอิสระ
จะว่าไปก็ดูสง่าไม่เบา
“ไอริส”
หนวนหน่วนเรียกชื่อไอริสด้วยน้ำเสียงละมุน เสือดาวดำชำเลืองมองไป๋โม่ซูที่อยู่ข้างเธอ พลางเดินตรงไปที่เด็กน้อยตัวขาวนุ่ม
มันมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของหนวนหน่วนทันทีโดยไม่ได้ควบคุมแรงให้ดี จนเกือบทำให้เด็กหญิงตัวน้อยล้มลง แต่หนวนหน่วนก็กอดหัวปุกปุยของไอริสแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
[1] ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ หมายถึง การที่คนรุ่นใหม่กล้าทำอะไรโดยไม่เกรงกลัว หรือคนที่ขาดประสบการณ์และกระตือรือร้นที่จะทำโดยไม่มีความยั้งคิด