ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 24 หน้าคล้ายหญิงชราคนนั้น
บทที่ 24 หน้าคล้ายหญิงชราคนนั้น
ผู้เฒ่ากู้ไม่สนใจเรื่องการอุ้มหลานสาวอีกต่อไป เขายิ้มจนใบหน้าขึ้นเป็นริ้วรอยลึกชัดเจน
“ตกลง ตกลง ปู่ไม่อุ้มแล้ว แต่หนวนหน่วนไม่หนักเลยนะ หนูต้องกินเนื้อสัตว์เยอะ ๆ นะลูก”
หนวนหน่วนพยักหน้าลงอย่างเชื่อฟังก่อนจะพูดว่า “คุณปู่ก็ต้องกินเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง หนวนหน่วนก็จะกินให้เยอะเหมือนกัน”
เด็กน้อยวางเป้าหมายเล็ก ๆ ให้กับตัวเองและคุณปู่ของเธอด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แค่คำพูดเพียงสองสามคำ ชายชราผู้ดื้อรั้นก็สงบลง และเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องอยากจะอุ้มเธออีกเลย
หลี่เต๋อจู้ยืนตกตะลึง
คุณหนูหนวนหน่วนกล้าหาญมาก!
กู้หลินโม่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขารู้ดีว่าพ่อของตนอารมณ์ดื้อรั้น ไม่นึกเลยว่าหนวนหน่วนจะทำให้ชายชราเปลี่ยนใจได้ง่ายขนาดนี้ มีลูกสาวมันดีอย่างนี้นี่เอง!
หนูน้อยหนวนหน่วนวัยห้าขวบในอ้อมกอดผู้เป็นพ่อดูน่ารักน่าหยอกอย่างอธิบายไม่ถูก
เด็กน้อยเป็นที่ตกตะลึงของผู้พบเห็นระหว่างทาง โดยเฉพาะสำหรับผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการบางคน
พวกเขามองไปยังชายผู้สง่างาม ก่อนจะมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กที่แสนเชื่อฟังในอ้อมแขน กู้หลินโม่ยกยิ้มอย่างมีความสุข เพราะเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเขา รอยยิ้มนั่นจึงอุ่นบรรยากาศรอบข้างให้อุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว
เขาเคยยิ้ม แต่โดยปกติแล้วมันเป็นเพียงรอยยิ้มตามมารยาทไม่ก็รอยยิ้มเย็นชาเพื่อทำให้ผู้คนตายใจ ยิ่งไปกว่านั้น ไอรอบตัวเขาทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีอำนาจโดยไม่มีเหตุผล แต่ว่าในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ประธานกู้ แต่เป็นแค่คุณพ่อที่ชอบอุ้มลูกสาวไปแล้ว
พวกเขาไม่เคยเห็นมุมนี้ของกู้หลินโม่มาก่อน
“ประธานกู้? อดีตประธานมาที่บริษัททำไมเหรอครับ?”
ผู้เฒ่ากู้ยิ้ม “เสี่ยวหลิว กินข้าวหรือยัง?”
“กินแล้วครับ ท่านมากินข้าวหรือครับ?”
ผู้เฒ่ากู้พยักหน้าอย่างร่าเริงก่อนจะพูดว่า “อืม ฉันพาหลานสาวมาทานข้าวน่ะ”
กู้หลินโม่พยักหน้า “ผู้อำนวยการหลิว หนวนหน่วน นี่คืออาหลิวนะ”
นัยน์ตาที่ฉ่ำน้ำของหนวนหน่วนมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังพูดคุยกับคุณพ่อของตน เธอฟังคำแนะนำของพ่อด้วยกิริยาสุภาพและเรียบร้อย จากนั้นก็เรียกคนตรงหน้าว่าอาหลิวอย่างแผ่วเบา
เสียงนั้นราวกับน้ำนม ช่างหวานบาดหัวใจเสียเหลือเกิน
“นี่คือลูกสาวคุณเหรอ?”
กู้หลินโม่พยักหน้า ไม่ปกปิดความภูมิใจในดวงตาเลยสักนิด
“ชื่อหนวนหน่วน เป็นลูกสาวคนเล็ก”
จริง ๆ ผู้อำนวยการหลิวได้ยินข่าวมาไม่น้อย ตระกูลกู้ร่ำรวยที่สุดแล้ว ผู้คนมากมายจึงจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้ที่คุณหญิงกู้ไปช้อปปิ้งกับหนวนหน่วนก็เป็นที่เลื่องลืออยู่ไม่น้อย
มีผู้คนจำนวนมากรับรู้ข่าวนี้ ตระกูลกู้เองก็ไม่ได้ตั้งใจปกปิด ดังนั้นในไม่ช้าทุกคนจึงรู้ว่าลูกสาวที่หายไปของตระกูลกู้ได้กลับมาแล้ว นอกจากนี้พวกเขายังทราบอีกว่าเป็นเวลาสามปีแล้วที่ลูกสาวคนเล็กนั้นไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท
สิ่งนี้ทำให้หลายคนรอชมเรื่องตลกของตระกูลกู้ ลูกสาวที่เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาเป็นเวลาสามปีคงจะน่าเกลียดน่าดู และเธอคงเข้ากับพวกเขาไม่ได้อย่างแน่นอน ทีนี้ตระกูลกู้ก็จะถูกเยาะเย้ยจากผู้คนจำนวนมาก
ก่อนได้พบหนวนหน่วน ผู้อำนวยการหลิวเองเข้าใจว่าหนวนหน่วนจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยของตระกูลกู้ในภายภาคหน้า
แต่ในตอนนี้เขากลับต้องการบอกคนที่คาดเดากันไปเรื่อยว่าให้หยุดทำแบบนั้น คนที่บอกว่าลูกสาวจากตระกูลกู้น่าเกลียดคงตาบอดแน่!
เธอดูสุภาพและว่านอนสอนง่ายจะตาย!
จะบอกว่าเขามีความสุขก็ไม่เชิง ในฐานะกรรมการบริษัทของตระกูลกู้ แน่นอนว่าเขาต้องภูมิใจที่ได้เห็นว่าในภายภาคหน้ากิจการของตระกูลกู้จะเป็นไปในทางที่ดี ส่วนพวกคนที่ปล่อยข่าวลือได้มาเจอหนวนหน่วน อยากรู้เหลือเกินว่าจะทำหน้าอย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ระบายยิ้มแล้วมองไปที่หนวนหน่วน พูดออกมาว่า “ลุงไม่ได้เอาของขวัญอะไรมาด้วยเลย เดี๋ยวจะโอนเงินให้คุณพ่อของหนูเป็นค่าขนมนะ วันหลังลุงจะเอาของขวัญมาให้แน่นอน”
พูดแล้วเขาก็โอนเงินหนึ่งแสนหยวนไปยังบัญชีของกู้หลินโม่ทันที
กู้หลินโม่ยอมรับอย่างสุภาพ อย่างไรเงินจำนวนนี้จะถูกเก็บไว้ให้หนวนหน่วน เจ้าตัวจะได้ซื้ออะไรตามที่เธอต้องการ
“ขอบคุณค่ะลุงหลิว”
หนวนหน่วนกล่าวขอบคุณอย่างเชื่อฟังจนผู้อำนวยการหลิวต้องรีบโบกมือขึ้นเป็นเชิงว่าไม่ต้องขอบคุณไปหรอก หลังจากพูดคุยกับประธานกู้เรียบร้อยเขาก็ขอแยกทางไป โดยไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองแผ่นหลังของประธานกู้แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันข่าวที่น่าตกใจให้กับเพื่อน ๆ
[ทายซิฉันเพิ่งเจอใคร? ประธานกู้กับลูกสาวของเขาแหละ!]
[คนส่วนใหญ่ในกลุ่มค่อนข้างมีอายุและเป็นผู้อำนวยการของตระกูลกู้ หลังจากได้ฟังข่าวพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นทันที]
เกิดอะไรขึ้น? ครอบครัวของกู้หลินโม่มีแค่ลูกชายสามคนไม่ใช่เหรอ พวกเขามี[ลูกสาวเพิ่มมาอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?]
[ไม่ใช่หรอกมั้ง ข่าวที่ว่านั้นเป็นจริงเหรอ? ได้ยินมาว่าลูกสาวของตระกูลกู้เคยหายตัวไปแล้วอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขานี่]
[ทำไมผมไม่เห็นรู้ข่าวเลย? ผู้อาวุโสหลิวช่วยบอกหน่อย?]
ผู้อำนวยการหลิวเริ่มอธิบายอย่างกระชับได้ใจความทันที จากนั้นก็พิมพ์ต่อด้วยความโกรธ
[ใครว่าคุณหนูน้อยตระกูลกู้ของพวกเราน่าเกลียดกัน ไม่มีมารยาทเลย จงใจสร้างข่าวลือเสียหายชัด ๆ ต้องมีแรงจูงใจอย่างอื่นแอบแฝงหรืออิจฉาตระกูลกู้แน่ ๆ ฉันเพิ่งเห็นว่าคุณหนูสุภาพเรียบร้อยแค่ไหน น่ารักมากด้วย หน้าตาละม้ายคล้ายภรรยาอดีตประธาน แต่ผอมกว่านิดหน่อย เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์มามากแน่เลย คนที่ปล่อยข่าวนี่ต้องเป็นคนแบบไหน]
คล้ายภรรยาอดีตประธานงั้นหรือ…
สิ่งนี้ทำให้ผู้สูงวัยหลายคนนึกถึงหญิงชราคนนั้น เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวนักวิชาการที่มีชื่อเสียง และหากจะบอกว่ารูปร่างหน้าตาของเธอเหมือนนางฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย ในตอนนั้นลูกชายของผู้สูงศักดิ์จากในประเทศและต่างประเทศต่างบอกกันว่าเธอเป็นสาวที่มีพรสวรรค์ ทุกคนต่างตกตะลึงในพรสวรรค์ของเธอ ทั้งนิสัยใจคอทั้งหน้าตาก็งามงด ผู้หญิงหลายคนแทบจะอกแตกตายเพราะความอิจฉา
แต่ในที่สุดเธอก็ถูกนายท่านใหญ่กู้ตามจีบ ทำให้ความรักระหว่างคนทั้งสองได้รับการชื่นชมจากผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ช่างน่าเสียดายที่สวรรค์เกิดอิจฉาในความงามและความสามารถของเธอ โดยการทำให้เธอล้มหายตายจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หลังจากที่เธอเสียชีวิตไป นายท่านใหญ่กู้ก็เลี้ยงดูลูกชายสองคนมาเพียงลำพัง เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่เลย
คำบอกเล่าของผู้อำนวยการหลิวนั้นยากจะจินตนาการ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นหนวนหน่วนด้วยตาของตนเอง แต่ตอนนี้ต่างพากันอยากพบกับหนูน้อยน่ารักที่ละม้ายหญิงชราขึ้นแล้ว
ในเวลานี้ หนวนหน่วนตัวน้อยที่นั่งอยู่บนแขนคุณพ่อก็จามออกมา ผู้ใหญ่สองคนของตระกูลกู้ได้ยินก็รู้สึกประหม่าราวกับว่าพวกเขาประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่
“หนวนหน่วนเป็นยังไงบ้าง? ตัวเย็นขึ้นหรือยัง?”
“มีไข้หรือเปล่า? เดี๋ยวจะโทรตามหมอให้”
หลี่เต๋อจู้ “…”
เกิ๊น แค่จามเอง!
เขาบ่นอยู่ภายในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา
“ไม่มีค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยเสียงหวานปลอบโยนผู้ใหญ่ทั้งสองที่เป็นกังวลเบา ๆ
“หนวนหน่วนสบายดีค่ะ คุณปู่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
กู้หลินโม่ยังคงเป็นกังวลเล็กน้อย เขาวางฝ่ามือลงบนหน้าผากของเด็กหญิงตัวเล็กเพื่อลองวัดอุณหภูมิ
“อืม ไม่มีไข้”
ผู้เฒ่ากู้ยังไม่วางใจ “ลองวัดอีกรอบดีไหม?”
หนวนหน่วนรีบโผเข้ากอดผู้เป็นพ่ออย่างออดอ้อน “คุณปู่ คุณพ่อ หนวนหน่วนหิวแล้วค่ะ”
ผู้ใหญ่ทั้งสองตกลงทันที “ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวก่อนก็แล้วกัน”