ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 235 การปลอบใจของเหลียงฉือ
บทที่ 235 การปลอบใจของเหลียงฉือ
หนวนหน่วนเข้าใจมาโดยตลอดว่าเหลียงฉือเพียงแค่ป่วย อีกไม่นานคงจะหาย วันนี้เธอเพิ่งได้รู้ว่าที่แท้เขากำลังจะตาย
ความรู้สึกตื่นตระหนกพลุ่งพล่านขึ้นมา หนวนหน่วนได้แต่กอดเหลียงฉือเอาไว้แน่นระหว่างร้องไห้อย่างหนัก
เธอเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นยังเด็กกว่าตอนนี้
คุณยายเป็นญาติคนเดียวของหนวนหน่วนที่หมู่บ้านเสี่ยวซี ตอนนั้นถึงเธอจะไม่รู้ว่าคนตายหมายความว่าอะไร แต่ตอนที่คุณยายหลับตา ปล่อยมือที่เธอกุมไว้ออกอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจเด็กน้อยก็ทั้งตระหนกและว่างเปล่า ถึงจะร้องไห้และตะโกนเรียกคุณยายอย่างไร คุณยายก็ไม่มีทางกลับมาแล้ว
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญหน้ากับชีวิตและความตาย หลังจากคุณยายเสียไป หนวนหน่วนจึงเหลือตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่มีที่ไหนให้เธอพึ่งพิงแล้ว
เด็กหญิงกลัวว่าคนข้างกายจะต้องตายมาตลอด เพราะแบบนี้ถึงเป็นห่วงสุขภาพของเหล่าพี่ชายเป็นพิเศษ เธอมักจะกำชับให้พวกเขากินอาหารให้ตรงเวลา
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าพี่อาหนานใกล้จะตาย หนวนหน่วนจึงตกใจมาก เธอร้องไห้อย่างหนักจนแทบขาดใจ
“ไม่ต้องร้องแล้ว”
เหลียงฉือย่อตัวลงแล้วกอดหนวนหน่วนไว้ ร่างกายของเขาผอมลงกว่าก่อนหน้านี้มาก ใบหน้าและมือของเขา มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าไม่มีเนื้อหนังมากนัก อีกทั้งยังดูซีดเซียวมากด้วย
เขาขยับตัวเช็ดน้ำตาบนหน้าให้หนวนหน่วนอย่างนุ่มนวล ข้อมือบาง ๆ ยังคงสวมใส่เครื่องรางคุ้มภัยที่หนวนหน่วนให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไร แต่เหลียงฉือก็ไม่เคยถอด
“เธอรู้หรือเปล่าว่าคนเราตายแล้วไปที่ไหน”
หนวนหน่วนร้องไห้จนใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำ ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยน้ำตาจ้องมองชายหนุ่มซูบผอมตรงหน้า ก่อนจะใช้มือเล็ก ๆ สองมือรีบจับฝ่ามือของเขาไว้
น้ำเสียงของเหลียงฉือที่เปล่งออกมามีแต่ความอ่อนโยน “โลกที่คนเรามีชีวิตอยู่ชื่อว่าโลกหยาง แต่พอคนเราตายไปก็จะไปอยู่อีกโลกที่ชื่อว่าโลกหยิน แต่ว่าโลกนี้น่ะ พวกเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า รอฉันตายไปแล้ว วิญญาณของฉันก็จะไปอยู่ที่โลกหยิน ที่นั่นจะได้พบกับวิญญาณของหลายคนที่ตายไปแล้วและญาติ ๆ ของฉัน แล้วก็จะได้พบญาติของหนวนหน่วนด้วยนะ”
หนวนหน่วนฟังคำพูดเขา ค่อย ๆ สงบลงโดยไม่รู้ตัว แต่สภาพเธอที่ร้องไห้ก็ยังทำให้คนที่เห็นต้องปวดใจ
เหลียงฉือดึงเธอให้นั่งลงแล้วพูดต่อ “เพราะงั้นการตายก็ไม่ใช่ว่าเราหายไปจริง ๆ แค่เป็นการเปลี่ยนไปใช้ชีวิตในอีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง”
หนวนหน่วนกุมมือของเขาแน่น “จริง… จริงเหรอคะ แต่ในหนังสือบอกว่า… ในหนังสือบอกว่านั่นมัน นั่นมันเป็นเรื่องโกหกนะ”
เหลียงฉือพูดเสียงจริงจัง “เป็นเรื่องจริงสิ ที่ในหนังสือบอกไม่ได้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรอกนะ โลกหลังความตายน่ะ พวกเรามองไม่เห็น ใครจะรับประกันได้ว่าไม่มีอยู่จริงล่ะ”
หนวนหน่วนเม้มปากเล็ก ไม่พูดอะไร ได้แต่ช้อนดวงตาโตสองข้างมองเขา
เหลียงฉือยิ้มแล้วพูดต่อ “เพราะงั้นเธอดูสิ การตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ อีกอย่างถ้าฉันเที่ยวเล่นอยู่ในโลกนั้นจนพอ ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว ฉันก็ใช้วิธีไปเกิดใหม่เพื่อกลับมาอยู่ในโลกนี้อีกได้”
หนวนหน่วนเช็ดน้ำตาบนใบหน้าพลางถามว่า “งั้นพี่อาหนานก็กลับมาได้ใช่ไหมคะ”
เหลียงฉือลูบหัวของเธอ “ได้สิ แต่ครั้งต่อไปฉันไม่อยากเป็นคนแล้ว เป็นคนน่ะเหนื่อยมากนะ ตอนเด็ก ๆ ไม่มีความสามารถในการอยู่รอด ต้องคอยพึ่งพาคนอื่น ถ้าเกิดว่ากลับมาได้ ฉันก็อยากเป็นหมาป่า”
“ทำไมล่ะคะ”
เหลียงฉือหัวเราะแล้วตอบ “เพราะช่วงชีวิตของสัตว์น่ะสั้นมาก แค่ไม่กี่เดือนหรือหนึ่งปีก็เติบโต ออกล่าเพื่อเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นหมาป่า ก็เราสัญญากันไว้แล้วใช่ไหมล่ะ ฉันอยากเป็นหมาป่า จะได้ปกป้องเธอ”
หนวนหน่วนพูดอย่างไม่พอใจ “หนูไม่อยากให้พี่อาหนานปกป้องหนู หนูอยากให้พี่อาหนานยังมีชีวิตอยู่”
เด็กหญิงไม่รู้ว่าโลกอีกใบที่พี่อาหนานบอกนั้นมีจริงหรือเปล่า แต่เธอรู้ว่าพี่อาหนานกำลังปลอบเธอ ไม่ให้เธอเป็นกังวลถึงได้พูดแบบนี้
หนวนหน่วนเองก็พยายามมากไม่ให้ตัวเองร้องไห้ พี่อาหนานจะได้ไม่ต้องกังวล
ตอนนี้เดิมทีอาการของเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าต้องมาเป็นกังวลเพราะเธออีกก็จะยิ่งไม่ดีไปใหญ่ แต่ว่า… แต่ว่ามันน่าเศร้ามากจริง ๆ นะ…
ผ่านไปครู่ใหญ่ ประตูห้องผู้ป่วยของเหลียงฉือก็ถูกเปิดออก ไป๋โม่ซู ไป๋โม่ฮัว กู้อัน รวมถึงจางเหลียงพากันวิ่งมาด้วยความกังวล เมื่อเห็นหนวนหน่วนพวกเขาก็ถอนหายใจโล่งอก
แต่ดูสถานการณ์แล้ว…
ไป๋โม่ซูดูออกในทันที เกรงว่าหนวนหน่วนจะรู้เรื่องแล้ว
เขาลอบถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปลูบหัวญาติผู้น้อง
“พี่โม่ซู”
หนวนหน่วนเม้มปาก ดวงตาแดงก่ำ เธอไม่อยากร้องไห้ แต่ตอนนี้แสบจมูกมาก ไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เลย
ไป๋โม่ซูเช็ดน้ำตาให้เธอแล้วอุ้มเธอขึ้นมา “อยากออกไปเที่ยวไหม”
“ฮึก”
น้ำเสียงเล็ก ๆ อ่อนโยนของหนวนหน่วนมีเสียงคัดจมูกอยู่ด้วย
“พี่แล้วก็พี่อาหนานของเธออยากไปดูโลกภายนอกกันหน่อย อยากไปไหม”
เหลียงฉือมองไป๋โม่ซูด้วยความประหลาดใจ
หนวนหน่วน “แต่ว่า… แต่ว่าหนูต้องไปเรียน”
“ที่คุณครูสอน เข้าใจหมดแล้วหรือยัง”
หนวนหน่วนกอดคอของเขาแล้วพยักหน้า
นิ้วเย็นเฉียบของไป๋โม่ซูลูบท้ายทอยของเด็กหญิงตัวเล็กไปมา “งั้นก็ลาหยุดสองสามวันคงไม่เป็นไร อีกอย่างต่อให้อยู่ข้างนอกก็เรียนได้เหมือนกัน”
“ได้ค่ะ”
หนวนหน่วนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
การกระทำของไป๋โม่ซูมีอิทธิพลมาก บอกว่าให้หนวนหน่วนลาหยุดก็ลาหยุดเลย
ครูประจำชั้นที่โรงเรียนเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยอมตกลง
ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงเสียดายน่ะเหรอ ก็เพราะพอมีหนวนหน่วนเรียนอยู่ด้วย พวกเด็ก ๆ จะคึกคักกันแบบไม่รู้สาเหตุ
พอถึงตอนเย็น พวกกู้หนานก็รู้เรื่องที่หนวนหน่วนลาหยุดแล้ว ตอนนั้นสาวน้อยถูกพี่ใหญ่อุ้มขึ้นเตียงไปอย่างเชื่อฟัง
กู้หมิงอวี๋ขมวดคิ้ว “ให้หนวนหน่วนออกไปเที่ยวกับเหลียงฉือเหรอ พี่คิดอะไรอยู่!”
น้ำเสียงของไป๋โม่ซูเย็นชาและไร้อารมณ์ประมาณหนึ่ง
“เธอรู้เรื่องเหลียงฉือแล้ว ร้องไห้หนักมากด้วย”
คนอื่น ๆ เงียบกันไปหมด
ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็คิดว่าปกปิดได้ก็ปกปิดไป คิดไม่ถึงว่าจะรู้ความจริงซะแล้ว
ตอนนั้นกู้อันเองก็ตะโกนขึ้นมา “ผมก็อยากไปด้วย! พี่ ผมก็อยากลา ผมอยากไปกับหนวนหน่วนด้วย!”
กู้หนาน “ไม่ได้”
กู้อันเบิกตากว้าง “ทำไมล่ะ!”
กู้หนานถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทวนบทเรียนจบแล้วหรือยัง”
กู้อัน “…”
แค่เขาทำการบ้านช่วงวันหยุดฤดูหนาวเสร็จก็สุดยอดมากแล้ว ยังจะหวังให้ทบทวนบทเรียนที่ยังไม่ได้เรียนให้จบอีกเรอะ คิดอะไรอยู่เนี่ย
ไป๋โม่ซูผู้มีรูปร่างเหมือนต้นไผ่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ เขาหยิบเอาหนังสือมาดูพลางแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นและสง่างามออกมาจากตัว
“ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ตอนนี้หนวนหน่วนทบทวนบทเรียนของประถมสองเสร็จหมดแล้ว”
กู้อัน “…”
ทันใดนั้นเด็กชายก็ใจห่อเหี่ยวขึ้นมา “ไว้ผมกลับมาค่อยเรียนไม่ได้เหรอ”
พวกพี่ ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ได้!”
กู้อัน ‘พวกพี่รังแกผมเพราะผมเป็นเด็กหรอก!’
เขาเศร้าเสียใจ แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านพวกพี่ ๆ ได้
แค่รู้ว่าไป๋โม่ซูเองก็จะไปด้วย กู้หนานและกู้หมิงอวี๋ก็วางใจแล้ว แถมยังมีไป๋โม่ฮัวไปด้วยอีก
แต่นิสัยของไป๋โม่ฮัวนั้น ก็มีค่าเท่ากับไป๋โม่ซูคนเดียวที่ต้องดูแลเด็กทั้งสองคนนั่นแหละ
เรื่องราวตกลงกันเช่นนี้ วันต่อมาไป๋โม่ซูก็ไปลาหยุดที่โรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่เต็มใจจะให้ไป๋โม่ซูไปเลย เขาทำเหมือนต้องส่งลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองออกไปรบอย่างไรอย่างนั้น แทบจะร้องไห้เป็นสายเลือดตอนจับมือไป๋โม่ซู
แน่นอนว่าสุดท้ายไป๋โม่ซูก็ลาหยุดได้สำเร็จ