ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 224 เยี่ยมเหลียงฉือ
บทที่ 224 เยี่ยมเหลียงฉือ
หลังจากเลิกเรียนในช่วงบ่าย หนวนหน่วนก็บอกลาหลินจิ่วแล้วมุ่งหน้าตรงมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับพี่กู้อัน
เด็กหญิงสะพายกระเป๋านักเรียนสีชมพูแสนน่ารักเอาไว้ ผมสีเข้มถูกมัดเป็นแกละสองข้าง เผยให้เห็นใบหน้าเรียวของเธออย่างชัดเจน
หนวนหน่วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เธอมีน้ำมีนวลแต่ก็ไม่ได้อ้วน เรียกได้ว่าน่ารักกำลังดี ผิวพรรณขาวนวลราวกับหิมะ กระจ่างสว่างเมื่อต้องแสง แค่เดินจูงมือมาพร้อมกับกู้อันผู้มีหน้าตาหล่อเหลาก็เรียกความสนใจจากผู้คนได้ตลอดทาง
โดยเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ท้องกำลังโต พอเห็นเด็กทั้งสองคนนี้ก็ตาเป็นประกายราวกับหมาป่าจ้องเหยื่อ
ถ้าเด็กพวกนี้เป็นลูกของเธอละก็ จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงทั้งวันเลย!
น่าเสียดายที่เป็นลูกคนอื่นเขา
ช่างเป็นเด็กที่ดูดีจริง ๆ เลย ได้ยินว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หากมองดูรูปเด็กน่ารัก ๆ แล้ว ลูกก็จะออกมาดูดีเหมือนกัน
กู้อันรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ เหมือนสายตาทุกคู่ของผู้คนกำลังจับจ้องมาที่พวกเขาหรือเปล่านะ?
“ที่รักคะ ถ้าลูกของเราดูดีได้แบบนี้ก็พอแล้วละค่ะ”
เมื่อได้เฝ้ามองจนทั้งคู่เดินขึ้นลิฟต์ลับตาไป หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งก็ใช้มือลูบแตะหน้าท้องก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างนึกเสียดาย พวกเขาเดินเร็วเกินไป ยังไม่ได้มองอีกครั้งเลย
แล้วใครจะไม่อยากให้ลูกออกมาดูดีกันล่ะ ยิ่งในยุคที่คนเราใช้ความสวยหล่อเป็นการตัดสินคนอื่นด้วยแล้ว
ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเธอพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่เลย ถ้าลูกสาวของเราหน้าตาดีได้ขนาดนี้ละก็นะ”
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกสาว แค่อาจจะเถอะ…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มข้าง ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปากเธอทันทีและไม่ให้พูดอะไรต่อ
“นี่นี่นี่ พูดอะไรแบบนั้นล่ะ เป็นลูกสาวสิ ต้องเป็นลูกสาวแน่!”
เขาอยากจะมีลูกสาวมากจนแทบขาดใจ!
หนวนหน่วนกับกู้อันไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่น ตอนที่ทั้งคู่เข้าไปยืนในลิฟต์ก็รู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมองมา ก่อนที่มันจะหายวับไปราวกับเงามืด!
กู้อันจับมือน้องสาวพลางกระซิบ
“รู้สึกไหมว่าเหมือนเรากำลังโดนคนร้ายจ้องอยู่?”
เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นแทนมากกว่า
“พี่เรียนเทควันโดมาตั้งนาน จะมีโอกาสได้ใช้มันไหมนะ?”
หนวนหน่วนเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ
“อื้ม ไม่น่าเป็นแบบนั้นนะคะ หนูว่าพี่หล่อจนคนมองมากกว่า”
ตอนนี้หนวนหน่วนดูเหมือนจะหลงตัวเองอยู่บ้าง ทุกเช้าหลังจากตื่นนอนและได้มองตัวเองในกระจกก็แอบคิดว่าตัวเองสวยมาก สมแล้วละที่คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่และพี่ ๆ ต่างก็ชอบเธอ คิกคิก
หางของกู้อันชี้ขึ้นเล็กน้อย
“ก็จริง พวกเราสองคนดูดีมาก ถ้าโดนพวกค้ามนุษย์จับได้ก็คงทำเงินให้มันได้เยอะแน่เลย”
หนวนหน่วนจับมือของเขาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะอย่างนี้เราถึงต้องปกป้องตัวเองให้มากขึ้นไงล่ะ”
กู้อันตบเข้าตรงหน้าอกตัวเอง “ไม่ต้องห่วง พี่รู้อยู่แล้วว่าจะจัดการยังไงถ้าเจอพวกค้ามนุษย์ ครั้งหน้าจะต้องพาบอดีการ์ดมาด้วยตลอด แต่ว่าก็ว่าเถอะ พี่ชอบบอดีการ์ดที่คอยแอบปกป้องเราห่าง ๆ มากกว่า ดูเท่กว่า”
บอดีการ์ดทั้งสองคนที่ได้ยินทั้งคู่คุยกัน “…”
อันที่จริงพวกเขาอยากจะพูดมากเลย พวกนายน้อยทั้งสองคิดมากเกินไปแล้ว ที่มองมาก็เป็นแค่หญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง
เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นจุดหมาย เด็กทั้งสองก็ลงจากลิฟต์ หนวนหน่วนจูงมือพี่ชายแล้วเดินไปที่ห้องพักฟื้นของเหลียงฉือ
เนื่องจากข้อจำกัดของเหลียงฉือ ทำให้ห้องพักนั้นต้องเป็นห้องแยกเดี่ยว
เด็กหญิงไม่สามารถเดินตรงดิ่งเข้าไปหาได้เลย ทำได้แค่เพียงยืนให้หัวโผล่พ้นขอบประตูแล้วยื่นหน้าเข้าไปหา
ตอนนี้เหลียงฉือได้สติแล้ว แต่ยังคงไร้เรี่ยวแรงและต้องใส่สายน้ำเกลืออยู่ อีกทั้งยังมีออกซิเจนคาจมูกด้วย ใบหน้าของเขาซีดเซียวราวกับพร้อมตายทุกเมื่อ
เหลียงฉือตื่นตัวมาก คนตัวเล็กที่โผล่หัวพ้นขอบประตูขึ้นมาแทบจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้ามาเยี่ยมเขาด้วยซ้ำ
เขาจ้องมองหนวนหน่วนจนสายตาสบเข้าประสานกัน
หนวนหน่วนหดหัวลงราวกับกระต่ายน้อยทันที
มุมปากของเหลียงฉือยกยิ้มขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาสีเข้มแสนมืดมัวรู้สึกถึงแสงสว่างเข้ามากระทบ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น หนวนหน่วนก็โผล่หัวขึ้นมาอีกครั้งพลางมองเขาอย่างจริงจัง
“พี่อาหนานคะ…”
เด็กหญิงเอ่ยเรียกเขาอย่างนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าพี่อาหนานลืมตาตื่นขึ้นก็ยิ้มเผล่ให้
ตอนนี้เหลียงฉือพยายามยกยิ้ม ถึงใบหน้าจะซีดเซียวและไร้เรี่ยวแรงมาก แต่ก็ถือว่ายังดูดี เมื่อเทียบกับการที่ต้องโตมาในครอบครัวที่น่าสังเวชแบบนั้น
หนวนหน่วนก้าวเดินเข้ามาด้วยขาสั้น ๆ กู้อันเองก็เดินตามเข้ามาเช่นกัน พลางปรายตามองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีระแวดระวัง
พวกพี่ ๆ ทั้งหลายต่างก็พูดกันว่าเหลียงฉือคนนี้อันตรายมาก
ในขณะเดียวกันพวกบอดีการ์ดจำนวนหนึ่งก็ได้ยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูด้วยท่าทางเหมือนเตรียมออกศึก
เหลียงฉือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปที่เกี๊ยวน้อยผิวขาวนวลดุจดั่งหยก
ต่างทราบกันดีว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ ดังนั้นเหลียงฉือจึงชอบจ้องตา เพราะมันสามารถอ่านจิตใจและคาดเดาตัวตนของคนได้ง่าย
เขาเคยพบเจอเด็กมาก็มากหน้าหลายตา แต่ไม่เคยมีดวงตาคู่ไหนที่จะส่องประกายความใสซื่อบริสุทธิ์เท่าหนวนหน่วนได้เลย
และเจ้าของดวงตาคู่นี้ก็เปรียบเสมือนแสงอันอบอุ่นที่เข้ามา
ตอนเจอกันครั้งแรก เธอยื่นขนมให้กับเขา ด้วยความคิดที่ว่าเขาคงหิวโหยจึงเอาขนมให้มากมาย
เมื่อได้หยิบลูกอมขึ้นมาก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ลองทานมัน รสชาติของความหวานเป็นสิ่งที่เขาเองก็ลืมมันไปนานแล้ว
หลังจากครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยกินลูกอมอีกเลย
ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เคยมีโอกาสได้กินเลย ได้แต่อิจฉาเด็กคนอื่น ๆ แม้แต่ตอนอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเขาก็ไม่เคยได้ขนมเลยสักชิ้นเดียว
แต่เมื่อโตขึ้นก็ไม่ได้ต้องการความหวานของขนมอีกต่อไป ตอนที่เขากำลังเรียนมหาวิทยาลัยก็มีสาว ๆ บางคนเอาเค้กช็อกโกแลตมาให้ บางคนก็เอาของหรูแบรนด์เนมมาให้ แต่กลับไม่เคยมีใครเอาขนมมาให้เลยสักครั้ง
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะคลั่งไคล้รสชาติความหวานของขนมได้มากเพียงนี้
ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์จ้องมองมาและลูกอมที่ยัดใส่ลงในมือของเขา ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กขึ้นมา นี่คงเป็นความหวานเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นในชีวิตอันแสนเจ็บปวดของเขา
นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เขาต้องการนำภาพความทรงจำอันแสนงดงามนี้ใส่ลงในโหลขวดแก้วแล้วเก็บมันเอาไว้
ไม่รู้ว่าบางทีอาจมีความผิดพลาดบางอย่างหรือเปล่า ที่อยู่ ๆ เด็กหญิงผู้ไร้เดียงสาคนนี้กลับกลายมาเป็นแสงสว่างในใจของเขาได้
เขาคิดว่าตัวเองเป็นเพียงแมลงเม่าตัวหนึ่งที่หลบอยู่ในความมืดมิด นอกจากนี้ยังคิดว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิ่งที่คุ้มค่ากับตัวเองด้วย
เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอเด็ดขาด แม้แต่ตัวเองก็ตาม
ด้วยเหตุนี้จึงค่อนข้างกังวลว่าตัวเองจะทำให้เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัว และตั้งแต่เรื่องของจางเหวินฟาแล้ว เขาก็ไม่เคยก่อเหตุฆาตกรรมอะไรอีกเลย
แต่เขาไม่ยอมที่จะติดคุกหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเขาจะได้เฝ้ามองแสงสว่างของตัวเองเหรอ? ถึงแม้ว่าจะทำได้เพียงเฝ้ามองและแอบปกป้องอยู่ในเงามืดราวกับปีศาจที่หลงใหลในแสงสว่าง และต่อให้ต้องทำทุกวิธีเขาก็ยอมเพื่อที่จะไม่ให้แสงสว่างนี้หายไป
“พี่อาหนานคะ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
หนวนหน่วนเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงข้างเตียงของเขา ดวงตากลมโตฉายแววกังวลเล็กน้อย
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจเธอมากนะ”
ขอบคุณที่ยังมีความคิดอยากมาเจอฉัน