ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 212 เป็นที่หนึ่งด้วยกันไม่ได้เหรอ?
บทที่ 212 เป็นที่หนึ่งด้วยกันไม่ได้เหรอ?
เมื่อกู้หลินโม่เดินมาหากู้หนาน เขาก็ก้มมองไปที่ของบางอย่าง
“มีคนส่งประวัติของพวกมันมาให้ผมน่ะ”
กู้หลินโม่ “???”
เขาชะโงกหน้าเข้าไปมอง หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบไป
มันคือประวัติของไอ้พวกสารเลวนั่น ข้างในเขียนประวัติอาชญากรรมที่เคยก่อตั้งแต่เด็กไว้อย่างชัดเจน
“นี่แกจะบอกว่า… มีคนส่งมาให้งั้นเหรอ?”
กู้หนานพยักหน้า ตอบพึมพำผู้เป็นพ่อไปเบา ๆ จากนั้นเขาก็กลืนน้ำลายแล้วพูดออกมาสองพยางค์ “เหลียงฉือ”
ใบหน้าของกู้หลินโม่ครึ้มทะมึนทันที
“ทำไมเป็นมัน!”
ไอ้เลวนั่นมันต้องการอะไร! อยากจะบอกให้พวกเรารู้ว่ามันคอยตามเราทุกฝีก้าวงั้นเหรอ?
ดวงตาของกู้หนานฉายแววเย็นชา “หามันเจอแล้ว แต่โทรแจ้งตำรวจไม่ได้”
ครั้งนี้เหลียงฉือถูกพวกเขาจับได้ แต่ตัวมันเองก็ไม่ได้ดูตื่นตระหนก ซ้ำยังตั้งใจเปิดเผยให้พวกเขาได้รับรู้ นอกจากนี้มันยังมีชุดเครือข่ายไวรัสมากมายที่สามารถปล่อยเข้ามาทำลายระบบได้
หากพวกเขาโทรแจ้งตำรวจ ไอ้สารเลวเหลียงฉือนั่นก็อาจจะทำอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้ ดีไม่ดีเว็บเครือข่ายของทั้งโลกคงล่มไปสักพัก
ถ้าพูดถึงในฐานะที่เป็นแฮกเกอร์อันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว เขาสามารถทำแบบนี้ได้แน่นอน
ถึงแม้ว่าจะมีพวกแฮกเกอร์เก่ง ๆ ที่สามารถกำจัดไวรัสพวกนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ในยุคที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นหลักแบบนี้ การที่ระบบล่มไปเพียงช่วงสั้น ๆ ก็อาจก่อปัญหามากมายต่าง ๆ ตามมาในภายหลังได้
กู้หนานและคนอื่น ๆ จึงยังไม่กล้าทำอะไร
กู้หลินโม่แค่นหัวเราะออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นข้อมูลที่อยู่ในมือ
“มันต้องการอะไรกันแน่!”
กู้หนานค่อนข้างนิ่งสงบ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถ้ามันไม่ได้ลงมือทำอะไรในช่วงนี้ เราก็อยู่กันเงียบ ๆ ไปเถอะ อย่าไปแจ้งตำรวจเลย”
“หมายความว่าไง?”
กู้หนานหยิบเอกสารทั้งหมดส่งไปให้เขา
“เหลียงฉือเป็นมะเร็ง มะเร็งกระเพาะอาหาร แต่ระยะหลังรักษาไม่ได้แล้ว”
นี่คือเอกสารผลตรวจร่างกายของเหลียงฉือ
เหลียงฉือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเมื่อสองเดือนก่อน เขาเลือกที่จะไม่รักษา และตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในร่างคนป่วยแบบนี้ต่อไป
เขาใช้ชีวิตราวกับตัวเองออกห่างจากโลกทั้งใบ มองดูสรรพสิ่งอยู่ในมุมมืดมิด ยิ่งมองก็ยิ่งแปลกแยกจากคนทั่วไป
ในตอนนี้ นอกจากการตายที่แสนอนาถของจางเหวินฟาแล้ว เหลียงฉือก็ได้มาพบกับชายที่ชอบเล่นการพนัน ดื่มเหล้าและชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ดึงดูดให้เขาไปทำลายหรือคร่าชีวิตใครเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
นอกจากนี้ ตอนนี้เขายังใช้แอ็กเคานต์เข้าไปเผยแพร่สิ่งที่พวกคนไม่ดีทำลงในอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ทั้งพวกคนโรคจิตชอบโป๊เปลือย รวมไปถึงพวกที่ก่ออาชญากรรมเพื่อให้พวกตำรวจได้ตามไปจับกุมถึงที่นั่นได้
เมื่อเทียบกับวิธีการก่อนหน้านี้แล้วมันอ่อนโยนลงเยอะมาก
การเปลี่ยนแปลงของเขาครั้งนี้มองด้วยตาเปล่าก็พอจะรู้ได้ ว่าเขากำลังพยายามนำร่างที่ทรุดโทรมออกมาจากความมืดมิดทีละน้อย
“แค่จับตาดูมันก็พอ มันครอบครองสิ่งนั้นอยู่ ไม่ทำอะไรให้มันโกรธจะดีที่สุด”
เจ้าอาชญากรจอมอัจฉริยะเหลียงฉือ เสียดายคนอย่างเขาเหลือเกิน
หากเขาได้เติบโตและถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวธรรมดาตอนนี้คงเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวอย่างแน่นอน นอกจากนี้คงได้เป็นความภูมิใจของประเทศชาติด้วย แต่ความเป็นจริงกลับ…
โชคชะตานั้นช่างโหดร้ายกับชายคนนี้เหลือเกิน
กู้หนานส่งประวัติคนพวกนี้ไปให้ทางสถานีตำรวจทันที
พวกอันธพาลที่กล้าปล้นเงินเด็กน้อยสามคน มันเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน แม้กระทั่งการลักขโมยงัดแงะด้วย
โดยเฉพาะเจ้าหัวโจกผมเหลืองนั่น ครั้งก่อนก็ไปงัดบ้านชายชราคนหนึ่งเพื่อที่จะขโมยของ แต่กลับถูกจับได้โดยบังเอิญจึงมีปากเสียงกัน เขาผลักชายชราล้มหมดสติเป็นอัมพาตจนต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล คนร้ายก็จับไม่ได้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าเรื่องที่เกิดครั้งนี้จะทำให้คดีเก่าต่าง ๆ คลี่คลายลงได้
สุดท้ายแล้ว กลุ่มอันธพาลพวกนั้นก็โดนตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี ด้วยหลักฐานและข้อมูลที่มัดตัวได้จากกู้หนานจึงสามารถเพิ่มข้อกล่าวหาได้หลายกระทงพอสมควร ดังนั้นพวกเขาเลยถูกตัดสินให้รับโทษร้ายแรง
หลังจากที่หัวโจกแก๊งอันธพาลคนนั้นได้ฟังประวัติอาชญากรรมของตัวเองทั้งหมดแล้ว เขาก็ทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความอ่อนแรง ก่อนจะจ้องมองออกไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ชั่วขณะหนึ่ง เขานึกถึงชายร่างสูงผู้มีสีหน้าเรียบเฉยคนนั้น เรื่องกลายเป็นแบบนี้ตามที่ลูกน้องเขาบอกไม่มีผิด
ที่ว่าคนคนนั้นไม่มีทางจะปล่อยพวกเขาไปแน่ แต่นี่มันตรงกันข้าม แบบนี้มันจงใจจะฆ่ากันชัด ๆ!
เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ภายในคุก และเมื่อได้ฟังเสียงคร่ำครวญของพวกลูกน้องแล้วก็ยิ่งรู้สึกนึกเสียใจขึ้นมา
ทำไมเขาถึงต้องคิดไปปล้นเงินเด็กพวกนั้นด้วยนะ!
ใช่แล้ว…ทั้งหมดมันต้องเป็นเพราะคนคนนั้นแน่ ๆ!
หัวโจกแก๊งอันธพาลตะโกนขึ้น “ฉันผิดเอง… ฉันโดนหลอก”
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาพูดพล่าม ทางด้านกู้หนานไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้หนวนหน่วนรู้ ส่วนเด็กหญิงเองก็ลืมคนใจร้ายพวกนั้นไปแล้ว
วันต่อมา เธอก็ขอให้คนขับรถไปรับเพื่อนตัวน้อย หลินจิ่ว มาที่บ้านตั้งแต่เช้า
หลินจิ่วมองเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงถึงกับอ้าปากค้างทันที เรียกว่ากว้างพอจะยัดไข่ได้เลย
พ่อของเธอบริหารบริษัทเล็ก ๆ และเธอก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ เช่นกัน แค่นี้ก็จัดได้ว่าเป็นคนมีทรัพย์สินจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่พอให้เทียบหน้ากับตระกูลกู้
แต่ถึงอย่างนั้นหลินจิ่วก็เป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริงและไร้เดียงสามาก หนวนหน่วนก็เป็นเพื่อนที่ดีของเธอด้วย ถึงแม้จะรู้สึกอิจฉาที่มีบ้านใหญ่โตเช่นนี้ แต่เมื่อเธอเห็นหนวนหน่วน ความอิจฉาในสายตานั้นก็หายวับไปทันที
เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนกอดกัน แต่ถ้าให้พูดจริง ๆ ก็คือ หลินจิ่วกอดหนวนหน่วนจนแทบจะอุ้มเธอขึ้นมาได้อยู่แล้ว
นั่นก็เพราะคนตัวเล็กตัวเตี้ยกว่าหลินจิ่วนิดหน่อย
หลินจิ่วชอบหนวนหน่วนมาก เธอเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย แถมยังเป็นเพื่อนของเธอด้วยแหละ ฮิฮิ
แค่ได้จับมือแสนนุ่มนิ่มของหนวนหน่วน หลินจิ่วก็รู้สึกมีความสุขมาก!
“มาแล้วเหรอ? หลินจิ่วเข้ามานั่งก่อนสิจ๊ะ” ไป๋อันหรานรู้ว่าวันนี้เพื่อนตัวเล็กที่โรงเรียนของหนวนหน่วนจะมาที่บ้านจึงไม่ได้ไปทำงาน
หลินจิ่วทักทายอย่างสุภาพ เมื่อเห็นคุณแม่ของหนวนหน่วนแล้วก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ว้าว หนวนหน่วน คุณแม่เธอสวยมากเลย”
แม้ว่าเธอจะพูดกระซิบกับหนวนหน่วน แต่ผู้ใหญ่เองก็ได้ยิน ไป๋อันหรานยกยิ้มดีใจก่อนจะนำผลไม้แสนอร่อยมาให้เด็ก ๆ
หนวนหน่วนพยักหน้าเห็นด้วยจริงจัง “อื้มอื้ม คุณแม่ของฉันเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก”
หลินจิ่ว “คุณแม่ของฉันก็เป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก”
หนวนหน่วนขมวดคิ้วแล้วพูดแก้เก้อ “คุณแม่ของฉันพิเศษที่สุด”
หลินจิ่ว “แต่ยังไงฉันก็คิดว่าคุณแม่ของฉันดีที่สุด”
ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน ก่อนจะรู้สึกได้ว่าเรือแห่งมิตรภาพกำลังจะอับปางลง
ทั้งสองปล่อยมือออกจากกันแล้วเริ่มโต้แย้งหัวข้อการสนทนาครั้งนี้
หนวนหน่วนยกนิ้วขึ้นมานับทีละข้อ “คุณแม่ของหนวนหน่วนสวย อ่อนโยน ทำอาหาร หาเงิน แล้วก็เล่านิทานให้หนวนหน่วนฟังด้วย…”
เธอพูดเกี่ยวกับข้อดีมากมายของคุณแม่ตัวเองด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา หลินจิ่วเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เด็กหญิงไล่ข้อดีของคุณแม่ตัวเองออกมา
“คุณแม่ของฉันก็สวย ไปส่งฉันที่โรงเรียน ไปประชุมผู้ปกครองทุกครั้ง ซักผ้าให้ด้วย…”
เด็กน้อยทั้งสองต่างเถียงและนับข้อดีออกมา
หนวนหน่วน “ทำไมเราต้องมาเถียงกันด้วยล่ะ? แม่ของพวกเราต่างก็ดีทั้งคู่ เป็นที่หนึ่งเสมอกันไม่ได้เหรอ?”
จู่ ๆ หลินจิ่วก็นึกขึ้นได้
“นั่นน่ะสิ เราจะมาเถียงกันทำไมนะ? คุณแม่ของหนวนหน่วนกับของหลินจิ่วเองก็เป็นที่หนึ่งได้ทั้งคู่เนอะ!”
ทั้งสองต่างจ้องมองกันก่อนจะลงมติเป็นเอกฉันท์ จากนั้นก็จับมือกันอีกครั้ง
“หลินจิ่วลองกินอันนี้สิ อันนี้อร่อยนะ”
“อื้มอื้ม หนวนหน่วนก็กินด้วยสิ”
เรือแห่งมิตรภาพลำเล็กนี้รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเป็นอย่างอื่นได้อย่างรวดเร็ว
ไป๋อันหรานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “…”
มิตรภาพของเด็ก ๆ นี่น่าทึ่งจังเลยแฮะ