ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 209 โอ้อวด
บทที่ 209 โอ้อวด
นักเรียนชั้นประถมสองห้องหนึ่งไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับกู้อัน เขาถือว่าห้องเรียนนี้เป็นพรรคพวกของตัวเอง ทุกช่วงเวลาพักเขาก็จะมาใช้เวลาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวก็เอานู่นนี่นั่นมาให้นักเรียนกู้หนวนหน่วนอยู่บ่อย ๆ
เห็นได้ชัดว่าเด็กหลายคนต่างอิจฉา เมื่อได้เฝ้ามองพี่ชายของคนอื่นแล้วก็อดนึกถึงของตัวเองขึ้นมาไม่ได้เลย
อยากเปลี่ยนพี่ชาย/น้องสาวจังเลย…
แน่นอนว่าคนที่อิจฉามากที่สุดในนี้ก็คงเป็นหลี่หลิงนั่นแหละ
แต่เธอก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้หรอก
วันนี้เธอมาโรงเรียนพร้อมกับมงกุฎเจ้าหญิงแวววาวที่ประดับไว้บนศีรษะ ทันทีที่เดินเข้าผ่านรั้วประตูโรงเรียนมาเธอก็เชิดหน้าชูตาขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เธอก้าวเดินไปตามทางอย่างมาดมั่น โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ได้เดินผ่านโต๊ะเรียนของกู้หนวนหน่วนและหลินจิ่ว เธอไม่เพียงแต่เดินกรีดกรายเพื่อเยาะเย้ยเท่านั้น แต่ยังจิกมองเด็กหญิงทั้งสองด้วยความมั่นหน้า ก่อนจะพูดเยาะเย้ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเย็นยะเยือกปนขึ้นจมูกนิดหน่อย
ดูท่าทางนั้นแล้วราวกับลูกเจี๊ยบผู้มีชัย
หนวนหน่วนและหลินจิ่วปรายตามองข้ามผ่านเธอไปแล้วรีบก้มหน้าก้มตาท่องศัพท์ในหนังสือต่อ
หลินจิ่วโน้มตัวเข้ามาหาหนวนหน่วนแล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “หนวนหน่วนคำนี้ออกเสียงว่าอะไร?”
หนวนหน่วนตัวน้อยชะโงกหน้าเข้ามาดูอย่างรวดเร็ว เธออ่านมันขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากนั้นหลินจิ่วก็พยายามพูดตาม
ทั้งสองคนไม่ได้มองไปที่หลี่หลิงเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเมื่อก่อนหลินจิ่วคงพูดขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้เธอรู้สึกประทับใจในความตั้งใจเรียนของหนวนหน่วนมาก จึงเริ่มหันมารักเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังก้าวหน้าขึ้นทุกวัน
หากเอาเวลาที่ไปทะเลาะกับหลี่หลิงมาจำคำศัพท์ คงจำได้จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
หนวนหน่วนตั้งใจเรียนมาก และในฐานะเพื่อนร่วมโต๊ะแล้วจะให้น้อยหน้ากันได้อย่างไร
เมื่อหลี่หลิงเห็นว่าทั้งสองคนไม่สนใจตัวเอง จู่ ๆ เธอก็ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ เด็กหญิงจ้องมองพวกเขาแล้วเดินกระแทกเท้าจากไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
เมื่อเดินมาถึงที่นั่ง เด็กหญิงหลายคนที่มองดูมงกุฎบนศีรษะของเธอต่างรู้สึกอิจฉากันยกใหญ่
“ว้าว… หลี่หลิง มงกุฎเจ้าหญิงของเธอสวยมากเลย”
“ดูดีมากเลยนะ ใส่แล้วเหมือนเป็นเจ้าหญิงเลย ใครซื้อให้เหรอ”
หลี่หลิงเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ ก่อนจะบอกเล่าด้วยเสียงก้องกังวาน
“อันนี้พี่ชายของฉันซื้อให้ ราคามากกว่าหนึ่งล้านได้ แพงมากเลย พวกคนธรรมดาไม่มีปัญญาซื้อหรอก”
“หลี่หลิง พี่ชายของเธอใจดีจัง”
“ฉันก็อยากมีพี่ชายแบบนั้นบ้างจัง”
“หนึ่งล้านเลยเหรอ แพงมากเลยนะนั่น”
ถึงแม้ว่าเด็กที่อายุเพียงไม่กี่ขวบจะไม่มีหัวคิดในเรื่องของจำนวนเงินที่มากกว่าหลักล้าน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันมีค่ามากมายมหาศาลแค่ไหน
หลี่หลิงมองดูหนวนหน่วน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ “อย่างนี้ พี่ชายของฉันก็ดีที่สุดน่ะสิ”
แต่คนที่เธออยากโอ้อวดให้เห็นกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมองเธอด้วยซ้ำ มันน่าเจ็บใจนัก!
การเรียนผ่านไปรวดเร็วมาก เผลอครู่เดียวก็ถึงวันศุกร์แล้ว ในช่วงวันที่ผ่านมานี้ ถ้าไม่นับรวมเรื่องที่หลี่หลิงเข้ามาก่อความวุ่นวายละก็ ทุกอย่างถือว่าเป็นไปได้ดีมาก
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกครั้งที่หลี่หลิงพูดบอกกับเธอว่าคุณน้าจะมารับ แต่หนวนหน่วนกลับไม่เคยเห็นหน้าคุณน้าคนนั้นเลยเนี่ยสิ
แต่เด็กหญิงก็ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ เธอทำแค่เพียงตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันจนเพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกันก็ต่างพากันขยันหมั่นเพียรกันมากขึ้นตามไปด้วย
บ่ายวันศุกร์หลังเลิกเรียน หนวนหน่วนยังไม่ได้กลับบ้านเพราะหลินจิ่วพาเธอเดินซื้อของไปทั่วโรงเรียน
รอบโรงเรียนมีร้านค้ามากมาย บ้างก็ขายอาหาร บ้างก็เป็นร้านเครื่องเขียน
เนื่องจากว่าไม่ได้ขาดแคลนพวกเครื่องเขียน เธอจึงให้ความสนใจกับอาหารแทน
เด็กหญิงสองคนเดินจากร้านแรกไปร้านที่สอง ตราบใดที่ขนมของร้านนั้นยังไม่มีในมือพวกเธอก็จะซื้อมันแน่นอน แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอจะซื้อแค่หนึ่งชิ้นแล้วแบ่งกัน และหลังจากที่หนวนหน่วนทานไปได้นิดหน่อยเธอก็จะหันไปป้อนให้พี่เล็กได้ทานด้วย จากนั้นก็จะเดินเพื่อซื้ออย่างอื่นต่อ
กู้อันก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือของเขาก่อนจะทานมันหมดในสองสามคำ ถ้ากินไม่ไหวแล้วจริง ๆ เขาก็จะยื่นให้พวกผองเพื่อนที่เดินตามอยู่ด้านข้าง
“หนวนหน่วน พี่จะบอกอะไรให้ เกาลัดร้านนั้นน่ะอร่อยมากเลย ทั้งหวานนุ่มละมุนลิ้น กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย”
เด็กหญิงหันมองตาม แล้วเดินเข้าไปซื้อด้วยจิตใจแน่วแน่ ซื้อกันคนละหนึ่งถุงใหญ่ หลังจากทานไปเพียงเล็กน้อยเธอก็เก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋า
สิ่งนี้มันสามารถเก็บไว้ได้นาน พอถึงบ้านแล้วค่อยเอาออกมากินก็ได้
“ปลาหมึกตรงนั้นก็อร่อยนะ”
หนวนหน่วนจับมือเธอวิ่งเข้าไปทันที
คนในกลุ่มต่างคนต่างจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็บ่งบอกฐานะทางการเงินได้อีกด้วย
และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเธอจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น
“เด็กพวกนี้รวยจังเลยนะ”
ในหลืบมุม มีกลุ่มแก๊งอันธพาลกลุ่มหนึ่งต่างกำลังจ้องมองไปที่หนวนหน่วนอย่างละโมบ
“ลูกพี่ ครอบครัวของเด็กพวกนี้รวยมากเลยนะ ถ้าโดนจับได้คงไม่จบด้วยดีแน่”
ชายหนุ่มผมสีเหลืองที่ถูกเรียกว่าลูกพี่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าขนสัตว์หนา อีกทั้งบนใบหูก็ประดับไปด้วยเครื่องประดับมากมาย
เขาแค่นหัวเราะออกมา “ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำมาก่อนนี่หว่า ก็แค่เด็กไม่กี่คนเอง ขู่นิดหน่อยก็ไม่กล้าไปฟ้องพ่อแม่หรอก รอพวกมันแยกย้ายกันก่อนแล้วค่อยเข้าไป”
“ฮัดชิ่ว!”
หนวนหน่วนที่กำลังทานปลาหมึกอยู่จามขึ้นมานิดหน่อย
กู้อัน “เป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ?”
เขาทำตัวราวกับพร้อมจะรับมือทุกสถานการณ์
จมูกบางของหนวนหน่วนประกอบกับเสียงจามอันนุ่มนวลได้บ่งบอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว
“เปล่าค่ะ แค่คัดจมูกเฉย ๆ”
หลังจากที่กู้อันได้ยินคำพูดนั้น เขาก็กล่าว “มีใครกำลังพูดถึงเธออยู่หรือเปล่า?”
หนวนหน่วนส่ายศีรษะ เธอกัดปลาหมึกในมือแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาตามแบบของเด็ก “ไม่มีหรอกค่ะ ใครจะไปพูดถึงหนูกัน”
กู้อันจ้องมองน้องสาวของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะจำใจพยักหน้ายอมรับมัน “ก็จริง น้องสาวของฉันออกจะน่ารัก”
ใครก็ตามที่กล้ามาให้ร้ายเธอคงตาบอดหรือไม่ก็จิตใจเลวทรามแน่นอน ขอไม่รับความเห็นต่างละกัน
กลุ่มเด็กผู้ชายตัวเล็กยืนล้อมรอบเด็กสาวทั้งสองคน หลังจากที่หาซื้ออะไรกินเรียบร้อยแล้วก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านในที่สุด
“ฉันบอกคนขับให้มารับพวกเราที่นี่แล้วละ”
ขณะที่กำลังเดินกลับไปตรงจุดนัดหมายเพื่อขึ้นรถกลับบ้านอย่างช้า ๆ กู้อันก็โทรบอกคนขับรถให้มารับพวกเขา เนื่องจากว่าพวกผู้ใหญ่ที่บ้านไม่ได้ว่างมารับทุกวัน ในบางครั้งจึงส่งคนขับรถให้มารับแทน
และหากต้องการไปซื้อของที่ไหนก็แจ้งให้คนขับรถทราบได้
หนวนหน่วนรู้สึกอิ่มมากเกินไปหน่อย จึงต้องค่อย ๆ เดินเพื่อย่อยอาหาร
เด็กหญิงสะอึกเรอออกมาเบา ๆ ก่อนจะรีบยกมือปิดปากด้วยความเขินอาย นัยน์ตาเป็นประกายพลางจ้องมองไปยังเพื่อนสนิทและพี่ชายคนเล็กของตัวเอง
หลินจิ่วหันมามองก่อนจะเอามือเท้าสะเอว “อายอะไรขนาดนั้นล่ะ หนวนหน่วนดูฉันนี่”
เธอเปิดปากก่อนจะส่งเสียงเรอออกมาดังสนั่น
เด็กทั้งสามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจนกู้อันต้องกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้ และหลังจากนั้นเขาก็เรอออกมาอย่างน่าอายไม่แพ้กัน
จู่ ๆ หนวนหน่วนก็ยกยิ้มบาง ๆ ขึ้นมา เธอไม่รู้สึกอายอีกต่อไป เด็กหญิงคว้ามือของพี่ชายและหลินจิ่วขึ้นมาจับคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน
พวกเธอสะพายกระเป๋านักเรียนแสนน่ารัก แล้วก้าวเดินไปตามพื้นถนนสะอาดด้วยขาสั้น ๆ
หลินจิ่วเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือกว่าเธอมีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แถมยังพูดชวนให้หนวนหน่วนมาด้วยกัน
หนวนหน่วนส่ายศีรษะปฏิเสธเมื่อได้ยินแบบนั้น “ไม่ได้หรอก ฉันต้องไปหาเสี่ยวอีกับพรรคพวกที่ฟาร์มน่ะ พวกมันคงคิดถึงฉันมากแน่เลย หลินจิ่ว เธออยากไปเล่นที่ฟาร์มของฉันไหมล่ะ?”
หลินจิ่วตาโตเท่าไข่ห่าน “จริงเหรอ? เป็นฟาร์มของเธอจริง ๆ เหรอ?”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าฟาร์มคืออะไร แต่เธอรู้สึกได้ว่ามันต้องเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากแน่เลย
หนวนหน่วนพยักหน้า ก่อนจะโน้มศีรษะเข้าไปใกล้แล้วพูดคุยกัน
เด็กหญิงเล่าเรื่องของเสี่ยวอีเสี่ยวเอ้อร์ให้เพื่อนฟังและบอกเล่าเกี่ยวกับฟาร์มของตัวเอง เมื่อหลินจิ่วได้รับฟังก็รู้สึกได้ถึงความยอดเยี่ยมของมันตามไปด้วย
แน่นอนว่าในความคิดของเธอตอนนี้ฟาร์มช่างดูน่าทึ่งมาก ยิ่งฟังหนวนหน่วนเล่าก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นเข้าไปใหญ่
หลินจิ่วอดใจรอไม่ไหวที่จะไปเยี่ยมชมมันแล้ว
“ฉันอยากไป ฉันอยากไป หนวนหน่วน พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปฟาร์มกับเธอนะ ว้าว ที่บ้านเธอมีแมวด้วยเหรอ ฉันก็อยากเลี้ยงแมวเหมือนกันเลย แต่แม่ชอบบ่นว่ามันเหม็นเลยไม่ยอมให้เลี้ยง”
“เหม่ยฉิวที่บ้านฉันรักความสะอาดมาก แต่ถ้าไม่ได้อาบน้ำให้บ่อย ๆ มันก็ตัวเหม็นเหมือนกัน”
กู้อันเดินตามทั้งคู่พลางฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกันไปด้วยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกได้ว่าพวกเธอสนทนากันในเรื่องที่เขาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่
เฮ้อ… พวกผู้หญิงนี่ก็ชอบคุยแต่เรื่องน่าเบื่อตลอดเลย ทำไมถึงไม่คุยเรื่องการ์ตูนหรือเกมบ้างนะ